ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 311 เด็กประหลาด
ตอนที่ 311 เด็กประหลาด
ลุนเบิร์ก? ลูกนอกสมรสหรือลูกบุญธรรมของบารอนบรินิแยร์อาศัยอยู่ที่ลุนเบิร์ก? ขณะที่ลูเมี่ยนกำลังครุ่นคิดสงสัย ก็เกิดการเดาเป็นมุกตลกในใจมากมาย:
บารอนบรินิแยร์ หัวหน้าหน่วยแก๊งอันธพาล ให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างยิ่ง ถึงขั้นส่งลูกบุญธรรมที่รักที่สุด ไปยังดินแดนของเทพแห่งปัญญาความรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ …
ลูเมี่ยนมองเด็กชายตัวน้อยตรงหน้า ถามอย่างเป็นกันเอง:
“เด็กอายุเท่าเธอ ไม่ใช่ว่าควรตั้งใจเรียนอยู่ที่ลุนเบิร์กหรอกหรือ? โดยรวมแล้ว การศึกษาที่นั่นดีกว่ากรุงทรีอาร์มากโขเลยนะ”
สีหน้าของเด็กชาย กลายเป็นมีชีวิตชีวาอย่างผิดวิสัย
“ผมไม่อยากไป… ผมไม่อยากไปโรงเรียนทุกวัน ทำการบ้านจนดึกทุกวัน สอบทุกเดือน!”
ฟังดูน่ากลัวอยู่นะ… ลูเมี่ยนลองจินตนาการถึงชีวิตแบบนั้น
อย่างน้อยถ้าเป็นตน ก็คงยอมรับมันไม่ได้
หลังจากผงกศีรษะเป็นนัยเห็นด้วย ลูเมี่ยนลองถามผ่านๆ
“หนูเป็นๆ อร่อยไหม?”
เด็กชายกลับไปสู่สภาวะที่ค่อนข้างสงบ
“ไม่อร่อยหรอก แต่ตอนหิวก็เลือกมากไม่ได้ ผมรอจนถึงเที่ยงแล้วค่อยขโมยกินไม่ไหวหรอก… ความสุขที่แท้จริงมักเกิดจากอาหารที่ผ่านการปรุงโดยพ่อครัวมือฉมัง ยิ่งหิวนิดๆ ก็ยิ่งอร่อย…”
หลังจากอธิบายไปสองประโยค เด็กชายคงเพิ่งนึกได้ว่าตนพูดจาเหมือนผู้ใหญ่เกินไป จึงรีบเปลี่ยนสำนวน
“ก็ครัวพวกคุณน่ะ กว่าจะเตรียมอาหารก็ปาไปเกือบเที่ยงวันแล้ว!”
ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้นสักหน่อย… สมัยที่เรายังเร่ร่อน ก็ไม่เคยคิดจะกินหนูเป็นๆ เลย… จริงอยู่ ส่วนใหญ่เพราะจับไม่ทัน แต่ถ้าจับทันจริงๆ ก็ต้องหาวิธีจุดไฟ ถลกหนังย่างเสียหน่อย… เด็กคนนี้จับหนูได้ด้วยมือเปล่า ไม่ว่าจะเพราะฝีมือหรือโชค แต่ก็ไม่ธรรมดาเลย… อีกแค่ชั่วโมงเดียวก็จะเที่ยงวันแล้ว หิวจนทนไม่ไหวขนาดนั้นเชียว? ยิ่งได้ฟัง ลูเมี่ยนก็ยิ่งรู้สึกว่า เด็กชายคนนี้น่าสงสัยมาก
จึงถามติดตลกกลับไป
“บรินิแยร์ไม่ให้เธอกินจนอิ่มหรือไง ให้ฉันช่วยไปแจ้งความไหมว่าเขาทารุณกรรมเด็ก?”
“หากไม่นับเรื่องที่คอยเคี่ยวเข็ญให้ผมทำการบ้าน เขาก็ดีแทบทุกอย่าง ผมได้กินมื้อหลักทุกสองชั่วโมง แถมยังเตรียมเค้ก คุกกี้ เนื้อย่าง และพายให้ด้วย เผื่อผมหิวดึกๆ จะได้มีของกิน” เล่าถึงตรงนี้ เด็กชายก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
เอ็งเป็นหมูหรือไง? ลูเมี่ยนสมัยกำลังโต ยังไม่เคยกินหนักเท่านี้เลย
มิหนำซ้ำ เด็กคนนี้ก็ไม่ได้ดูอ้วนสักเท่าไร ค่อนไปทางแข็งแรงด้วยซ้ำ
วินาทีถัดมา ประกายตาของเด็กชายเปลี่ยนไปเล็กน้อย เปิดปากพูดคล่องปร๋อ
“คงเพราะการเรียนเผาผลาญพลังงานของผมไปเกือบหมด จึงต้องกินหลายๆ มื้อเพื่อรักษาความกระปรี้กระเปร่าของสมองเอาไว้”
ระบบศึกษาของลุนเบิร์กไม่ได้สอนหรือไงว่า ‘การอธิบายนั่นแหละคือการปกปิด’ … แค่นายจงใจอธิบายมัน ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าความอยากอาหารของนายไม่ปกติ… กินเยอะขนาดนี้แล้ว กลับไม่ช่วยให้ฉลาดขึ้นเลยนะ… สารอาหารพวกนั้นไปไหนหมด? ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
“ในเมื่อบรินิแยร์ไม่ได้เลี้ยงแบบอดๆ อยากๆ ทำไมเธอถึงยังต้องกินหนูกับสเต๊กดิบๆ ล่ะ?”
