ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 298 โรงเรียนกุหลาบ
ตอนที่ 298 โรงเรียนกุหลาบ
ศาสนจักรเดอะฟูล? คำตอบนี้ทำให้ลูเมี่ยนทั้งประหลาดใจและไม่ประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
เด็กหนุ่มไม่คาดคิดว่าศาสนจักรเดอะฟูลจะเต็มไปด้วยผู้วิเศษเส้นทางนักโทษ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า หากอิงจากคำบรรยายในพระคัมภีร์ ไม่ว่าใครจะมาจากเส้นทางใดก็ดูไม่น่าแปลกใจ
ฟรังก้ายิ้มแล้วลงลึกรายละเอียด
“อันที่จริง ผู้วิเศษเส้นทางนักโทษของโรงเรียนกุหลาบ และผู้วิเศษเส้นทางนักโทษของศาสนจักรเดอะฟูล เดิมทีเป็นพวกเดียวกัน”
“ภายหลังได้แยกออกจากกัน?” ลูเมี่ยนลองเดา
ฟรังก้าพยักหน้าแล้วเล่าต่อ
“โรงเรียนกุหลาบถือเป็นองค์กรที่เก่าแก่มาก มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสองพันปี สามารถสืบย้อนไปจนถึงก่อนยุคที่สี่ ก่อนจะเกิดหายนะครั้งใหญ่”
ประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสองพันปี… ลูเมี่ยนถึงกับอึ้ง
เมื่อเด็กหนุ่มทราบว่าชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กก่อตั้งเมื่อสองสามร้อยปีก่อน เขารู้สึกถึงกลิ่นอายประวัติศาสตร์และคิดว่ามันเก่าแก่แล้ว แต่เมื่อนำมาเทียบกับโรงเรียนกุหลาบ ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กกลับดูเยาว์วัยประหนึ่งเด็กน้อยที่ยังไม่ถึงเกณฑ์เรียนภาคบังคับเลยทีเดียว
ฟรังก้าเล่าต่อ
“โรงเรียนกุหลาบเคยเป็นองค์กรหลักของทวีปใต้ ปกครองหุบเขาแม่น้ำเพิร์ธและที่ราบสูงดวงดาวในระบอบรวมศาสนาและอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียว จนกระทั่งถูกกลุ่มประเทศทวีปเหนือรุกราน”
“พวกเขาสูญเสียดินแดน ต้องหลบซ่อนและทำสงครามกองโจร ด้านหนึ่งก็คอยต่อต้านผู้ล่าอาณานิคม พยายามขับไล่พวกนั้นออกจากทวีปใต้ อีกด้านหนึ่งก็คอยก่อเหตุสะเทือนขวัญบนทวีปเหนือเป็นระยะ… อา… ซึ่งความจริงแล้ว การทำแบบนั้นไม่ช่วยในการต่อต้านการล่าอาณานิคมเลย กลับยิ่งทำให้ผู้คนในหลายประเทศทวีความเกลียดชัง แต่แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักของพวกเขาอาจไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เพื่อประกอบพิธีสังเวยเลือดหรือพิธีอื่นๆ มากกว่า”
“แล้วทำไมภายหลังถึงแยกตัว?” ลูเมี่ยนสนใจคำถามนี้มากกว่า
ฟรังก้าเดินไปเดินมาในห้องนั่งเล่นด้วยท่าทีสบายๆ
“ภายในโรงเรียนกุหลาบมีความขัดแย้งทางแนวคิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ความเชื่อที่ตรงกันคือ เจตจำนงล้วนเกิดจากแรงกระหาย ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง สามารถสร้างผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ แต่ในแง่ของการควบคุมแรงกระหาย แต่ละฝ่ายมีมุมมองไม่เหมือนกัน”
