ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 287 กุญแจ
ตอนที่ 287 กุญแจ
ฟรังก้าจบการ ‘ทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ มองไปทางจินนา แล้วเริ่มตีความคำตอบเมื่อสักครู่
“โดยทั่วไปแล้ว มันสื่อว่ามีอันตราย แต่อยู่ในระดับที่ยังพอรับมือไหว ถ้าระมัดระวังสักหน่อยก็คงไม่มีปัญหา”
จินนารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ฉันนึกว่าคำทำนายจะชัดเจนกว่านี้”
แค่ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว จะถูกตีความออกมายาวขนาดนี้ได้
“นี่ชัดเจนมากแล้ว!” ฟรังก้ายิ้มพลางเน้นย้ำ “ถ้าเธอไปที่สโมสรทำนายในเขตหอรำลึก ไปหานักทำนายสมัครเล่นพวกนั้น คำทำนายจะคลุมเครือยิ่งกว่านี้อีก เพื่อให้พวกเขาสามารถตีความเข้าข้างตัวเองได้หลังจากผลลัพธ์ปรากฏ เอ่อ… เธอเคยไปให้ใครทำนายมาก่อนหรือเปล่า?”
จินนาพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
การทำนายน่ะ แค่ครั้งเดียวก็เปลืองเงินตั้งมากโข!
ฟรังก้าหันตามองเล็กน้อย เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แล้วพูดขึ้นมา
“เธอลองสมัครสมาชิกนิตยสารพวกนี้ไว้สักฉบับสิ จะเป็น ‘สื่อวิญญาณ’ ‘ดอกบัว’ ‘อุปนิษัท’ หรือ ‘ผ้าคลุมหน้าอำพราง’ ก็ได้ ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาดอยู่เยอะจนนำมาประยุกต์ใช้จริงได้ลำบาก แต่ก็สามารถอธิบายความรู้พื้นฐานด้านศาสตร์เร้นลับได้ดีทีเดียว”
“จริงสิ… ชาร์ลก็ซื้อนิตยสารพวกนี้บ่อยๆ เธอลองไปยืมจากเขาดูสิ… เอ่อ เดี๋ยวฉันไปยืมให้เอง!”
“อาฮะ” จินนาแค่เคยได้ยินเกี่ยวกับนิตยสารศาสตร์เร้นลับ แต่ไม่เคยซื้อเลย
หลังจากได้ผลการทำนายที่ค่อนข้างดี ทั้งสองซึ่งเคยสำรวจเส้นทางในตอนกลางวันมาแล้ว ไม่นานก็มาถึงทางเข้าเหมืองหินท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิด
คนเฝ้าประตูวัยสี่สิบกว่านอนหลับสนิทอยู่ใน ‘กระท่อม’ หินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พิงหลังกับผนังหิน ห่มผ้าสักหลาดบางเก่าสกปรก ศีรษะเอียงไปด้านข้าง
ทันใดนั้น มือเรียวยาวและเรียบเนียน ยื่นออกจากเงามืดด้านข้างเขา ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวปิดปากเขาไว้
คนเฝ้าประตูไม่มีการดิ้นรน เพียงไม่กี่วินาทีก็เปลี่ยนจากหลับใหลไปสู่หมดสติ
ฟรังก้าในฮู้ดสีดำเดินออกจากเงามืด ปากพึมพำด้วยความประหลาดใจ
“ยาสลบของพวกสมาคมเสียวซ่านได้ผลดีจริงๆ … ประหยัดเวลาไปได้เยอะเลย”
เพื่อภารกิจครั้งนี้ เธอลงทุนขอยืมยาสลบของลุนทาสมาจากลูเมี่ยน
“แค่ตีให้สลบไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?” จินนาแสดงความไม่เข้าใจ
“ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้” ฟรังก้าอธิบายง่ายๆ “แต่ว่าการทำแบบนั้นจะทิ้งร่องรอยไว้ จนจัดฉากให้ดูเหมือนคนหลับสนิทไม่ได้อีก อย่าลืมว่าในคดีนี้มีนักล่าเงินรางวัลและนักสืบเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก คนที่จ้องจะเข้ามาในเหมืองหินคงไม่ได้มีแค่เรา ในเมื่อมีวิธีที่ดีกว่า การเก็บรายละเอียดอย่างระมัดระวัง ย่อมดีกว่าการทิ้งช่องโหว่ไว้เสมอ”
จินนาที่ใช้ชีวิตในเขตสวนพฤกษศาสตร์และเขตตลาดมาหลายปี เริ่มเข้าใจความหมายของฟรังก้า จึงครุ่นคิดไปพลางถามกลับ
“เธอกลัวว่าในยามวิกาลแบบนี้ ถ้าเกิดนักล่าเงินรางวัลกับพวกนักสืบเอกชนพบว่าเรารีบเข้ามาในเหมืองหินก่อน พวกเขาจะเกิดความคิดไม่ดีขึ้นมาสินะ?”
