ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 284 เข้าร่วม
ตอนที่ 284 เข้าร่วม
การ์ดเนอร์·มาร์ตินมองหน้าชาวชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กฝั่งตรงข้าม ผงกหัวอย่างพึงพอใจพร้อมกับสั่งว่า
“เล็ง!”
สิ้นเสียงคำสั่ง ฟอสติโนกับที่เหลือยกแก้วไวน์ขึ้นจรดริมฝีปาก
นี่คือการเล็ง? ลูเมี่ยนเกือบจะหลุดขำ ในขณะที่ชาวชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กข้างๆ ต่างก็ทำหน้าจริงจัง
เขาเข้าใจแก่นแท้ของพิธีการนี้ และเริ่มคาดเดาพัฒนาการถัดไปได้บ้างแล้ว
จากนั้น การ์ดเนอร์·มาร์ตินก็ออกคำสั่งใหม่
“ยิง!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เพอร์ซิวัล เบลค และคนที่เหลือต่างก็ดื่มไวน์แดงในแก้วสูงของพวกตนอึกๆ หมดไปราวๆ หนึ่งในสามของแก้ว
“ยิง!”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพูดคำที่สองเสียงดัง
ลูเมี่ยนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วดื่มไวน์แดงอีกหนึ่งในสามของแก้วอึกๆ
การ์ดเนอร์·มาร์ตินก็ทำแบบเดียวกัน
เขาพูดต่อทันที
“โถม!”
ชาวชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กในงานต่างก็ดื่มไวน์แดงที่เหลืออยู่ในแก้วจนเกลี้ยง
การ์ดเนอร์·มาร์ตินทำหน้าเคร่งขรึม ยกแก้วไวน์ออกจากปาก
“วางอาวุธ!”
เขาพูดไปพลางยกแก้วไวน์ขึ้นสูงเหนือระดับสายตา แล้วแตะหน้าผากเบาๆ ก่อนจะวางแก้วกลับลงบนโต๊ะอาหาร
แว็งซองต์·ลอแรนและคนที่เหลือก็ทำท่าทางคล้ายกัน
“สงคราม! สงคราม! สงคราม!”
พร้อมกับเสียงร้องโห่ร้องอย่างกลมเกลียว ลูเมี่ยนสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับมีสีสันของความกระตือรือร้น ความตื่นเต้น และความปลุกเร้าเข้ามาแทรกแซง
บรรยากาศดังกล่าวส่งผลต่อชาวชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กด้วยเช่นกัน ทำให้พวกเขาจมอยู่กับบรรยากาศ รู้สึกเหมือนหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง
แม้จะไม่ได้รับมลทินจาก ‘ความผิดปกติ’ ในอาคารไฟไหม้ และมิได้หลงใหลไปกับอุดมการณ์ แต่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ บรรยากาศเช่นนี้ ลูเมี่ยนก็รู้สึกคล้อยตามอยู่บ้าง เกิดตื่นเต้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว (หมายเหตุ 1)
เด็กหนุ่มเพิ่งจะนินทาในใจไปเมื่อสักครู่ว่า พิธีเข้าร่วมชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กไม่มีความลึกลับเอาเสียเลย ไม่ค่อยสอดคล้องกับความเป็นองค์กรลับ แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่า ความจริงแล้วก็แทบไม่ต่างกันมาก เพียงมีจุดเด่นไม่เหมือนชุมนุมแสงเหนือหรือองค์กรอื่นๆ เท่านั้นเอง
ความลึกลับส่วนใหญ่ไปอยู่กับการ ‘ค้างคืน’ ที่บ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดหมดแล้ว
การ์ดเนอร์·มาร์ตินกดมือขวาลง ทำให้ฟอสติโน อัลบัส และคนที่เหลือชะงักไปทันที กลายเป็นความเงียบสงัด
เขายิ้มอีกครั้งแล้วกล่าว
“ได้เวลาต้อนรับพี่น้องคนใหม่ ลูเมี่ยน·ลี!”
