ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 289 ผู้มาเยือนยามวิกาล
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 289 ผู้มาเยือนยามวิกาล
ตอนที่ 289 ผู้มาเยือนยามวิกาล
แพทย์? ลูเมี่ยนนึกถึงขวดยารักษาสองขวดที่ได้มาจากแก๊งหนามพิษ
สรรพคุณของยาเหล่านั้นนับว่ายอดเยี่ยม
ลูเมี่ยนพิงพนักเก้าอี้ จ้องตาลูกาโน·ทอสคาโนเป็นเวลานานโดยไม่พูดไม่จา
ลูกาโนเริ่มกระสับกระส่าย ร่างกายยิ่งเกร็งเมื่อยิ่งถูกจ้องนาน
ในที่สุด ลูเมี่ยนก็ยิ้มออกมา
“คาบาเร่ต์โรงโม่ไม่ใช่กิจการของฉัน ทางนี้แค่ช่วยบอสดูแลมันแทน”
“ไม่แน่ใจว่านายเจ๋งพอจะดูแลมันได้ดีไหม แต่ฉันจะลองให้โอกาสดูสักครั้ง”
ลูกาโนถอนหายใจโล่งอก ยิ้มกว้างแล้วพูดว่า
“ผมจะไม่ทำให้ลูกพี่ผิดหวังแน่นอน!”
ลูเมี่ยนเพิ่มระดับเสียง ตะโกนเรียกลูอิสเข้ามา บอกกับอีกฝ่ายว่า
“นับแต่นี้ไป นายจะเป็นมือขวาของลูกาโน ช่วยเขาบริหารคาบาเร่ต์โรงโม่”
นี่มัน… โชคลาภหล่นจากฟ้า? แต่ทำไมถึงกล้าไว้ใจนักล่าค่าหัวที่เพิ่งเข้าร่วมพรรคซาฟาห์ล่ะ? ลูอิสยังไม่ทันได้ขานรับ ลูเมี่ยนก็หันไปทางลูกาโนแล้ว
“ฉันจะให้เวลานายสองเดือน ระหว่างนี้ นายกับเพื่อนๆ คือคนคุมคาบาเร่ต์โรงโม่ และสามารถรับส่วนแบ่งกำไรจากที่นั่นได้”
“รายละเอียดส่วนแบ่งให้ไปคุยกับผู้จัดการคาบาเร่ต์เอง”
ลูเมี่ยนตั้งใจไม่บอกรายละเอียดส่วนแบ่งกำไรของคาบาเร่ต์ โดยเฉพาะสัดส่วนที่อีกฝ่ายควรได้รับ เพราะอยากเห็นว่าลูกาโนจะทำอย่างไร
“ขอบคุณมากครับ ลูกพี่!” ลูกาโนไม่ปิดบังความดีใจ
เขาเกือบจะเผลอพูดออกมาว่า “ถ้าผมได้เป็น ‘แพทย์’ เมื่อไร ไม่ว่าลูกพี่จะป่วยหรือบาดเจ็บแบบไหนมา ผมจะรักษาให้หายเป็นปลิดทิ้ง” แต่แล้วก็นึกได้ว่า นี่เหมือนเป็นการสาปแช่งให้ ‘ราชสีห์’ ชาร์ลล้มป่วยหรือบาดเจ็บ จึงรีบปิดปากตัวเองทันที
มองดูลูกาโนและลูอิสปรึกษากันเรื่องคาบาเร่ต์โรงโม่ พลางเดินออกไปจากร้านกาแฟชั้นสอง รอยยิ้มบนใบหน้าของลูเมี่ยนก็ค่อยๆ เลือนหาย
