ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 312 บอกใบ้
ตอนที่ 312 บอกใบ้
แม้ลูเมี่ยนจะมิได้เชื่อเทอร์มีโพลอสอย่างสนิทใจ แต่ก็ยังสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับโชคชะตา
คราวก่อนเทอร์มีโพลอสใช้คำว่า ‘โอกาส’ สื่อถึงแร่เลือดธรณี แต่คราวนี้มองยังไงก็คงไม่ใช่เด็กชายลุดวิก
เด็กคนนี้มีปัญหาจริง ดูไม่ปกติสักเท่าไร แต่หลังจากลูเมี่ยนชวนคุยไปสักพัก นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลัง ระดับสติปัญญา รวมถึงความศรัทธาในเทพแห่งปัญญาความรู้ เขาก็มิได้ขุดเจอสาระสำคัญอันใดอีก มองไม่เห็นถึงพัฒนาการในอนาคต แตกต่างจากเลือดธรณี ซึ่งลูเมี่ยนรู้ชัดเจนว่าเพียงแค่นำมันลงไปใต้ดิน แล้วตระเวนหาตำแหน่งที่ถูกต้อง ก็จะมีโอกาสได้พบกับบางสิ่ง
เสียงกังวานหลายชั้นของเทอร์มีโพลอส ดังในตัวลูเมี่ยนอีกครั้ง
“เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะรู้เอง”
“คนอย่างพวกแกเนี่ยนะ… พูดให้ชัดๆ หน่อยมันจะตายหรือไง” ลูเมี่ยนรู้สึกประหนึ่งเลือดของตนกำลังสูบฉีดเข้าสู่ศีรษะตุ้บๆ
“ข้ามิใช่คน” เทอร์มีโพลอสตอบ ‘คำถาม’ ของลูเมี่ยนด้วยคำพูดสุดแสนจะเรียบง่าย “ข้าคือสัตว์ในตำนาน”
“……” ลูเมี่ยนหมดคำจะกล่าว แต่ก็ฝืนหัวเราะเยาะหยัน “ฉันชักเริ่มสงสัยแล้วสิ ว่าตัวแกที่ถูกผนึกไว้จะมองเห็นโชคชะตาได้จริงหรือ คาดเดาอนาคตได้แน่หรือ? อ้าปากออกมากี่ครั้งก็มีแต่ความคลุมเครือ ตีความได้หลายแง่หลายมุม ต่างอะไรกับพวกมือสมัครเล่นในสโมสรดูดวง? ถ้าแกเจ๋งจริง ก็ช่วยตอบมาชัดๆ เลยได้ไหม ว่าการสวมบทบาทครั้งถัดไปของฉันเกิดขึ้นที่ไหน!”
เทอร์มีโพลอสตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“คืนนี้ห้าทุ่ม ท่าเรือริสต์ โกดังหมายเลข 3”
หือ? ลูเมี่ยนคิดไม่ถึงว่าเทอร์มีโพลอสจะตอบกลับมาจริงๆ
นอกจากจะทำให้เด็กหนุ่มประหลาดใจแล้ว มันยังกระตุ้นให้เกิดคำถามมากมายโดยอัตโนมัติ
“เทวทูตแห่งชะตากรรมใจดีขนาดนี้เชียว?”
“ในฐานะ ‘ภิกษุบิณฑบาต’ ระดับสูงลิบลิ่ว พระองค์ไม่ควรถูกยั่วยุง่ายๆ จนถึงกับยอมบอกโชคชะตา…”
“หรือว่ามีเป้าหมายซ่อนเร้น?”
