ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 306 ขัดแย้งในตัวเอง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 306 ขัดแย้งในตัวเอง
ตอนที่ 306 ขัดแย้งในตัวเอง
ลูเมี่ยนค่อนข้างสงบ เริ่มเล่าจากตอนที่ตนซ่อนตัวอยู่ในใต้ดินทรีอาร์ท่ามกลางกลิ่นอายความน่าชิงชัง จนกระทั่งได้เจอกับจินนา
ฟรังก้ายิ้มแห้งอย่างกระอักกระอ่วน แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ทำไมคุณถึงน่าชิงชังได้ล่ะ ไม่ได้คลุ้มคลั่งสักหน่อยนี่?”
เธอเคยเห็นผู้วิเศษเส้นทางนักล่าคลุ้มคลั่งมาแล้วสองสามหน ส่วนใหญ่ดึงดูดความเกลียดชังจากคนรอบข้าง ส่งผลให้ถูกกำจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว
ลูเมี่ยนอธิบายสั้นกระชับ
“ผมได้สมบัติปิดผนึกมาชิ้นหนึ่ง ผลข้างเคียงคือหลังถอดมันออกแล้ว จะกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจและน่าชิงชังนานหนึ่งชั่วโมง”
“แล้วถ้าไม่ถอด?” จินนาถามด้วยความอยากรู้
ลูเมี่ยนยกมุมปากยิ้ม
“ถ้าไม่ถอด มันจะกลายเป็นสัญญาณเตือนภัย ดึงดูดผู้วิเศษทางการใกล้ๆ มาจับผม”
“เรียกร้องความสนใจเก่งไม่เบา” ฟรังก้าพูดติดตลกพลางหัวเราะ
“ก็มันชอบ ‘มีหน้ามีตา’ นี่นา” ลูเมี่ยนพูดเป็นนัย ตามด้วยเสริมลอยๆ “ความสามารถหลักของมันคือ ‘ติดสินบน’ รวมถึง ‘บิดเบือน’ อีกเล็กน้อย”
เนื่องจากมีแนวโน้มสูงว่าตนต้องร่วมงานกับฟรังก้าในอนาคต อย่างน้อยก็เพื่อจัดการกับหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ เด็กหนุ่มจึงยอมเปิดเผยคุณสมบัติของเข็มกลัด ‘มีหน้ามีตา’ แต่ก็มิได้เล่าละเอียดนัก โดยเฉพาะด้านอานุภาพและความรุนแรงของพลังวิเศษ เนื่องจากสมบัติวิเศษคือไพ่ตายของผู้วิเศษ หากมีคนสืบรู้ไพ่ตายทุกซอกมุม ก็ย่อมรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นธรรมดา เหมือนกับที่ฟรังก้ายอมบอกข้อมูลของ ‘แหวนลงทัณฑ์’ ในภารกิจคราวก่อน แต่มิได้พูดถึงคุณสมบัติของปืนลูกโม่ทองแดง รวมถึงสมบัติชิ้นอื่น
สนทนากันบ้าง ปิดบังกันบ้าง ไว้วางใจกันบ้าง ระมัดระวังตัวเบื้องต้นบ้าง สิ่งเหล่านี้ต้องรักษาสมดุลไว้ให้ดี
ฟรังก้ามิได้ซักต่อ เพียงนึกทบทวนแล้วพูด
“สอดคล้องกับเส้นทาง ‘จักรพรรดิมืด’ ลำดับ 7 ‘นักติดสินบน’ และลำดับ 6 ‘บารอนเน่าเปื่อย’ … ดูเหมือนว่าบารอนเน่าเปื่อยสักคนจะตายไป ตะกอนพลังแยกตัวออกมา จนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับวัตถุบนร่างกาย กลายเป็นสมบัติปิดผนึก โดยมิได้แสดงศักยภาพเหมือนกับตัวจริงมากนัก”
“จักรพรรดิมืด?” ลูเมี่ยนไม่เคยได้ยินชื่อเส้นทางนี้มาก่อน จินนาก็เหมือนกัน
“จักรพรรดิมืดคือชื่อลำดับเทพของเส้นทาง ‘นักกฎหมาย’” เล่าถึงตรงนี้ ฟรังก้าลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเล่าต่ออย่างกระตือรือร้น “มีข่าวลือว่า ก่อนที่จักรพรรดิโรซายล์จะสิ้นพระชนม์ ทรงได้กลายเป็นจักรพรรดิมืด ได้กลายเป็นเทพตัวจริงไปแล้ว!”
ลูเมี่ยนกับจินนาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ คุณมองฉัน ฉันมองคุณ ต่างรู้สึกตกใจพอสมควร
สำหรับชาวอินทิสรักชาติ สถานะของจักรพรรดิโรซายล์ในใจพวกเขานั้น คือสิ่งที่ฟรังก้าคาดเดาไม่ถูก
เขา ไม่สิ พระองค์กลายเป็นเทพตัวจริง?