ลูกาโน·ทอสคาโนช่างประจบสอพลอ เอาอกเอาใจ และกระตือรือร้นเหลือเกิน จนลูเมี่ยนระแคะระคายว่าอีกฝ่ายอาจมีแผนการซ่อนเร้น เหมือนกับตอนที่ตนขายสร้อยคอเพชรปลอมให้บารอนบรินิแยร์คราวก่อน
เพียงแต่วิธีการที่ลูเมี่ยนใช้ คือการแสดงศักยภาพและความบ้าบิ่น โดยเน้นให้บารอนบรินิแยร์เห็นคุณค่าที่จะใช้ประโยชน์ ในขณะที่ลูกาโน·ทอสคาโน เน้นไปที่การประจบสอพลอและเอาอกเอาใจมากกว่า แต่ระหว่างนั้นก็มีการแสดงประโยชน์ของตัวเองให้เห็น
นั่นคือเหตุผลที่ลูเมี่ยนตัดสินใจมอบคาบาเร่ต์โรงโม่ให้อีกฝ่ายดูแลเป็นเวลาสองเดือน
หากนักล่าค่าหัวรายนี้มีแผนการอื่นแอบแฝงจริง การให้มาอยู่ในสายตา จะช่วยให้สังเกตเห็นความผิดปกติได้ง่ายและรับมือได้ทันท่วงที แต่ถ้าไม่พบปัญหา การยอมแลกรายได้บางส่วนของคาบาเร่ต์โรงโม่กับ ‘แพทย์’ หนึ่งคน ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
อย่างไรเสีย ลูเมี่ยนไม่ต้องควักเงินตัวเองสักริกต์เดียว คาบาเร่ต์โรงโม่เป็นสมบัติของพรรคซาฟาห์ สิ่งที่เด็กหนุ่มอาจต้องเสียไปบ้าง อย่างมากก็เป็นอัตราปันผล ซึ่งสามารถชดเชยได้ด้วยการปรับปรุงสถานการณ์อันยุ่งเหยิงในคาบาเร่ต์โรงโม่อย่างมีประสิทธิภาพโดยลูกาโน·ทอสคาโน
นั่งใคร่ครวญอยู่สักพัก ลูเมี่ยนก็ออกจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อย กลับสู่ห้อง 207 ที่โรงแรมระกาทอง แล้วรูดม่านปิด
เด็กหนุ่มนั่งลงตรงหน้าโต๊ะไม้ และเริ่มเขียนจดหมาย
“ถึงมาดามเมจิกเชี่ยนที่เคารพ”
“ผมได้เข้าร่วมพิธีเป็นสมาชิกแล้ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ อย่างเป็นทางการ”
“ขั้นตอนโดยละเอียดของพิธีคือ…”
“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมยังสงสัย นั่นคือ ในบรรดาสมาชิกของ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ใต้บังคับบัญชาของการ์ดเนอร์·มาร์ติน มีผู้วิเศษบางคนที่ชัดเจนว่าไม่ได้มาจากเส้นทาง ‘นักล่า’ พวกเขาผ่านช่วงเวลาอดตาหลับขับตานอนมาได้อย่างไร? หรือพวกเขาสังกัดเส้นทาง ‘นักลอบสังหาร’? หรือว่าการ์ดเนอร์·มาร์ตินมั่นใจจากช่องทางอื่น ว่าพวกเขาคู่ควรแก่ความไว้วางใจ โดยไม่จำเป็นต้องทนรับการปนเปื้อน?”