“ช่างเถอะ ยังไงก็ต้องขอความเห็นจากมาดามเมจิกเชี่ยนอยู่แล้ว”
ลูเมี่ยนคิดไวทำไว ลุกขึ้นยืน เดินออกจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อย มุ่งหน้าไปยังถนนเสื้อนอกขาว
ขอเพียงได้ ‘วางเพลิง’ ในเชิงวัตถุอีกสักครั้งอย่างเรียบง่าย เด็กหนุ่มก็จะย่อยโอสถได้เบื้องต้นแล้ว ถึงเวลาพิจารณาขอรับพร ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ เสียที จนอดรู้สึกร้อนใจไม่ได้ แต่ถึงจะร้อนใจเพียงใด ก็ไม่ควรลดความระแวงในตัวเทอร์มีโพลอสลง
ถนนเสื้อนอกขาว ภายในบ้านลับ
ลูเมี่ยนเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับเด็กชายลุดวิก รวมถึงคำใบ้ของเทอร์มีโพลอสลงบนกระดาษ จากนั้นก็เตรียมพิธีกรรม อัญเชิญผู้ส่งสารตุ๊กตาออกมา
ระหว่างรอคำตอบจากมาดามเมจิกเชี่ยน เขาพลิกอ่านข้อมูลสัตว์โลกวิญญาณกองใหญ่ พบว่าคำบรรยายในบางหมวดหมู่ เพียงแค่อ่านในใจไปรอบเดียว ก็เผาผลาญพลังวิญญาณของตนไปหลายส่วน บางหมวดหมู่ถึงกับทำให้มึนงง คลื่นไส้ หงุดหงิด ปวดหัว ร้อนผ่าว รวมถึงเห็นภาพหลอนในระดับหนึ่ง
สถานการณ์นี้คล้ายกับข้อมูลที่ปรากฏในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์: การพรรณนารายละเอียดเกี่ยวกับเทพและตัวตนอันสูงส่ง โดยมากมักแฝงมลทินอย่างรุนแรง เปี่ยมไปด้วยอันตรายระดับสูงสุด… ถ้าการไขว่คว้าความรู้ของมนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้ มันคงน่ากลัวพิลึก หลังจากฟังความรู้จนจบ ก็อาจไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป หรือไม่ก็ตายคาที่… ลูเมี่ยนจำต้องอ่านไปพักไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อป้องกันมิให้สภาพจิตใจไหลไปถึงขอบอันตราย
หลังจากไล่อ่านข้อมูลสัตว์โลกวิญญาณได้สามสี่สิบชนิด เด็กหนุ่มก็พบใบหน้าคุ้นตา:
กระต่ายพิทยา:
“สัตว์โลกวิญญาณที่อ่อนแอ เป็นมิตรกับมนุษย์ แสวงหาความรู้เป็นนิสัย แทบไม่ปฏิเสธการอัญเชิญเลย”
“กระต่ายพิทยาแต่ละตัวจะแตกต่างกัน เนื่องจากสัมผัสกับความรู้ที่ไม่เหมือนกัน จุดร่วมคือเชี่ยวชาญหลายภาษา พูดและเขียนได้ ถนัดการอ่าน สามารถสกัดประเด็นสำคัญจากความรู้จำนวนมากได้ดี คัดลอกหนังสือเร็วกว่าเครื่องพิมพ์ดีด”
“ปัญหา: สื่อสารไม่เก่ง ความคิดเถรตรงเกินไป และกระต่ายพิทยาบางตัว เนื่องจากไปสัมผัสกับความรู้พิสดาร จึงถูกปนเปื้อนจนกลายเป็นตัวอันตราย หากคิดจะอัญเชิญพวกมัน ต้องกำหนดนิยามให้เป็นมิตรและอ่อนแอเท่านั้น”
ที่แท้ชื่อจริงคือ ‘กระต่ายพิทยา’ นี่เอง ในอนาคต ถ้าเราจะอัญเชิญสัตว์ชนิดนี้อีก ก็คงง่ายขึ้นมากแล้ว… น่าเสียดาย พลังกับจุดเด่นไม่ค่อยมีประโยชน์กับเราเท่าไร เว้นแต่ว่า ถ้าเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามที่โอลัวร์หวังการ ‘เชี่ยวชาญหลายภาษา’ และ ‘อ่านเก่ง’ ก็ถือว่าไม่เลวเลย… ไม่ได้บรรยายถึงความเร็วในการเดินทางข้ามโลกวิญญาณเอาไว้ แปลว่าไม่ชำนาญด้านนี้ แถมยังทั้งช้า ทั้งสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอีก… ลูเมี่ยนวางเอกสารลง นวดขมับสองข้าง เริ่มพักครั้งที่สามแล้ว
ขณะเดียวกัน ผู้ส่งสารตุ๊กตาได้นำจดหมายตอบกลับจากมาดามเมจิกเชี่ยนมาส่งพอดี:
“ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเด็กชายลุดวิกนั่นจะนำพาโอกาสแบบใดมาให้เธอ ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่า เขามาทรีอาร์ด้วยจุดประสงค์อันใด คงต้องสังเกตกันต่อไป บางทีอาจเป็นเรื่องสำคัญมาก”
“เธอควรระวังเขาไว้ การดำรงอยู่ของเขาถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ”
“ไปเถอะ ฉันเองก็เห็นโอกาสในการสวมบทบาทของเธอ”
คนอย่างพวกคุณนี่นะ พูดให้ชัดๆ หน่อยมันจะตายหรือไง… ลูเมี่ยนอ่านจดหมายตอบกลับฉบับสั้นจบ มุมปากกระตุกเล็กน้อย
แต่เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่า ย่อหน้าแรกของมาดามเมจิกเชี่ยนเหมือนไม่ได้ตอบคำถามตน แต่ใกล้เคียงกับการถ่ายทอดกระบวนการคิดทบทวนของเธอมากกว่า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มาดามเมจิกเชี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านการทำนายดวงดาว ก็ยังมองไม่เห็นโชคชะตาของเด็กชายลุดวิกอย่างชัดแจ้ง เพียงแต่มีข้อสงสัยอยู่บ้าง
และการที่เธอ ‘มองไม่เห็นโชคชะตา’ ก็สามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง
…………
อีกสิบห้านาทีห้าทุ่ม ท่าเรือริสต์ ด้านนอกโกดังหมายเลข 3
ลูเมี่ยนซ่อนตัวในเงามืด รอคอยให้โอกาสในการสวมบทบาทมาถึง
ไม่นานนัก มีเงาคนสองร่างเดินเข้ามาใกล้โกดัง ห่างจากลูเมี่ยนไปเพียงห้าหกเมตร
หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยเสียงกดต่ำอย่างร้อนรน
“เอ็กตอร์ พรุ่งนี้คนจากสำนักงานบัญชีจะมาตรวจบัญชีแล้ว พวกเราจะทำยังไงกันดี?”