เด็กชายตอบด้วยสีหน้าค่อนข้างไม่เข้าใจ
“วันนี้ผมหนีออกมาก่อนจะกินมื้อเช้า ชามื้อสายก็ไม่ได้ดื่มเหมือนกัน!”
อดแค่นี้ก็หิวจนกินหนูสดๆ ได้แล้ว? ถ้าหิวไปอีกครึ่งวัน หนึ่งวัน จะไปไล่กินคนตามถนนด้วยไหม? ลูเมี่ยนใช้มือขวาล้วงเข้าไปด้านในเสื้อ หยิบกระติกสนามสีเทาเหล็กออกมา
มือซ้ายของเด็กหนุ่มก็ยื่นออกจากกระเป๋ากางเกง ช่วยเปิดฝากระติก แล้วสอดกลับเข้าไปใหม่
ลูเมี่ยนยกกระติกโลหะสีเทาเหล็กขึ้น สูดดมกลิ่นหอมสุดปอด พลางถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สักอึกไหม?”
เด็กชายกลืนน้ำลาย คอขยับเคลื่อนไหว
ก่อนจะตอบด้วยความลำบากใจ
“ผมยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น!”
เคยดื่มเหล้าแล้ว และชอบมากเสียด้วย… ลูเมี่ยนได้ข้อสรุป จึงจิบเหล้าแรงๆ เข้าไปอึกหนึ่ง
ขณะกระติกสนามยังไม่ห่างจากปาก เขาถามเสียงค่อนข้างอู้อี้
“เธอนับถือเทพองค์ไหน”
“คุณถามทำไม?” เด็กชายยอกย้อนด้วยความระแวดระวัง
เห็นว่าเด็กชายไม่ได้ตอบสนองอย่างผิดวิสัย ลูเมี่ยนแอบโล่งอกในใจ พลางจิบเหล้าไปอีกคำ สร้างเสียงกลืนดังกลั๊วกๆ
เด็กหนุ่มถอนกระติกสนามออกจากริมฝีปาก พูดอย่างยิ้มแย้มด้วยเสียงสดใส
“ในฐานะศาสนิกชนผู้เลื่อมใสองค์เทพจักรกลไอน้ำ ฉันจำเป็นต้องตรวจสอบความศรัทธาของเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า”
“ไอน้ำจงพวยพุ่ง!”
คราวนี้ลูเมี่ยนมิได้อมเหล้าขณะพูดจนเสียงฟังไม่ได้ศัพท์
เด็กชายส่ายหัวโดยแทบไม่คิด
“ถามแบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ ผมตอบว่านับถือเทพองค์ใด แล้วผมต้องนับถือเทพองค์นั้นจริงๆ ด้วยหรือ?”
“จริงอยู่ ศาสนิกชนของเทพในจารีต สามารถอ้างได้อย่างอิสระว่าตนนับถือเทพองค์ใด แต่คนพวกนี้ไม่มีพิษภัย สิ่งที่ฉันระแวงคือศาสนิกชนของเทพมาร พวกมันคลั่งไคล้ ไร้ซึ่งเหตุผล จะไม่โกหกเรื่องความศรัทธาเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เพราะถือเป็นพฤติกรรมที่ขาดความเลื่อมใส เป็นการดูหมิ่นองค์เทพ” ลูเมี่ยนสังเกตท่าทีของเด็กชาย
เด็กชายโต้แย้งตามสัญชาตญาณ:
“ไม่ใช่ทั้งหมดสักหน่อย ศาสนิกชนบางคนของเทพมาร เพื่อให้ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์สำเร็จลุล่วง ถึงกับยอมปลอมตัวเป็นศาสนิกชนของเทพในจารีต… คนพวกนี้สามารถสวดมนต์ ฟังเทศน์ ร่วมมิสซา สวดพระนามของเทพองค์อื่นได้โดยไม่มีอุปสรรคทางใจ เพียงแต่หลังจากนั้นต้องกลับไปสารภาพบาปต่อเทพในใจตัวเอง ก็จะไม่เกิดปัญหาใดตามมา…”
เล่าถึงตรงนี้ เด็กชายก็ชะงักไปทันที สองคนมองกันไปมา สบตากันอยู่นานสองนาน หลายครู่เงียบงัน
สักพักใหญ่ เด็กชายกัดสเต๊กดิบอีกคำหนึ่ง แล้วเริ่มแนะนำตัวเองด้วยใบหน้าขึงขัง
“ผมคือศาสนิกชนของเทพแห่งปัญญาความรู้ ผู้ศรัทธาของเราจะมีนิสัยประจำตัวอย่างหนึ่ง นั่นคือการชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดในคำพูดของคู่สนทนา เหมือนเมื่อสักครู่นี้ไง อาใช่! เหมือนเมื่อสักครู่นี้แหละ!”