เดิมลูเมี่ยนคิดจะถามว่า ‘หรือว่าพวกเขาจะเข้าไปในบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดในช่วงเวลาที่เจาะจง และกระทำสิ่งที่เจาะจง?’ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้วิเศษทางการคงกำลังจับตามองตึกหลังนั้นอยู่ ไม่น่าจะปล่อยให้ใครเข้าใกล้บ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดได้
พับจดหมายเรียบร้อย ลูเมี่ยนเตรียมแท่นบูชา และอัญเชิญผู้ส่งสารรูปร่างคล้าย ‘ตุ๊กตา’ ออกมา
เขาถามอย่างรอบคอบ
“ตอนนี้ยังมีใครแอบสอดแนมผมอยู่อีกไหม”
ลูเมี่ยนถอนหายใจเงียบ แล้วกำหนดตารางงานในอนาคตอันใกล้ ให้มีทั้งการไปรายงานมิสเตอร์ K รวมถึงการไปฟังการเทศนาที่วิหารเดอะฟูล ณ ท่าเรือลาวีน
รอเพียงราวๆ สิบห้านาที มาดามเมจิกเชี่ยนก็ตอบกลับมา
“ฉันเคยได้ยินผู้แจ้งสารของมิสเตอร์ฟูลเล่าว่า เพื่อนคนหนึ่งของเขาเคยเป็นสมาชิก ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ แต่ทนพวกนั้นไม่ไหว จึงสละองค์กรแล้วหนีลงทะเล”
“ทีแรกฉันไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เริ่มกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้ว ขอโทษที่ทำให้เธอต้องลำบาก”
ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก การได้ดูพวกนั้นแสดงออกมันก็บันเทิงดี ได้เห็นความหลากหลายของมนุษย์… ลูเมี่ยนไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา
สิ่งที่เขาสนใจมากกว่ากลับเป็นอีกประเด็นหนึ่ง:
ประโยคที่มาดามเมจิกเชี่ยนเอ่ยถึงผู้แจ้งสารของมิสเตอร์ฟูล เธอมิได้ใช้คำว่า ‘หนึ่งใน’ หรือ ‘หนึ่งในบรรดา’ มาขยายความ
ลูเมี่ยนจึงอนุมานได้ว่า ผู้แจ้งสารของมิสเตอร์ฟูลมีเพียงคนเดียว!
แน่นอน นี่คือในกรณีที่เหล่าผู้ถือไพ่อาร์คาน่าใหญ่ ซึ่งได้เข้าร่วมประชุมต่อหน้าพระพักตร์ ไม่ถูกนับเป็นผู้แจ้งสาร
ท่ามกลางกระแสความคิด สายตาของลูเมี่ยนเลื่อนลงมาและอ่านส่วนสุดท้ายของจดหมายตอบกลับฉบับสั้นนี้
“อาจจะเป็น ‘นักลอบสังหาร’ หรือไม่ก็มีวิธีการปนเปื้อนแบบอื่น”
“อย่าลืมเตือน ‘สองถ้วย’ ด้วยว่า ถ้าเธอยอมรับการทดสอบและต้องผ่านพิธีอดตาหลับขับตานอน นอกจากพึงระลึกไว้เสมอว่า ‘อย่าตอบสนอง’ เธอควรนำกระจกโบราณที่เชื่อมต่อกับโลกในกระจกใต้ดินติดตัวไปด้วย รูปแบบการปนเปื้อนที่ ‘แม่มด’ เผชิญอาจแตกต่างจากที่ ‘นักล่า’ เผชิญ กระจกบานนั้นอาจช่วยเธอได้”
กระจกบานนั้นสินะ… ลูเมี่ยนนึกย้อน พลางปล่อยให้กระดาษจดหมายถูกเปลวไฟสีแดงฉานกลืนกินในพริบตา
เด็กหนุ่มเตรียมจะล้างหน้าล้างตาแล้วพักผ่อน แต่แล้วก็สัมผัสถึงบางอย่าง จึงหันสายตาไปทางประตู
เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามมา ก๊อกๆๆ
“ใคร?” ลูเมี่ยนถามออกไป
“ลองเดาดูสิ” เสียงจากนอกประตูดังขึ้น ฟังดูเหมือนกำลังบีบให้แหบ
ลูเมี่ยนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เงยหน้าอย่างไร้อารมณ์ แหงนมองเพดานที่แทบไม่เหลือตัวเรือดแล้ว
“เข้ามาเถอะ”
ไม่ผิดจากที่คาด บุคคลที่เคาะประตูคือฟรังก้า โดยมีจินนาตามหลังมา