“ข่าวลือน่ะ ข่าวลือ… เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น” ฟรังก้ารีบเสริม เพื่อป้องกันมิให้ภาพลักษณ์ ‘คนที่ไว้ใจได้’ ของตนต้องเสื่อมเสีย
คุยกันอีกสองสามคำ จินนาเปิดกล่องไว้ที่กอดไว้ด้วยมือขวา แล้วหยิบกล่องด้านในออกมา
ในกล่องเหล่านั้นประกอบด้วย: หัวใจดวงเล็ก รูปร่างคล้ายรังผึ้งสีคล้ำ; กระเปาะที่หลั่งของเหลวสีค่อนไปทางเขียวเข้ม; และท่อทางเดินหายใจสั้นๆ สีดำเหมือนควัน; หนึ่งกล่องหนึ่งอย่าง
ฟรังก้าพินิจมองสองสามวินาที ตามด้วยพยักหน้าเบาๆ
“หัวใจของนกพรานผึ้งคอมาร กระเปาะพิษของผู้เร้นกายในเงา วัตถุดิบหลักครบหมดแล้ว อา… ผู้เร้นกายในเงาคืองูสองหัวชนิดพิเศษ”
“เส้นเสียงของนกพรานผึ้งคอมารก็มี… ขาดแต่น้ำดอกลำโพงสีน้ำเงิน ผงแหนแดง ผลเกาลัด และน้ำบริสุทธิ์… น้ำดอกลำโพงสีน้ำเงินฉันมี ส่วนวัตถุดิบเสริมอีกสามชนิดหาง่ายมาก”
ผงแหนแดง… ลูเมี่ยนจำได้ว่าวัตถุดิบเสริมของโอสถนักยั่วยุ ก็ต้องใช้เจ้าสิ่งนี้เช่นกัน มันมีความหมายว่า ‘ถูกคำพูดของผู้อื่นชักจูงได้ง่าย’
จากมุมมองดังกล่าว นักกระตุ้นกับนักยั่วยุถือว่าใกล้เคียงกันในระดับหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเส้นทางนักล่ากับนางมาร คือเส้นทางใกล้เคียงที่สามารถทดแทนกันได้
เห็นจินนารู้สึกร้อนใจ เหมือนอยากไปร้านค้าเพื่อซื้อใบแหนแดงกับผลเกาลัดประเดี๋ยวนี้เลย แล้วต้มน้ำบริสุทธิ์ข้ามคืน ฟรังก้าจึงออกปากเตือน
“อย่าเพิ่งใจร้อน ปรับสภาพตัวเองให้ดีก่อน แม้เธอจะย่อยโอสถนักลอบสังหารหมดแล้ว และจากสถิติในช่วงไม่กี่ปีหลัง โอกาสคลุ้มคลั่งหลังจากดื่มโอสถนักกระตุ้นนั้นมีต่ำมาก แต่ในเมื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จได้ ทำไมจะไม่ทำล่ะ? การลดความเสี่ยงภาวะคลุ้มคลั่งให้เหลือน้อยที่สุด จนไม่ต้องไปเครียดกับมัน ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
จินนามองค้อนครู่หนึ่ง แล้วนั่งลงบนโซฟา หลับตาลง ปรับจังหวะการหายใจ
ลูเมี่ยนเองก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาเดี่ยวด้านข้าง วางสองแขนไว้บนที่พักแขน มองหน้าฟรังก้าแล้วตั้งคำถาม
“หาเถ้ากระดูกมัมมี่ของจริงได้หรือยัง”
“ยังเลย” ฟรังก้าส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ฉันเสนอราคาให้ถึงห้าร้อยเฟลคินต่อสิบกรัมแล้ว แต่ของที่พวกนั้นนำมาขายก็ยังปลอมทั้งหมด… ไร้น้ำยากันจริงๆ แยกแยะไม่เป็นเลยสักคน!”