“บางคนเชื่อว่าต้องปล่อยให้แรงกระหายโลดแล่นอย่างบ้าคลั่งตลอดเวลา จัดพิธีกรรมอย่างดุเดือดหรือป่าเถื่อน เพื่อเสริมเจตจำนงให้แรงกล้ายิ่งขึ้น แต่บางคนพิจารณาจากชื่อโอสถแล้วเชื่อว่าควรข่มแรงกระหายเอาไว้ในใจ สั่งสมเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญ จึงค่อยระเบิดปะทุออกมา กระตุ้นให้เกิดคลื่นยักษ์แห่งความหวาดกลัว”
“ดังนั้น ฝั่งหนึ่งจึงถูกเรียกว่า ‘ฝ่ายปล่อยตัณหา’ ส่วนอีกฝั่งคือ ‘ฝ่ายระงับตัณหา’”
นักโทษ… ลูเมี่ยนทวนชื่อของโอสถลำดับ 9 เส้นทางนี้ในใจ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ผมมองว่า ‘ฝ่ายระงับตัณหา’ คิดถูกนะ”
“คนที่สมองปกติล้วนคิดแบบนั้น ก็ในเมื่อร่างกายคือกรงขังจิตใจ โลกคือกรงขังร่างกาย ความบ้าคลั่งต้องถูกกดไว้ ตัณหาต้องถูกข่มไว้” ฟรังก้ากล่าวเย้ยหยัน “แต่พวกสมองเพี้ยนมีอยู่ทุกที่ พอปล่อยตัวปล่อยใจไปจนสุดทาง ก็เหลือเพียงความบ้าคลั่ง ปัญญาอันน้อยนิดที่มีก็รักษาไว้ไม่ได้”
ถึงว่ามนุษย์หมาป่ามีพฤติกรรมแบบนั้น… คงเป็นคนของโรงเรียนกุหลาบจริงๆ … ถ้าสมาชิกคนอื่นของโรงเรียนกุหลาบมีสติปัญญาไล่เลี่ยกับหมอนั่น หมายความว่าผู้วิเศษของโรงเรียนกุหลาบล้วนแข็งแกร่งเหนือธรรมดา เพราะภายใต้ปัจจัยที่ปัญญาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาอยู่รอดจนถึงปัจจุบันโดยไม่เสียแก่นสารไป ก็คือความแข็งแกร่งที่มากพอ… ลูเมี่ยนคิดอยู่หลายตลบด้วยความเย้ยหยันปนเตือนสติ
ฟรังก้าพูดพลางมองแสงแดดที่สว่างขึ้นตามลำดับด้านนอกหน้าต่าง
“ช่วงแรกฝ่ายปล่อยตัณหากับระงับตัณหายังพออยู่ร่วมกันได้ เจ้าไม่ยุ่มย่ามกับข้า ข้าไม่แทรกแซงเจ้า และไม่ไปยุ่งกับพวกที่เจ้าคุ้มครอง แต่ในภายหลัง ฝ่ายปล่อยตัณหาเริ่มประกาศว่า ‘เทพผู้ถูกล่าม’ ที่ทั้งสองนับถือร่วมกันนั้น คือภาคหนึ่งของเทพมารองค์หนึ่ง”
เทพมารองค์หนึ่ง… ปล่อยตัณหา… ลูเมี่ยนขมวดคิ้วฉับพลัน ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงราวกับต้องการยืนยัน
“มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย?”
“ใช่” ฟรังก้าหัวเราะ “เทพที่คุณคุ้นเคย ไม่สิ เทพที่คุ้นเคยกับคุณ”
ไม่ได้อยากคุ้นเคยด้วยเลยสักนิด… แม้แต่โรงเรียนกุหลาบก็นับถือมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเหมือนกันหรือ? ดูเหมือนเหตุผลที่มนุษย์หมาป่าสืบข้อมูลของพรรคซาฟาห์ จะซับซ้อนกว่าที่เราเคยคิดไว้… พวกสมาคมเสียวซ่านไม่มีความเชื่อมโยงกับโรงเรียนกุหลาบหรือไง ทำไมไม่แบ่งปันข้อมูลกัน? ลูเมี่ยนจมอยู่ในความคิด
ส่วนฟรังก้าถอนหายใจจากก้นบึ้ง
“ก็เป็นเทพมารนี่นา” ลูเมี่ยนตอบกลับ พลางเตือนพวกพ้องของตน “คุณคงไม่ได้คิดจะลองหรอกนะ?”