ลูเมี่ยนพินิจมองเด็กชายตรงหน้าสองสามวินาทีแล้วกล่าว
“ศาสนาเทพแห่งปัญญาความรู้มีบทสวดอะไรบ้าง”
เด็กชายสวนกลับประหนึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง
“ก็อย่างที่ผมพูดไปไง สาวกเทพมารสามารถสวดพระนามของเทพในจารีตได้ด้วยความสำนึกผิด รวมไปถึงการสวดวิงวอน คุณไม่สามารถใช้วิธีนี้แยกแยะความศรัทธาของคู่สนทนา เว้นเสียแต่จะเป็นคนของศาสนาสุริยันเจิดจรัส ซึ่งผ่านการรับรองแล้วว่าไม่โกหก…”
พูดจบ เด็กชายก็เงียบไปอีกครั้ง ประสานสายตากับลูเมี่ยนอย่างเหม่อลอย
ผ่านไปสองสามวินาที เด็กชายยื่นมือขวาที่ไม่ได้ถือสเต๊กออกมา แตะศีรษะตัวเองแล้วพูดว่า
“ขอปัญญาจงสถิตกับท่าน!”
ไอ้เด็กหน้ามึนคนนี้คงไม่ใช่สายลับจากเทพมารองค์ใดหรอก… คำนึงจากระดับสติปัญญา ก็คงยังเป็นเด็กจริงๆ นั่นแหละ… ลูเมี่ยนเมื่อสักครู่เกือบคุมสีหน้าไม่อยู่ ต้องอาศัยการแอบสูดลมหายใจยาว ปล่อยให้ลมที่ไม่มากนักไหลเวียนเข้าไปในช่องปาก เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า
“ก็จริง” เขาเห็นด้วยกับคำพูดเมื่อครู่ของเด็กชาย มุมปากอมยิ้มแฝงเลศนัย พลางเลียนแบบอีกฝ่ายด้วยการใช้ก้นกระติกสนามสีเทาเหล็กแตะศีรษะตัวเอง แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขอปัญญาจงสถิตกับท่าน!”
โดยไม่รอให้เด็กชายตอบสนอง ลูเมี่ยนพูดเชิงหว่านล้อม
“ขึ้นไปร้านกาแฟชั้นสองไหม? เดี๋ยวฉันเลี้ยงมื้อใหญ่เธอเอง พ่อครัวที่นี่ฝีมือพอใช้ได้อยู่นะ”
เด็กชายกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“คุณจะไม่หักหลังผมใช่ไหม?”
“ก็เดินตามหลังมาสิ จะได้เห็นว่าฉันทำอะไรบ้าง” ลูเมี่ยนเริ่มทดสอบระดับสติปัญญาของอีกฝ่าย โดยอาศัยการล่อลวงด้วยอาหาร ดูว่าจะสอดคล้องกับอายุภายนอกหรือไม่ หรือต่ำยิ่งกว่านั้น “เหนือสิ่งอื่นใด เราแค่ห้ามศาสนจักรเทพแห่งปัญญาความรู้เผยแผ่ศาสนาในอินทิส ห้ามสร้างวิหาร แต่ไม่ได้ห้ามศาสนิกชนเข้าเมืองสักหน่อย ในกรุงทรีอาร์ยังมีสมาคมการค้าของลุนเบิร์กด้วยซ้ำ”
เด็กชายครุ่นคิดสักหนึ่งวินาทีแล้วตอบ
“ตกลง”
ลูเมี่ยนมองอีกฝ่ายหนึ่งครั้ง ดึงมือซ้ายออกมา ปิดฝากระติก เก็บภาชนะสีเทาเหล็กกลับเข้าไปในเสื้อนอกสีน้ำตาล
จากนั้นก็แตะศีรษะตัวเองอีกครั้ง:
“ขอปัญญาจงสถิตกับท่าน!”