“แค่ห้าร้อยเฟลคินเองหรือ” ลูเมี่ยนเยาะหยันพลางถาม “คุณรวยไม่ใช่หรือไง”
“ปกติแค่สิบกรัม ราคาจริงแค่หนึ่งร้อยเฟลคินเท่านั้น ฉันให้ห้าร้อยถือว่าเยอะมากแล้ว!” ฟรังก้าตอบอย่างหงุดหงิด “แล้วตอนนี้ฉันก็ไม่ค่อยมีเงินด้วย”
ลูเมี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก พอจะเข้าใจเหตุผลที่ฟรังก้ากำลังยากจน
ภารกิจแทรกซึมเข้าชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กของเธอ ไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ขนาดนั้น เรียกได้เพียงว่าช่วยสนับสนุนให้ลูเมี่ยนทำสำเร็จ เป็นธรรมดาที่รางวัลของเธอจะไม่ใช่วัตถุดิบหลักโอสถ ‘นางมารสุขสม’ แต่เป็นสิทธิ์ในการซื้อมันโดยมีส่วนลด
“ยังขาดอีกเท่าไร?” จินนาลืมตาวาบ พยายามเสนอความช่วยเหลือ
ฟรังก้าส่ายหน้า
“แม้แต่ห้าร้อยเฟลคินก็ยังไม่เจอของจริงเลย หนึ่งพันก็คงไม่ต่าง มีแต่จะทำให้คนอื่นคิดว่าฉันเป็นไอ้งั่ง แล้วรอให้ทางนี้เสนอราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ”
เธอหันไปมองลูเมี่ยน
“ช่วงนี้มีแผนจะทำอะไรไหม”
ถ้าไม่รีบร้อน เธออยากรออีกสักหน่อย ถ้ามีเวลาสักครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน ก็คงหาเถ้ากระดูกมัมมี่ของแท้ได้แน่นอน แต่ในเมื่อลูเมี่ยนต้องการความช่วยเหลือในสัปดาห์หน้า เธอรู้สึกว่าตนควรคำนึงถึงการเดินทางไปยังที่ราบสูงดวงดาวเพื่อซื้อมัมมี่ของจริง
ลูเมี่ยนเข้าใจความนัยแฝงของฟรังก้า จึงพูดพลางทำหน้าครุ่นคิด
“กำลังมองหาโอกาส ‘จุดไฟ’ เพื่อย่อยโอสถให้ถึงระดับหนึ่ง”
หากทำสำเร็จ เขาจะได้รับพร ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ ซึ่งมาพร้อมพลังหลากหลายชนิดจากสิ่งมีชีวิตหลากหลายประเภท
เท่าที่ทราบในปัจจุบัน ผู้ถือพันธสัญญาที่เพิ่งเลื่อนลำดับ จะทำสัญญาได้เพียงสามฉบับ ลูเมี่ยนวางแผนจะเลือกสามจากสี่อย่างนี้ ได้แก่ ‘พลังโจมตีวิญญาณหรือจิตใจ’ ‘พลังการย้ายตำแหน่งเบื้องต้น’ ‘พลังการปลอมตัวเบื้องต้น’ และ ‘พลังจำพวกล่องหนหรือซ่อนตัวในเงา’
แต่การตัดสินใจสุดท้ายยังต้องอ้างอิงจากข้อมูลสัตว์โลกวิญญาณ บางที สัตว์ที่เหมาะสมและเต็มใจจะทำพันธสัญญากับลูเมี่ยน อาจไม่มีพลังข้างต้น
สิ่งเดียวที่ลูเมี่ยนมั่นใจก็คือ สัตว์โลกวิญญาณทุกตัวมีความสามารถ ‘เดินทางข้ามโลกวิญญาณ’ ซึ่งถือเป็นพลังในการย้ายตำแหน่งเบื้องต้น แต่จะแตกต่างกันที่ความเร็ว หากเขาทำสัญญากับ ‘เจ้ากระดาษขาว’ บางทีอาจย้ายตำแหน่งได้เพียงครั้งละสิบถึงยี่สิบเมตร หากคิดจะพึ่งพามันเดินทางไปทวีปใต้ เกรงว่าต่อให้เหนื่อยจนคลุ้มคลั่งก็คงทำไม่สำเร็จ
“จุดไฟ… แผนคืออะไร?” ฟรังก้าขัดสมาธินั่งบนเก้าอี้เอนหลัง
ลูเมี่ยนอธิบายกฎการสวมบทบาทข้อแรกของนักวางเพลิงที่ตนสรุปได้
“การสวมบทบาทตรงๆ คือการให้ยุยง ทางอ้อมคือการปลุกระดม ทั้งสองวิธีต่างก็ช่วยในการย่อยโอสถ” ฟรังก้าช่วยเสริมจากประสบการณ์ตรง “เรื่องนี้ไม่ยาก พรุ่งนี้คุณไปที่ท่าเรือ ยุยงให้แรงงานขนของหยุดงานประท้วง คำขวัญคือการเรียกร้องค่าตอบแทนที่ดีขึ้น”
ลูเมี่ยนบรรจงส่ายหน้า