คราวนี้เขาใช้ชื่อจริงของลูเมี่ยน แสดงให้เห็นว่าชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กรู้จักสมาชิกแกนหลักของตัวเองทุกซอกทุกมุม
เหล่าสมาชิกชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก รวมถึง ‘จเร’ โอลเซ่น ต่างปรบมือไล่เรียงกัน ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน รินไวน์แดงให้ตัวเองแล้วดื่มรวดเดียวหมดเพื่อแสดงความเคารพ
นี่คือการแสดงบุคลิกของลูกค้าประจำร้านเหล้าคร่ำครึ
“ดี! เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน อย่าได้เกรงใจกัน” การ์ดเนอร์นั่งลง พลางรอให้ฟอสติโนแจกจานอาหารและหั่นขนมปังให้ทุกคน ระหว่างนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อสักครู่ผมได้เล่าประวัติและอุดมการณ์ของ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ไปแล้ว ตอนนี้จะพูดถึงภารกิจในอนาคตของเรา”
จากนั้น เขาเลิกยิ้ม
“สิ่งสำคัญที่สุด และสิ่งที่เราทำมาโดยตลอดคือ การโค่นล้มรัฐบาลปัจจุบัน สถาปนาราชอาณาจักรที่ปกครองโดยผู้วิเศษ และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้เสียใหม่ เพื่อการนั้น เราจึงวางแผนอยู่เสมอ พยายามอยู่เรื่อยมา ก่อตั้งองค์กรสาขาหลายแห่ง เตรียมพร้อมสำหรับการสร้างความวุ่นวาย”
“ในส่วนของผมคือการอาศัยอำนาจของบริษัทและแก๊ง ควบคุมคนงานท่าเรือ คนงานก่อสร้าง คนขนของ กรรมกรทั่วไป และลูกจ้างในเขตตลาด เพื่อส่งพวกเขาลงถนนยามจำเป็น ใช้เครื่องกีดขวางเพื่อต่อต้านตำรวจและกองทัพ”
ลูเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามด้วยความสงสัย
“มิใช่ว่าผู้วิเศษกับคนธรรมดาแตกต่างกันอย่างมากหรอกหรือ ผู้วิเศษสูงส่งกว่าคนธรรมดามิใช่หรือ แล้วเหตุใดยังพุ่งเป้าไปที่การควบคุมและใช้ประโยชน์จากคนงาน?”
เขาพบว่าหลักการกับการกระทำช่างย้อนแย้งเสียนี่กระไร ไม่สอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย
จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก อุดมการณ์ก็คืออุดมการณ์ คำขวัญก็คือคำขวัญ ไม่สามารถเท่ากับความเป็นจริงได้ แต่อย่างน้อยก็ควรจะพูดเรื่องพวกนี้สองวันให้หลังสิ ไม่ใช่ปากพูดอย่างหนึ่งแต่ลงมือทำอีกอย่างในอีกวินาทีถัดมา
ถ้ามิใช่ว่าเพิ่งเข้าร่วมองค์กรลับนี้ ลูเมี่ยนคงจะพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสียิ่งกว่าเดิมแน่นอน
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวเราะ
“ช่างสังเกตจริงๆ … คุณจับประเด็นที่สำคัญมากได้”
“ก่อนหน้านี้ มีแค่อัลบัสที่เคยถามถึง คนอื่นต่างก็ยอมรับและปล่อยผ่านไป”
มิใช่แค่การสร้างความวุ่นวายผ่านคนธรรมดาเท่านั้น แต่ยังมีเจตนาอื่นแฝงอยู่ด้วย? ลูเมี่ยนเหลือบมองอัลบัสที่นั่งอยู่ริมโต๊ะอาหาร พบว่าหนุ่มผมแดงเข้มรายนี้กำลังทำตัวผ่อนคลาย พาดขาขวาไขว่ห้าง กระดิกข้อเท้าไปเรื่อยๆ
การ์ดเนอร์·มาร์ตินอธิบายรวบรัด
“อันดับแรก คุณต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งก่อน เหตุใดเหล่าทวยเทพถึงได้สร้างศาสนจักรและเผยแผ่ศาสนา?”