พูดจบ ลูเมี่ยนหมุนตัวกลับ เดินขึ้นบันไดหินห้องใต้ดิน
เมื่อลูเมี่ยนหันกลับมามอง เด็กชายอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถ้าไม่ปิด อาหารข้างในจะเสียง่ายมาก”
“ก็จริง” ลูเมี่ยนเลิกมอง เดินขึ้นบันไดต่อ
เด็กชายเดินตามหลังไม่ห่าง คอยจับตาดูทุกอิริยาบถ ป้องกันมิให้ลูเมี่ยนติดต่อกับคนรอบข้าง หักหลังคำมั่นสัญญา
ลูเมี่ยนพาเดินผ่านครัว จนมาถึงร้านกาแฟชั้นสอง สั่งอาหารชุดใหญ่
ไม่นานนัก สเต๊กลูกวัว ปลาไหลย่าง ขาแกะย่าง พายไก่ ครีมไวน์แดง ทยอยถูกยกมาเสิร์ฟทีละอย่าง
ลูเมี่ยนนั่งอยู่ด้วยกัน คอยมองเด็กชายกินอาหารเหล่านี้อย่างตะกละตะกลาม ประหนึ่งความจุกระเพาะไร้ขีดจำกัด
ระหว่างกินยังวิจารณ์เป็นครั้งคราว
“สเต๊กลูกวัวทอดได้ไม่เลว แต่ตัวเนื้อไม่ค่อยดีเท่าไร…”
“ซอสหวานขจัดกลิ่นคาวของปลาไหลได้ แต่ปัญหาคือค่อนข้างมัน…”
“ขาแกะย่างได้สุกพอดี ด้านนอกเหลืองกรอบ ด้านในนุ่มฉ่ำ แต่การเลือกเครื่องเทศยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ใส่แอนีซมากเกินไป…”
“…”
จะกินก็กินเถอะ พูดมากจริงๆ … ลูเมี่ยนเงียบมองเด็กชายกินอาหารคาวบนโต๊ะด้วยสีหน้าพึงพอใจ
สิบห้านาทีถัดมา บารอนบรินิแยร์ที่สวมหมวกผ้าไหมกึ่งสูงและแหวนเพชร ก็โผล่ขึ้นที่ทางเข้าชั้นสอง
เด็กชายหันหลังกลับด้วยใบหน้าตกตะลึง มองค้างครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมามองลูเมี่ยนอีกครั้ง
ลูเมี่ยนพูดพลางอมยิ้ม
“คงไม่ได้คิดว่าในคาบาเร่ต์แห่งนี้ มีแค่ฉันที่รู้จักเธอหรอกนะ?”
เด็กชายชะงักค้างไป ไม่พูดไม่จาอีกเลย
บารอนบรินิแยร์เดินมาถึงตรงหน้าลูเมี่ยน พูดพลางถอนหายใจโดยไม่ปิดบัง
“ขอบคุณนะ ชาร์ล”
“ผมแค่บังเอิญเห็นเขาขโมยของกินในห้องใต้ดินน่ะ” ลูเมี่ยนตอบด้วยท่าทีเป็นมิตร
บารอนบรินิแยร์มองเด็กหนุ่มครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าพูดกับเด็กชาย
“ลุดวิก เรากลับกันเถอะ”
เด็กชายลุดวิกยังคงไม่พูดไม่จา รีบกินอาหารที่เหลือไม่มากจนเกลี้ยงจาน แล้วลุกขึ้นยืน
“ชาร์ล เดี๋ยวผมมาหาคุณใหม่” บารอนบรินิแยร์พยักหน้าให้ลูเมี่ยน
ลูเมี่ยนนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มองบารอนบรินิแยร์จับมือลุดวิกเดินออกจากร้านกาแฟ จึงพูดไล่หลังพร้อมรอยยิ้ม
“จ่ายค่าอาหารด้วย”
บารอนบรินิแยร์ชะงักเล็กน้อย ดวงตาสั่นระริก ประหนึ่งเจตจำนงเริ่มแรกกำลังสั่นคลอน
เขาไม่พูดมาก หยิบกระเป๋าสตางค์ที่ใส่ธนบัตรไว้พอสมควร ออกมาจ่ายค่าอาหารของลุดวิก
หลังจากมองหลังผู้ใหญ่กับเด็กหายลับไปตรงปากบันได ลูเมี่ยนผ่อนหลังพิงพนักเก้าอี้ เปล่งเสียงต่ำ พูดกับตัวเองว่า
“เทอร์มีโพลอส… ไหนล่ะโอกาสที่ว่า”
…………………………………………………
.