“ถ้าการปลุกระดมให้พวกเขาประท้วง มีโอกาสสูงที่จะช่วยให้คนเหล่านั้นบรรลุเป้าหมาย ผมก็จะลองทำดู แต่ถ้ามันนำมาซึ่งหายนะให้พวกเขา เลือกได้ผมก็ไม่อยากทำ”
“ผมไม่ชอบการหลอกใช้คนอื่นแล้วไม่จ่ายผลประโยชน์ แถมยังจะสร้างความเดือดร้อนให้อีกฝ่าย… เว้นแต่จะเข้าตาจนจริงๆ ที่ต้องเลือกเสียสละใครสักคน”
“เมื่อก่อนเคยมีไอ้เวรหนึ่งตัว มันชอบพูดว่าทุกคนต้องร่วมมือกัน เราถึงจะแย่งจากคนอื่นได้ ถึงจะมีอาหารเพียงพอ แต่รู้อะไรไหม ระหว่างที่พวกเราสามัคคีกันแย่งอาหารจากคนอื่น มันฉวยโอกาสหนีไปพร้อมกับอาหารของเรา”
“เป็นคนที่มีประสบการณ์หลากหลายจริงๆ” ฟรังก้ามองลูเมี่ยนอีกครั้ง รู้สึกว่าอีกฝ่ายมิได้เป็นเพียงน้องชายของมักเกิ้ล
จินนาก็คิดคล้ายกัน
ฟรังก้าเปลี่ยนมาพูดด้วยสีหน้าใคร่ครวญ
“สรุปก็คือ คุณสนใจเพียงการปลุกระดมในแง่บวก… ฉันก็คงเหมือนกัน แม้จะเห็นปากเสียแบบนี้ แต่ความจริงแล้ว… ฮะๆ … ใจไม่แข็งพอหรอก”
ลูเมี่ยนจ้องอีกฝ่ายเขม็ง แล้วพูดพลางครุ่นคิด
“ผมรู้สึกว่าคุณขัดแย้งในตัวเองมาก บางครั้งก็เหมือนมีประสบการณ์เยอะ เจนโลก รู้มากไปหมด แถมยังวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้ชาญฉลาด แต่บางครั้งก็โง่งม ไร้เดียงสา ซื่อบื้อ”
ความขัดแย้งในตัวเองแบบนี้ นอกจากฟรังก้า ลูเมี่ยนเคยเห็นแค่คนเดียว นั่นคือโอลัวร์พี่สาวตน
ฟรังก้าที่ถูกลูเมี่ยนยั่วยุด้วยคำเชิงลบติดต่อกันสามคำจนอดรนทนไม่ไหว เผลอโพล่งออกมา
“กำลังยั่วยุกันอยู่หรือไง? ฉันโง่ตรงไหน ซื่อบื้อตรงไหน?”
พูดจบ เธอสังเกตเห็นสายตาไม่ค่อยเห็นด้วยของจินนา
“แฮ่ม…” ฟรังก้าล้างคอแล้วพูดต่อ “นั่นเพราะว่าฉันค่อนข้างหวังดีกับโลก ค่อนข้างคาดหวังกับโลกใบนี้อยู่บ้าง ถึงแม้จะตระหนักถึงความโหดร้ายของชีวิต แต่ก็ยังรักชีวิตอยู่ เฮ้อ… คนส่วนใหญ่ในรุ่นของฉันต่างก็เป็นแบบนี้ มีเพียงส่วนน้อยที่จิตใจเข้มแข็ง มุ่งมั่น ฉลาดโดดเด่น ไหวพริบแพรวพราว ทำตัวราวกับไม่เคยกลัวความยากลำบาก ไม่เคยเกิดความขัดแย้งทางศีลธรรมในใจ”
หมายถึงคนของสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก? ทำไมถึงมีนิสัยเกาะกลุ่มกันได้ล่ะ? ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ แต่มิได้ถามมากความ
เนื่องจากจินนาวางแผนจะรวบรวมวัตถุดิบเสริมที่เหลือพรุ่งนี้ แล้วค่อยเลื่อนลำดับเป็นนักกระตุ้น เด็กหนุ่มจึงรีบออกจากถนนเสื้อนอกขาว กลับไปยังโรงแรมระกาทอง
ระหว่างเดินขึ้นบันได ลูเมี่ยนเห็นนักค้าข่าวอ็องโตนี·รีดถือกระเป๋าเดินทางลงมา
“จะย้ายออกแล้วหรือ” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
“ใช่” อ็องโตนี·รีดที่ยังคงสวมเสื้อลายพรางสีเขียวทหารทั้งตัว พยักหน้ารับเบาๆ
ลูเมี่ยนหัวเราะในคอแล้วถามไถ่
“ไม่ใช่ว่ายังมีธุระต้องสะสางในเขตตลาดหรือ”
“เบาะแสขาดหายไปแล้ว” อ็องโตนี·รีดถอนหายใจเบาๆ
เบาะแสขาดหาย? ลูเมี่ยนนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นโปสเตอร์หาเสียงของบรรดาสส. ในห้องอีกฝ่าย จึงลองถามหยั่งเชิง
“เพราะฮิวจ์·อาร์ทัวส์เสียชีวิตแล้ว?”
…………………………………………….
.