ฟรังก้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ใช่ พวกนักล่าเงินรางวัลและนักสืบเอกชนหลายคน พร้อมเปลี่ยนอาชีพเป็นโจร หัวขโมย และฆาตกรได้ในพริบตา ขึ้นอยู่กับเวลา สภาพแวดล้อม และสถานการณ์โดยรอบ”
“พวกเขาเสี่ยงภัยเพื่อหาเงิน ไม่ใช่เพื่อผดุงความยุติธรรม ในเมื่อตอนนี้คดียังแทบไม่มีเบาะแส อีกทั้งสภาพแวดล้อมก็ยังเอื้ออำนวย การปล้นเพื่อนร่วมอาชีพแล้วฆ่าปิดปากไปเลย ก็ไม่ได้หลุดกรอบไปจากรูปแบบการลงมือของพวกเขาสักเท่าไร ยังไงที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว”
“แน่นอนว่าด้วยฝีมือของเรา ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวนักล่าเงินรางวัลหรือนักสืบเอกชนปลายแถวพวกนี้หรอก แต่ถ้าเราไปทำผิดพลาดทำนองนี้ในเรื่องอื่น หรือในสถานการณ์ที่อันตรายกว่านี้ล่ะ? ดังนั้น เราควรฝึกให้เป็นนิสัยไว้ตั้งแต่แรก”
ฟรังก้าไม่ได้พูดออกมาว่า ในฐานะผู้หญิง โอกาสที่จะเผชิญความทุกข์มีมากกว่าผู้ชาย
จินนาผงกศีรษะเชื่องช้า เห็นด้วยกับคำอธิบาย
เธอเคยเห็นอาชญากรฆ่าคนชราที่อาศัยอยู่ตามลำพัง เพียงเพื่อเงินแค่ห้าเฟลคินมาแล้ว
ฟรังก้าอมยิ้มทันที พลางพูดเย้าแหย่
“ที่เธออยากให้ฉันตีหมอนั่นให้สลบ เพราะอยากแก้แค้นที่เขาเคยถามเรื่องรับงานสินะ?”