พวกเธอแต่งตัวเป็นนักลอบสังหารในบรรยากาศที่ต่างกัน
“นี่มาชวนผม ‘พิชิตจอมมาร’ หรือไง?” ลูเมี่ยนถามติดตลก
ฟรังก้าไม่ยอมตอบ
“ฉันไม่เล่นไพ่กับพวกไม่รู้จักแพ้”
ในฐานะเด็กบ้านนอกที่เล่นไพ่เดิมพันเหล้าอยู่เป็นประจำ ลูเมี่ยนเคยเล่น ‘พิชิตจอมมาร’ กับจินนาและฟรังก้าไปสองครั้ง และไม่แพ้เลยสักครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถากถางพวกเธอว่าไม่มีกึ๋นในการเล่นไพ่ จนฟรังก้าโมโหและสงสัยว่าเขาแอบโกง ช่วงนี้เธอจึงลากสาวๆ หางเครื่องไปฝึกวิชาไพ่อย่างบ้าคลั่ง
“เรามาขอยืมนิตยสารศาสตร์เร้นลับจากคุณ” ฟรังก้าพูดเสริมขณะเดินเข้าไปในห้องที่ไม่ใหญ่นัก
ลูเมี่ยนส่ายหน้าอย่างดูแคลน
“กำลังแต่งเรื่องหลอกเด็กอยู่หรือ? ทำไมถึงต้องมายืมนิตยสารศาสตร์เร้นลับกลางดึก รอพรุ่งนี้ไม่ได้หรือไง?”
“แล้วจินนาก็ไม่ใช่พวกที่ยอมอดหลับอดนอนเพื่ออ่านหนังสือ”
“บอกมาเถอะ มีเรื่องอะไรกันแน่?”
สองสุภาพสตรีขบฟันเบาๆ พร้อมกัน
ขณะฟรังก้าปิดประตู จินนาเหลียวซ้ายแลขวาแล้วถามเสียงเบา
“ห้องนี้ดูไม่น่าจะเก็บเสียงได้ คนห้องข้างๆ จะได้ยินที่พวกเราคุยกันไหม?”
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“ไม่เลว พัฒนาขึ้นนะ รู้จักกลัวว่าจะถูกแอบฟังแล้ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ไม่ระวังอะไรเลย กล้าพูดไปทุกเรื่อง”
ก่อนหน้านี้… สายตาของฟรังก้าฉายแววสงสัย เลื่อนจากจินนาไปที่ลูเมี่ยน แล้วจากลูเมี่ยนไปที่จินนา
“บัดซบ! ก็ตอนนั้นไม่ได้คุยเรื่องสำคัญสักหน่อย!” จินนาพยายามแก้ตัว “ทำไมคุณไม่พูดถึงชาร์ลีบ้างล่ะ? หมอนั่นแค่เปิดประตูเข้ามา ก็โพล่งเรื่องไม่ควรพูดให้คนอื่นได้ยินทันที”
ชาร์ลี? คิ้วของฟรังก้าขมวดเข้าหากัน
“เพราะตอนนั้นฉันมั่นใจว่าห้องข้างๆ กำลังหลับ หรือไม่ก็ออกไปข้างนอก เลยไม่ได้ห้ามเขา” ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ชักกริชเงินพิธีกรรมออกมา ปล่อยพลังวิญญาณออกจากปลายมีด สร้างกำแพงวิญญาณล้อมรอบทั้งห้องไว้
เสียงร้องเพลง เสียงโวยวาย และเสียงความเคลื่อนไหวต่างๆ ในโรงแรมระกาทอง กลายเป็นเสียงแว่วเบาจนแทบไม่ได้ยินในทันที
ได้เห็นเองกับตา ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงก่อนและหลัง จินนาพบว่ามันวิเศษมาก
ฟรังก้าหยักปากเล็กน้อย แล้วพูดกับจินนา
“นี่คือวิธีสร้าง ‘กำแพงวิญญาณ’ ในอาคมพิธีกรรม ถือเป็นหลักการขั้นพื้นฐาน พอเธอได้เป็น ‘แม่มด’ ก็จะเรียนรู้ได้เอง”
พูดถึงตรงนี้ เธออดจินตนาการไม่ได้ว่า จินนาในร่าง ‘แม่มด’ จะออกมาเป็นอย่างไร
หลังจากสองสาวนั่งเรียงกันตรงขอบเตียง ก็ผลัดกันเล่าถึงเรื่องการหายตัวไปของคนเฝ้าประตูอารามในหุบเขาลึก โดยเน้นไปที่ผลลัพธ์การสำรวจเหมืองหินเมื่อคืน
“คุณคิดว่าข้างในมีอะไรซ่อนอยู่ แล้วเราควรทำยังไงต่อ?” ฟรังก้าโยนขวดยาสลบคืนให้ลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มมองหน้าพวกพ้องที่ไม่ได้สวมบูตแดง ยิ้มแล้วย้อนถามกลับ
“คุณมีคำตอบในใจแล้วนี่?”