ฟรังก้าหัวเราะแห้งๆ
“ฉันแยกแยะได้น่า ว่าเรื่องไหนลองได้ เรื่องไหนไม่ได้ ถ้าเป็นอันตรายจากเทพมาร ฉันเข้าใจดีกว่าคุณด้วยซ้ำ”
“อา… ในเวลาต่อมา ฝ่ายปล่อยตัณหาลอบโจมตีฝ่ายระงับตัณหาโดยไม่ให้ตั้งตัว จนพวกเขาบาดเจ็บสาหัส สมาชิกของฝ่ายระงับตัณหาที่รอดมาได้ต้องหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน ถูกตามล่าเป็นเวลานาน จนกระทั่งได้มิสเตอร์ฟูลช่วยคุ้มครองไว้”
“ฉันได้ยินมาว่า ท่านนักบุญชารอนแห่งศาสนจักรเดอะฟูลเคยเป็นสมาชิกของฝ่ายระงับตัณหา รวมถึงเทวทูตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ข้างพระบัลลังก์ของมิสเตอร์ฟูลด้วย…”
ฝ่ายปล่อยตัณหาต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ถึงสามารถไล่ต้อนฝ่ายระงับตัณหาที่นำโดยเทวทูตจนต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน พวกมันต้องมีเทวทูตแน่ และมิใช่แค่หนึ่งองค์… แต่ศาสนจักรเดอะฟูลก็สามารถคุ้มครองฝ่ายระงับตัณหาได้เช่นกัน… พอฟังจบ ลูเมี่ยนก็เข้าใจประวัติศาสตร์เบื้องต้นของโรงเรียนกุหลาบ ขณะเดียวกันก็ยิ่งอุ่นใจกับความน่าเกรงขามของศาสนจักรเดอะฟูล พลางเชื่อมโยงชื่อบางส่วนในพระคัมภีร์เข้ากับบุคคลสำคัญบนโลกความจริง
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มก็เริ่มเข้าใจเหตุผลที่ ‘อัศวินดาบ’ —อีกหนึ่งผู้ถือไพ่อาร์คาน่าเล็ก—ต้องระเบิดคลังแสงของโรงเรียนกุหลาบ
“หึๆ … ตอนนี้คงเรียกโรงเรียนกุหลาบไม่ได้แล้วกระมัง น่าจะเรียก ‘โรงเรียนตัณหา’ ไปเลย” ลูเมี่ยนเย้ยหยัน
ฟรังก้าตอบกลับอย่างขำขัน
“ฟังดูไม่เพราะเท่าไร คิดว่าองค์กรลับทุกแห่งจะไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้เหมือนชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กหรือไง”
พอทั้งสองคุยกันถึงตรงนี้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยของจินนา
เมื่อเปิดประตูเข้ามา จินนาแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นลูเมี่ยนนั่งอยู่ในห้อง
“เมื่อคืนเขาเพิ่งเจอดีมาน่ะ” ฟรังก้ารีบโพล่ง
“เจออะไร?” จินนามองกวาดลูเมี่ยนสองสามหน แต่ก็ไม่พบร่องรอยการบาดเจ็บ
ฟรังก้าเล่าเรื่องมนุษย์หมาป่าและโรงเรียนกุหลาบให้ฟังอย่างรวบรัด โดยละส่วนที่เกี่ยวกับศาสนจักรเดอะฟูลซึ่งเป็นความลับระหว่างเธอกับลูเมี่ยน
ยิ่งฟังจินนาก็ยิ่งใจหาย รู้สึกว่าตัวเองที่เป็นเพียงลำดับ 9 ในโลกศาสตร์เร้นลับ ช่างไร้ค่าเสียเหลือเกิน
สิ่งนี้ทำให้ปณิธานที่ต้องการเป็น ‘นักกระตุ้น’ แรงกล้ายิ่งกว่าเก่า
หลังจากเล่าเรื่องที่เพิ่งคุยกันจบ ฟรังก้าเสริมต่อ
“ฉันจะอธิบายภาพรวมของ ‘ซอมบี้’ กับ ‘วิญญาณอาฆาต’ แบบรวบย่อ เพื่อไม่ให้พวกคุณใช้ชีวิตอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หรือพบเจอความผิดปกติแต่ไม่รู้ว่านั่นคือปัญหา”
“การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดระหว่างซอมบี้กับมนุษย์หมาป่า คือร่างกายพวกมันจะแข็งราวกับเหล็กกล้า ไม่กลัวไฟไหม้ ไม่กลัวกระสุนปืนหรือกระสุนปืนใหญ่ ต้องยิงเข้าตำแหน่งเดิมอย่างต่ำห้านัดขึ้นไปถึงจะมีโอกาสทำลายแนวป้องกัน และด้วยความที่เป็นซอมบี้ ตราบใดที่หัวยังไม่ถูกทำลาย พวกมันก็จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”
“พวกมันยังรู้จักคาถาจำพวกเน่าเปื่อย น้ำแข็ง และความตาย สามารถปลุกวิญญาณและศพให้ตื่นเพื่อออกคำสั่งได้”
“‘วิญญาณอาฆาต’ จะเปลี่ยนร่างเป็นผีได้อย่างอิสระ หมายถึงการไม่มีร่างเนื้ออีกต่อไป จึงไม่กลัวความเสียหายทางกายภาพ อำนาจของคาถาถูกยกระดับขึ้นมาก อีกทั้งยังสามารถสิงร่างของพวกคุณโดยที่มิอาจขัดขืน ควบคุมการเคลื่อนไหว สั่งให้ฆ่าตัวตายยังไงก็ได้”
“หลังจากกลายเป็นวิญญาณอาฆาต พวกมันสามารถเคลื่อนที่ระหว่างกระจก ซ่อนตัวในกระจก ต่อให้พวกคุณเปิดเนตรวิญญาณ ก็แทบไม่มีหวังที่จะเห็นพวกมันโดยตรง”
“หากพบเจอความผิดปกติทำนองว่าผีหลอก ห้ามประมาทเด็ดขาด ต้องคำนึงว่าอาจกำลังเผชิญภัยคุกคามจากวิญญาณอาฆาตตัวจริง”
ลูเมี่ยนฟังอย่างตั้งใจจนจบ แล้วถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ถ้าเผชิญหน้ากับซอมบี้หรือวิญญาณอาฆาต ให้เน้นโจมตีวิญญาณโดยตรงจะได้ผลกว่าสินะ?”