“จะบ้าหรือ! ฉันไม่ใช่พวกคิดเล็กคิดน้อยสักหน่อย!” จินนาทนไม่ไหวจนต้องอุทานออกมา
ไม่ว่าจะเป็นสมัยที่เคยช่วยแม่ทำงานจิปาถะ หรือตอนมาเป็นนักร้องใต้ดินในเขตตลาด จำนวนครั้งที่เคยถูกถามซื้อบริการ มีมากเสียจนเธอชินชา ความโกรธอาจจะมีบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก
เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองใจกว้าง จินนาถอนหายใจแล้วพูด
“เห็นเธอใช้ยาสลบแบบนั้นกับคนอื่น มันทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์ตรงน่ะ”
จินนาก็เคยถูกวางยาจนหมดสติ และเกือบกลายเป็นเหยื่อหายสาบสูญแล้ว โชคดีที่ลูเมี่ยนมาพบเข้า
ฟรังก้าพึมพำในลำคอ
“ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอนะ แต่ในเมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเทพแล้ว ในเมื่อตั้งใจจะยกระดับตัวเอง เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะศัตรู ไม่สามารถละทิ้งทางเลือกที่ดีกว่าเพียงเพราะในใจรู้สึกต่อต้านมันเล็กน้อย”
จินนารู้ว่าฟรังก้าพูดมีเหตุผล แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ว่า
“ผู้วิเศษใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาไม่ได้หรือ? อยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่ต้องพัวพันกับความขัดแย้ง ทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัวและเพื่อนฝูงเท่านั้น…”
“สมัยก่อนอาจจะได้ แต่ตอนนี้คงยากแล้ว ยิ่งก้าวไปข้างหน้าก็ยิ่งยาก จนกระทั่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” ฟรังก้ากล่าวพลางถอนหายใจ
จินนานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถาม
“ในอนาคต… ในอนาคตอันไกลโพ้น จะเป็นไปได้ไหม?”
ฟรังก้าหันไปมองคนเฝ้าประตูที่ ‘หลับสนิท’ แล้วพูด
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่บอกกับฉันว่า ชีวิตแบบนั้นต้องรอจนกว่าจะจบยุคที่ห้า และเริ่มต้นยุคที่หก ถ้ายังมียุคที่หกอยู่ล่ะนะ…”
ยุคที่หก… จินนาครุ่นคิดเกี่ยวกับวลีนี้อยู่สองสามวินาที จนกระทั่งหัวเราะกับตัวเอง
“อันที่จริง ฉันก็พอรู้ว่าชีวิตแบบนั้นเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้ อย่างน้อยก็สำหรับฉัน ซึ่งได้ครอบครองพลังวิเศษและเคยลอบสังหารไปแล้ว… หลังจากได้ลิ้มรสความอยุติธรรม ได้เห็นคนในครอบครัวและผองเพื่อนเผชิญความเป็นทุกข์ ฉันก็อยากใช้พลังพิเศษเพื่อทำอะไรสักอย่าง เช่นการแก้ไขปัญหาที่กฎหมายและตำรวจช่วยอะไรไม่ได้”
“ถูกต้อง” ฟรังก้าผงกศีรษะรับ
สิ่งที่ช่วยให้เธอย่อยโอสถ ‘นักลอบสังหาร’ และ ‘นักกระตุ้น’ สำเร็จ มิใช่แค่การแต่งตัวเป็นมือสังหาร และมิใช่แค่การกระตุ้นปลุกใจเพื่อน
ทั้งสองไม่พูดอะไรกันต่อ ฟรังก้าก้มลงไปหยิบกุญแจสีทองเหลืองจากตัวคนเฝ้าประตู
“ก็แค่ประตูบานเดียว ทำไมถึงมีกุญแจเยอะแยะนักล่ะ? กุญแจบ้านหมอนั่นหรือไง?” ฟรังก้าพึมพำไปพลาง เดินออกจากกระท่อมไปที่หน้าประตูเหมืองหิน ทดลองไขกุญแจทีละดอก
พอทดลองไขจนหมด เธอก็พูดกับตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดใจแกมสงสัย
“ไขไม่ได้สักดอก…”
“ไขไม่ได้สักดอก?” จินนาไม่เคยนึกถึงความเป็นไปได้นี้เลย
ถ้าในเมื่อไม่มีกุญแจดอกใดเปิดประตูทางเข้าเหมืองได้ แล้วจะเฝ้าประตูไปทำพระแสงอะไร?