“หาขโมยสักคน ให้ช่วยขโมยสมุดบัญชีไปทุกเล่มเลยดีไหม?”
“แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร? แค่พวกเขาเข้ามาตรวจโกดังก็เห็นปัญหาหมดแล้ว เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบตามที่ควรจะมี” น้ำเสียงของเอ็กตอร์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดุดัน “ในเมื่อจะทำแล้ว ทำไมไม่ลงมือให้เด็ดขาดไปเลยล่ะ เผาโกดังทิ้งทั้งหลังเป็นไง? แบบนั้นใครจะมารู้ว่าบัญชีของเรามีปัญหา?”
อย่างนี้นี่เอง… ลูเมี่ยนที่แอบฟังอยู่ เริ่มตระหนักถึงโอกาสในการสวมบทบาทแล้ว
เห็นเพื่อนลังเลใจ เอ็กตอร์ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ทรีอาร์เกิดไฟไหม้บ่อย ทุกคนชินชากันหมดแล้ว อีกอย่าง พวกเราไม่ได้ลงมือวางเพลิงเองสักหน่อย ในเขตตลาดมีพวกอันธพาลในแก๊งให้เลือกถมเถไป ถึงตอนนั้น ให้เงินเขาไปก้อนหนึ่ง แล้วให้เขาออกจากทรีอาร์ก็จบ”
“โอโนเร่ อย่ามัวประวิงเวลาอยู่อีกเลย คุณต้องรีบตัดสินใจแล้ว”
โอโนเร่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างดุดัน
“ก็ได้! ตอนนี้ไปหากีย์กันก่อน พาเขามาร่วมวงด้วย!”
ทั้งสองรีบเดินวนรอบโกดัง ตรวจสอบภาพรวมอย่างละเอียด แล้วเดินไปยังทางเข้าท่าเรือ ตามหาเพื่อนร่วมงานที่ชื่อกีย์
หลังจากเดินออกไปไม่กี่สิบเมตร ทั้งสองก็รู้สึกเหมือนท้องฟ้าสว่างวาบเจือสีแดง พร้อมกับได้ยินเสียงเปลวไฟแตกปะทุข้างหู
โดยสัญชาตญาณ โอโนเร่กับเอ็กตอร์หันกลับไปมอง ก็พลันเห็นว่าบริเวณที่เพิ่งจากมา มีเปลวเพลิงกำลังลุกโชนโหมกระหน่ำ แสงสีแดงฉานของไฟเต้นระบำ พุ่งทะยานไม่หยุดหย่อน กลืนกินอาคารเข้าไปทั้งหลัง
“ไฟไหม้ ไฟไหม้…” เอ็กตอร์พึมพำกับตัวเองก่อน แล้วก็ทำสีหน้ายินดี “ไฟไหม้แล้ว ไฟไหม้จริงๆ! สุริยันจงเจริญ! ไฟไหม้จริงๆ!”
โอโนเร่ก็มีท่าทีคล้ายคลึงกัน รีบยกมือขวาขึ้น วาดตราศักดิ์สิทธิ์รูปสามเหลี่ยมกลางหน้าอก พึมพำบางอย่างในปาก
หลังจากความปีติยินดีชั่วครู่ โอโนเร่ก็ตระหนักถึงความผิดปกติ
เขาพูดเสียงสั่นเครือ
“ตรงที่ไฟไหม้ไม่ใช่… ไม่ใช่โกดัง แต่เป็นสำนักงานของพวกเรา!”
สำนักงานของพวกเขาอยู่ห่างจากโกดังไม่กี่เมตร เป็นอาคารสีเทาเรียบง่ายสูงสองชั้น
ระหว่างสำนักงานกับโกดังคือพื้นที่ว่าง ไม่มีวัตถุไวไฟ
“…” เอ็กตอร์เผยสีหน้าหวาดหวั่น ขบฟันพูดว่า “พวกเราต้องรีบไปจุดไฟเผาโกดังแล้ว!”