“พนันได้เลยว่าคุณคงไม่เชื่อคำลวงอย่าง ‘พระองค์รักมนุษย์’ แน่นอน ถ้าพระองค์รักจริง เขตตลาดคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ และอินทิสคงไม่เต็มไปด้วยคนไร้บ้าน”
ในจุดดังกล่าว ลูเมี่ยนค่อนข้างเห็นด้วย จึงพยักหน้ารับโดยไม่ขัดจังหวะคำพูดของ ‘ผู้การ’
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวต่อ
“พวกเราคาดเดาว่า เหล่าทวยเทพต้องการผู้ศรัทธา และเราสามารถยืนยันข้อเท็จจริงนี้ผ่านประวัติศาสตร์หลายร้อยปีหลัง”
“ยิ่งเรามีคนธรรมดาอยู่ในกำมือมากเพียงใด ก็ยิ่งมีทุนต่อรองมากขึ้นเท่านั้น จนสามารถคุกคามศาสนจักร ‘สุริยันเจิดจรัส’ และ ‘เทพจักรกลไอน้ำ’ บีบให้พวกเขาต้องลดการสนับสนุนที่มอบให้รัฐบาล และเปิดโอกาสให้เราได้สร้างความปั่นป่วน”
“ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือเบี้ยสำคัญที่จะทำให้พวกเขายินยอม หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนมาสนับสนุนพวกเรา”
“ล้วนเป็นแค่เบี้ยสินะ…” แววตาของลูเมี่ยนส่องประกาย
ที่ผ่านมาเขารู้จักและติดต่อกับคนทีละคน หรือทีละครอบครัว
การ์ดเนอร์·มาร์ตินถอนหายใจ
“เพื่อให้ควบคุมคนงานและพลเมืองให้ได้มากขึ้น นอกจากความพยายามของเราเองแล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลและรัฐสภาอีกด้วย”
“ผมรู้มาตลอดว่าฮิวจ์·อาร์ทัวส์เป็นคนแบบไหน มีกลุ่มอำนาจใดคอยหนุนหลัง แต่ก็ยังเลือกสนับสนุนให้เขาเป็นสส. ก็เพราะผมเชื่อว่าเขาจะต้องก่อเรื่องแน่ ซึ่งจะนำพาหายนะมาสู่เขตตลาดไม่น้อยทีเดียว และเขาคือตัวแทนของรัฐสภา ตัวแทนของรัฐบาล ยิ่งผลงานย่ำแย่เพียงใด ก็จะยิ่งมีคนย้ายมาเข้ากับฝ่ายเรามากขึ้น แต่น่าเสียดาย ขี้หมาแผ่นนี้เพิ่งได้รับเลือกไม่กี่วันก็ถูกลอบสังหารเสียแล้ว”
นี่น่ะหรือ เหตุผลที่พรรคซาฟาห์สนับสนุนฮิวจ์·อาร์ทัวส์… ทีแรกก็นึกว่ามีเทพมารองค์ใดคอยหนุนหลังพวกนาย โดยที่พระองค์สนับสนุนฮิวจ์·อาร์ทัวส์ด้วย… ลูเมี่ยนฟังแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
หากไม่ได้การ์ดเนอร์·มาร์ตินช่วยอธิบายจากปาก หากมิได้ฟังอุดมการณ์ของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก เขาคงไม่มีทางเดาออกว่า องค์กรลับนี้สนับสนุนให้ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ลงสมัครเป็นสส. ด้วยเจตนาแบบใดกันแน่
การ์ดเนอร์·มาร์ตินสรุปจากสิ่งที่ตนพูดไว้ก่อนหน้านี้
“ดังนั้น สิ่งสำคัญของเราในเขตตลาดจึงประกอบด้วยท่าเรือ ลานกองสินค้า โกดัง บริษัทขนส่ง และบริษัทก่อสร้าง ส่วนการมีอยู่ของพรรคซาฟาห์นั้น โดยมากมักใช้เพื่อติดต่อกับผู้คนมากหน้าหลายตา รวบรวมข่าวกรองตามสมควร และเพื่อจัดหาเงินทุนบางส่วนให้แก่องค์กร”
“แน่นอน แก๊งอันธพาลก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมคนธรรมดา”
ถึงว่าอัดฉีดให้พรรคซาฟาห์ไม่น้อยเลย… ลูเมี่ยนหันไปมอง ‘หัตถ์โลหิต’ เบลคที่คอยฟังอย่างใจจดใจจ่อ พลางเย้ยหยันในใจว่าหมอนี่แสดงได้ดีกว่าตนเสียอีก
สิ่งที่บอสเพิ่งพูดไป พวกนายคงได้ยินไม่รู้กี่รอบแล้ว ยังจะจดจ่ออะไรนักหนา?