“ใช่ ฉันขอแนะนำพลังในขอบเขตสุริยัน” ฟรังก้าหัวเราะในคอ “แต่คำแนะนำที่ดีกว่าคือ ถ้าคุณเจอศัตรูแบบนั้น หนีได้ก็รีบหนี หนีไม่ทันก็ขอความช่วยเหลือ”
ลูเมี่ยนไม่เคยรู้สึกเสียหน้าที่ต้องตะโกน ‘ช่วยด้วย’ เขาเห็นด้วยกับคำแนะนำของฟรังก้า พลางเสนอแนวคิดใหม่
“ในเมื่อพวกมันอยู่ฝ่ายปล่อยตัณหา… เราลองแก้ทางด้วยพลังประเภทกระตุ้นแรงกระหายดีไหม?”
หากเป็นแบบนั้น สมบัติวิเศษที่สร้างจากกิ่งพฤกษาเงา ก็อาจได้ใช้ประโยชน์ทันที
ลูเมี่ยนยังไม่ได้แจ้งข่าวกับมาดามเมจิกเชี่ยน โดยตั้งใจจะรอรางวัลจากมิสเตอร์ K ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะใช้ตะกอนพลังจากเส้นทางใดมาคู่กับกิ่งพฤกษาเงา
หลังจากคุยเรื่องโรงเรียนกุหลาบจบ จินนาก็เล่าเรื่องที่ตนถูกชักชวนให้เป็นสายข่าว รวมถึงการบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับคดีอารามในหุบเขาลึก
ฟรังก้ายินดีกับเธอจากก้นบึ้ง
“เยี่ยมเลย! นี่เท่ากับว่าเธอมีแหล่งทรัพยากรที่แน่นอนแล้ว แต่ทางการไม่ค่อยปล่อยของสำคัญๆ มาให้ เธอพึ่งพาพวกเขาไม่ได้ทั้งหมดหรอก”
ลูเมี่ยนนึกไม่ถึงว่าวาเลนไทน์จะมาที่เขตตลาดด้วย จึงเริ่มรู้สึกกังวลที่ตนยังขาดวิธีในการปลอมตัว — แว่นส่องความลับใช้ได้เฉพาะเวลาสำคัญเท่านั้น
เด็กหนุ่มครุ่นคิดสักพัก แล้วจึงพูดกับจินนา
“การแสดงความเลื่อมใสต่อองค์สุริยันเจิดจรัสอย่างแรงกล้าต่อหน้าผู้ชำระ อาจสร้างผลลัพธ์ดีๆ ให้คุณอย่างคาดไม่ถึงก็ได้นะ”
“ดูเหมือนคุณจะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้นะ” จินนาเหลือบมอง รู้สึกว่าชาร์ลคนนี้ยังซ่อนความลับไว้อีกมาก
…………
หลังออกจากบ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว ลูเมี่ยนเดินเตร่กลับไปยังคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ยิ่งเด็กหนุ่มสัมผัสกับองค์กรลับมากเพียงใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองขาดปัญญาด้านศาสตร์เร้นลับมากเท่านั้น
ลูเมี่ยนดื่มอัปแซ็งต์เพื่อให้สมองตื่นตัว แล้วนั่งลงในห้องทำงานตัวเอง
ขณะเตรียมจะเปลี่ยนไปนั่งท่าที่สบายกว่าเดิม ก็ได้เห็นแสงดาวประปรายซึมออกจากความว่างเปล่าเบื้องหน้า ก่อตัวเป็นประตูที่เปล่งประกายชวนให้หลงใหล
ประตูเปิดออก มาดามเมจิกเชี่ยนเดินออกมา วันนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีครีม กระโปรงยาวสีน้ำตาลอ่อนคู่กับบูตหนังสีเข้ม
มีเรื่องอะไร? ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืนทันที
มาดามเมจิกเชี่ยนพูดยิ้มๆ
“เพื่อนคนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่า จะมาช่วยตีความองค์ประกอบเชิงสัญลักษณ์ให้เธอ เขาเสร็จงานล่าสุดแล้วและมีช่วงว่างสั้นๆ … ฉันจึงมาพาเธอไปพบเขา”
ลูเมี่ยนตอบกลับด้วยความยินดีปรีดา
“ครับ!”
………………………………………………
.