ฟรังก้าพูดราวกับสอนไปคิดไป
“บางที… กุญแจพวกนี้อาจเป็นตัวล่อ ส่วนกุญแจของจริงซ่อนอยู่ที่อื่น”
เธอหันไปพูดกับจินนา
“ลองไปค้นหาแถวนี้ดู ส่วนฉันจะไปค้นตัวคนเฝ้าประตูนั่นอีกที”
จินนาไม่มีข้อโต้แย้ง อาศัย ‘เนตรมองกลางคืน’ ช่วยในการไล่ค้นหาตั้งแต่ ‘กระท่อม’ ขยายขอบเขตไปจนถึงพุ่มไม้และซอกหินบริเวณใกล้เคียง
ฟรังก้ากลับไปนั่งยองข้างคนเฝ้าประตูอีกครั้ง เริ่มค้นตัวจากบนลงล่าง
เมื่อคลำถึงเป้ากางเกง เธอก็ง้างนิ้วแล้วดีดแรงๆ หนึ่งที พร้อมกับพูดเสียงเย็นชา
“จินนาไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ฉันคิด!”
การค้นหาเสร็จสิ้นลง ทั้งสองกลับมาเจอกันหน้าประตูไม้หนักๆ ต่างคนต่างส่ายหน้า บ่งบอกว่าคว้าน้ำเหลว
ฟรังก้าส่งเสียง ‘จิ๊’ ก่อนจะพูด
“เหมืองที่นี่น่าสงสัยจริงๆ …”
“หมอนั่นเป็นแค่คนเฝ้าประตู มีหน้าที่แค่เฝ้าประตู ไม่ได้มีปัญญาจะเปิดประตูเลย!”
“ยังจะเข้าไปอีกไหม?” จินนาถามด้วยความลังเล
“ขอฉันลองก่อน” ฟรังก้ายื่นมือขวาไปหารูกุญแจทองเหลืองที่ฝังอยู่บนประตูไม้หนักๆ
เกล็ดน้ำแข็งสีขาวจำนวนมากพุ่งออกจากฝ่ามือหญิงสาว หลั่งไหลเข้าไปในรูกุญแจจนเต็ม
น้ำแข็งขาวสะสมและอัดแน่น ซ้อนทับอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็กลายเป็นรูปทรง
ฟรังก้าใช้พลังดึงก้อนน้ำแข็งนั่นออกมา พบว่ามันกลายเป็นกุญแจสีใสไปแล้ว
ทำแบบนี้ได้ด้วย? จินนามองด้วยทึ่งปนเลื่อมใส
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเธอ ฟรังก้าพูดด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง หมอนั่นสะเดาะกลอนเก่งมาก เราเคยคุยกันเกี่ยวกับการใช้พลังของ ‘แม่มด’ เพื่อสะเดาะกลอน”
หลังจากทำให้ก้อนน้ำแข็งมั่นคงกว่าเดิม ฟรังก้าเสียบมันกลับเข้าไปในรูกุญแจ แล้วเริ่มหมุนอย่างใจเย็น
ด้วยเสียง ‘กริ๊ก’ ประตูไม้หนักๆ ก็เปิดออก
ฟรังก้าดึงกุญแจน้ำแข็งออกจากรู ปล่อยให้มันละลายไปอย่างไร้ร่องรอย
ก่อนที่จะเข้าไปในเหมืองหิน ‘แม่มด’ รายนี้แขวนกุญแจทองเหลืองกลับใส่เอวของคนเฝ้าประตูตามเดิม จัดท่าทางให้เขา ทำให้ดูเหมือนกำลังหลับสนิท
จัดการทุกอย่างเสร็จ ฟรังก้าหยิบถุงเงินที่เต็มไปด้วยเหรียญออกมา แล้วหยิบแหวนโลหะวงใหญ่ที่ล้อมด้วยหนามแหลมออกจากถุง
“นี่คือ ‘แหวนลงทัณฑ์’ ที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง วันนี้เธอเป็นคนสวมนะ”
“เคยอธิบายไปหมดแล้วว่าใช้ยังไง มีข้อห้ามอะไรบ้าง สิ่งที่เธอต้องจำมีเพียงอย่างเดียว: ภายในหนึ่งชั่วโมงห้ามใช้เกินสามครั้ง”
“แล้วก็พอจบภารกิจให้ถอดออกทันที ใส่กลับเข้าไปในถุงเหรียญตามเดิม”