เพิ่งจะพูดจบ บริเวณที่ไฟลุกโชนด้วยสีแดงฉานก็เกิดระเบิด
ระเบิดมิได้รุนแรงนัก แต่เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ดึงดูดความสนใจจากกะลาสีและพนักงานดับเพลิงที่ท่าเรือ
เสียง ‘ไฟไหม้! ไฟไหม้!’ ดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ผู้คนเริ่มวิ่งตรงมาทางเขตโกดัง — ในฐานะมหานครที่มีอัตราการประสบอัคคีภัยสูงสุดบนทวีปเหนือ พนักงานดับเพลิงของกรุงทรีอาร์ สามารถระงับเหตุลักษณะนี้ได้อย่างเป็นระบบระเบียบ
เอ็กตอร์กับโอโนเร่ที่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้โกดังหมายเลข 3 พอเห็นฉากดังกล่าวก็ทรุดตัวลงทันที แทบจะพยุงร่างไว้ไม่อยู่
บริเวณทางเข้าท่าเรือ
“คุณกีย์ เพื่อนร่วมงานของคุณ รีบยิ่งกว่าคุณอีกนะ”
ชายที่ชื่อกีย์กำลังหน้าซีดเผือด ส่ายศีรษะด้วยความมึนงง
“ที่กำลังไหม้ไม่ใช่โกดัง…”
อัลบัสเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะเยาะหยัน
“เมื่อครู่ผมเตือนแล้วนะ ความลังเลมีแต่จะนำพาเรื่องไม่คาดฝัน”
“ตอนนี้ผมขอแนะนำให้คุณคิดหาทางหนีเตรียมไว้เลย หวังว่าจะไม่มัวลังเลอีก”
ลูเมี่ยนยืนอยู่ข้างอาคารสองชั้นเรียบง่ายหลังดังกล่าว แหงนหน้าเล็กน้อย จ้องมองเปลวไฟที่ดูเกินจริง ซึ่งกำลังกลืนกินไม้และเชื้อเพลิงจนเกิดภาพหลอนคล้ายมังกร ใบหน้าเด็กหนุ่มสะท้อนแสงสีแดงสว่าง บนกระจกตามีเพียงเปลวไฟเต้นระบำ
เขายิ้มพราย เดินเข้าไปในกองไฟอย่างเชื่องช้า
เป้าหมายในการวางเพลิงของสองคนนั้น คือการเผาทำลายโกดังหมายเลข 3 เพื่อกำจัดหลักฐาน ส่วนเป้าหมายของลูเมี่ยนคือ การสร้างความวุ่นวายเพื่อดึงดูดความสนใจ ช่วยให้เหล่าสายสืบค้นพบความผิดปกติในโกดัง!
นี่หน้าที่ของพลเมืองดี
เปลวไฟพลันลุกโชนบนร่างลูเมี่ยน โดยลอยอยู่บนเสื้อผ้าอย่างว่านอนสอนง่าย ขาดอีกเพียงนิดเดียวก็จะลุกไหม้แล้ว
อาศัยอาภรณ์เพลิง ลูเมี่ยนเข้าไปในกองไฟซึ่งมีเสียงดังแตกปะทุ
ไฟกับไฟหลอมรวมกัน ควันถูกขับออก เด็กหนุ่มเดินผ่านตึกไปอย่างไม่ยากเย็น แล้วออกจากท่าเรือในทิศทางตรงกันข้าม
เมื่อวางเพลิงเสร็จ ลูเมี่ยนเริ่มควบคุมพลังของโอสถได้ระดับหนึ่ง สามารถกุมบังเหียนได้เชื่องมือมากขึ้น ปราศจากความรู้สึกแสบร้อนบนผิวหนัง ปราศจากอารมณ์หงุดหงิดแปลกประหลาดภายในใจ
ถึงแม้จะยังห่างไกลจากการย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็ปรับตัวเข้ากับสภาพใหม่ได้แล้ว พร้อมรับพรจากชะตากรรมในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
…………
หลังจากขจัดร่องรอยอยู่หลายตลบ ลูเมี่ยนก็กลับมายังบ้านลับบนถนนเสื้อนอกขาว
การย่อยโอสถนักวางเพลิงได้ระดับหนึ่งก่อนจะลงมือไล่ล่าหลวงพ่ออธิการโบสถ์ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าฉาบรอยยิ้มอยู่นานสองนาน จนกระทั่งได้เห็นเอกสารหนาๆ ในตู้เหล็กที่มีมากกว่าพันหน้า แววตาก็เริ่มหมองลงทีละนิด
ไม่มีทางอ่านข้อมูลพวกนี้จบในหนึ่งหรือสองเดือนแน่!
แล้วจะหาสัตว์พันธสัญญาที่เหมาะสมในเวลาอันสั้นอย่างไร?
………………………………………………