ด้วยประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของฟรังก้า เธอต้องคิดถึงก้าวต่อไปไว้แล้วแน่นอน
ฟรังก้าหัวเราะแห้ง
“ก็อยากฟังความเห็นของคุณไง”
“ความเห็นของผมน่ะหรือ?” ลูเมี่ยนพูดติดตลก “เงินสองหมื่นเฟลคินกำลังรอพวกคุณอยู่ พอนักบวชพิลึกนั่นกลับไป ก็รีบเข้าไปสำรวจในเหมืองหินนั่นซะ!”
จินนากลอกตาเล็กน้อย ทำหน้าเหมือนเข้าใจบางอย่าง แล้วจึงถามยืนยัน
“คุณหมายความว่า มันอันตรายเกินไป เราไม่ควรสืบต่อใช่ไหม?”
ฟังคำเยาะเย้ยของลูเมี่ยนมามาก เธอเริ่มแยกแยะได้แล้วว่าอันไหนเป็นคำพูดแดกดัน อันไหนเป็นการเหน็บแนม และอันไหนเป็นการอำ
“ถูกต้อง” ฟรังก้าเข้ามาสานต่อ “พอมาลองนึกย้อนถึงคำพูดของผู้ว่าจ้าง ฉันสงสัยว่าในอารามหุบเขาลึกกำลังเกิดปัญหาภายใน มีคนต้องการปกปิดความลับบางอย่าง และมีคนต้องการเปิดโปงความลับนั้น การถูกลากเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งภายในศาสนจักรเทพแท้ เป็นเรื่องที่อันตรายมากสำหรับผู้วิเศษทุกคน”
“ความขัดแย้งภายใน?” จินนารู้สึกงงงวยเล็กน้อย
ลูเมี่ยนยิ้มแล้วพูด
“คนเฝ้าประตูหายตัวไปหนึ่งคน ก็แค่หายตัวไป ผู้ว่าจ้างคนนั้นชัดเจนว่าไม่ใช่ญาติหรือเพื่อนของเขา แล้วเหตุใดถึงต้องยอมจ่ายสองหมื่นเฟลคินเพื่อตามหาเขาด้วย? แถมยังบอกอีกว่า ต่อให้คนเฝ้าประตูกลายเป็นศพไปแล้ว ก็ต้องหามไปส่งถึงประตูอารามในหุบเขาลึก”
“นี่ไม่ใช่การทำไปเพื่อให้ใครบางคนเห็นหรอกหรือ?”
จินนาเริ่มคล้อยตามแล้ว แต่ก็ยังเหลือข้อสงสัยอีกมาก
“แต่ว่า… มือเท้าในถ้ำลับในเหมืองหิน ดูวิปลาสและเหี้ยมโหดมาก ไม่น่าจะเป็นฝีมือของศาสนจักรที่ศรัทธาในเทพแท้ได้เลย”
……………………………………………………..