“อื้อ” จินนายื่นมือซ้ายออกไป ปล่อยให้ฟรังก้าสวมแหวนโลหะใส่นิ้วกลางของเธอ มีการแตะเนื้อต้องตัวกันเล็กน้อย
ฟรังก้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างไม่มีสาเหตุ ดึงฮู้ดให้กระชับ ผลักประตูไม้ เดินเข้าไปในเหมืองหิน
หลังจากที่จินนาตามเข้าไป เธอก็ใช้มือปิดประตูไม้กลับเข้าที่
ด้วยการทำแบบนี้ จากภายนอกจะไม่มีทางดูออกว่า มีคนเข้ามาในเหมืองหินแห่งนี้แล้ว
ทั้งฟรังก้าและจินนาต่างก็เป็นนักลอบสังหารที่มีเนตรมองกลางคืน แม้จะไม่ได้นำโคมไฟคาร์ไบด์ติดตัวมา แต่ก็ยังมองเห็นทิวทัศน์ด้านหลังประตูได้ชัดเจน
ด้านในเป็นอุโมงค์ที่ดูทรุดโทรมอย่างยิ่ง มีตะไคร่ขึ้นไม่น้อย ด้านบนผนังหินมีรอยแตกไขว้กันไปมา เหมือนจะหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
ทอดไปตามแนวอุโมงค์ไม่ไกลก็เห็นโพรงว่างเปล่า ไม่แตกต่างจากใต้ดินทรีอาร์มากนัก
จินนาและฟรังก้าค้นหาอย่างเอาจริงเอาจังนานเกือบครึ่งชั่วโมง เดินวนไปทั่วจุดที่ยังไม่พังถล่ม ซึ่งไม่ได้กว้างใหญ่อะไรนัก แต่ก็ไม่พบเบาะแสที่น่าสงสัย
“ที่นี่ต้องมีอะไรแน่” ฟรังก้ากระซิบหลังจากย้อนกลับมายังจุดใกล้กับอุโมงค์
ยิ่งไม่พบความผิดปกติ ก็ยิ่งทำให้เรื่องที่ ‘คนเฝ้าประตูไม่มีกุญแจ’ ดูประหลาดมากขึ้น
จินนาครุ่นคิดแล้วพูด
“บางทีคงจะกลัวว่าอาจมีคนลอบเข้ามา แล้วโชคร้ายถูกโพรงเหมืองถล่มทับ ก็เลยถอดกุญแจออกไปเลย”
“หน้าที่ของคนเฝ้าประตูคือขัดขวางเท่านั้น ไม่ใช่ไขประตู”
ฟรังก้าเตรียมจะพูดบางสิ่ง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงกริ๊กดังขึ้น
เสียงประตูเหมืองหินถูกเปิด!
ฟรังก้ากับจินนาสบตากันครู่หนึ่ง แล้วรีบไปซ่อนตัวหลังกำบัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางออกของอุโมงค์
ประตูเหมืองหินเปิดออกเชื่องช้า แสงจากโคมไฟคาร์ไบด์สีส้มอมน้ำเงินนิดๆ ส่องเข้ามา ขับไล่ความมืดภายในอุโมงค์
ฟรังก้ากับจินนาแอบชะโงกมอง แลเห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีเทา
อีกฝ่ายคาดผ้ากันเปื้อนสีขาวไว้ตรงเอว ซึ่งนิยมทำในหมู่ช่างแกะสลักโบราณ ฮู้ดถูกกองอยู่ที่ท้ายทอย ไม่ได้สวมไว้
นี่คือเครื่องแต่งกายมาตรฐานของนักพรตหรือนักบวชในศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ
นักบวชรูปดังกล่าวถือโคมไฟคาร์ไบด์ไว้ในมือ ผมสีดำสนิท รอบดวงตาซ้ายฝังเฟืองโลหะสีเทาเข้ม นอต และสปริงจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้คอยค้ำจุนตาปลอมสีมรกต
………………………………………………..