ดูอย่างอัลบัสสิ กินๆ ดื่มๆ สั่นๆ มาตลอด
หลังจากที่ลูเมี่ยนพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ การ์ดเนอร์·มาร์ตินจิบไวน์แดงแล้วกล่าวต่อ
“อีกหนึ่งสิ่งที่พวกเรากำลังทำคือ การสำรวจใต้ดิน ค้นหาทางเข้าทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่”
พอได้ยินหัวข้อนี้ ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่เหลือบมอง ‘จเร’ โอลเซ่นที่นั่งเงียบมาโดยตลอด
ชายผอมสูงภาพลักษณ์เหมือนหมีหิวรายนี้ กำลังหั่นสเต๊กที่สุกเพียงมีเดียมแรร์ แล้วยัดเนื้อชิ้นโตชุ่มเลือดลงปากอย่างต่อเนื่อง
ลูเมี่ยนกวาดสายตาไปมาบนลำคอของเขาหลายหน แต่ไม่พบร่องรอยของการหักหรือขาด
สภาพที่เหลือเพียงศีรษะกับกระดูกสันหลัง คือภาพลวงตาที่เกิดจากพลังบางอย่างของเขา? ลูเมี่ยนรำพันเงียบ
แต่ทำไมถึงสอดคล้องกับตำนานของท่าเรือแบนชี?
“ถ้าโอลเซ่นไม่เคยได้ฟังตำนานท่าเรือแบนชีมา ก็ต้องเคยเจอสัตว์ประหลาดคล้ายๆ กันจากที่ใดสักแห่ง…”
“ต่อให้เป็นเพียงภาพลวงตา ก็ไม่มีทางเกิดจากการจินตนาการเพ้อฝัน จะต้องมาจากประสบการณ์ตรงและความรู้ของเขาแน่…”
มาดามเมจิกเชี่ยนบอกว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงเสียส่วนใหญ่ และยังสงสัยด้วยว่า สาเหตุที่เขาหายตัวไปหลายเดือน เป็นเพราะได้เข้าไปในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่แล้ว…
“เขาเคยเห็นสัตว์ประหลาดที่เหลือเพียงศีรษะกับกระดูกสันหลังจากในนั้น?”
“ในเมื่อเคยเข้าไปในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่แล้ว เหตุใดการ์ดเนอร์·มาร์ตินถึงยังตามหาทางเข้าอยู่? สมมติฐานของมาดามเมจิกเชี่ยนผิดพลาดหรือไง?” ลูเมี่ยนครุ่นคิด พลางเริ่มคาดเดาเป็นชุด
เด็กหนุ่มมองหน้าการ์ดเนอร์·มาร์ตินแล้วถามอย่างสงสัย
“ทำไมเราถึงต้องตามหาทางเข้าทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่ด้วยครับ?”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวเราะ
“สำหรับผู้วิเศษคนอื่น ที่นั่นคือนรก คือหุบเหว คือดินแดนแห่งหายนะที่มิอาจเฉียดใกล้ แต่สำหรับพวกเหล่า ‘นักล่า’ มันหมายถึงขุมทรัพย์อันมหาศาล”
“และพวกเราชาวชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ก็ประกอบจากผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักล่า’ เป็นหลัก”
“ขุมทรัพย์…” ลูเมี่ยนนึกถึง ‘พฤกษาเงา’ นึกถึงทะเลเพลิงมองล่องหนที่สามารถเผาราก ‘พฤกษาเงา’ จนขาด
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพูดด้วยสีหน้าขึงขัง
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณศึกษาประวัติศาสตร์ยุคสมัยที่สี่มามากน้อยเพียงใด แต่ผมบอกคุณได้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว เหล่าทวยเทพยังคงเดินดิน เทวทูตมีอยู่เกลื่อนกลาด จนช่วงเวลาดังกล่าวถูกขนานนามว่าเป็น ‘ยุคแห่งทวยเทพ’”
“ในยุคแห่งทวยเทพ ทางตอนเหนือของทวีปเคยมีสามอาณาจักรที่แข็งแกร่ง หนึ่งในนั้นคือจักรวรรดิทูดอร์ ซึ่งเมืองหลวงก็คือทรีอาร์ที่จมลงใต้ดินนั่นเอง”
“จักรพรรดิอลิสต้า·ทูดอร์แห่งจักรวรรดิทูดอร์ถูกขนานนามให้เป็น ‘จักรพรรดิโลหิต’ พระองค์คือเทพแท้จริง ผู้ทรงควบคุมเส้นทาง ‘นักล่า’!”
“พระองค์ร่วงหล่นไปในสงครามทวยเทพ และพระศพยังอยู่ในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่!”
พระศพของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ ทูดอร์? ลูเมี่ยนนึกถึงเนื้อหาบางส่วนในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์
โอลัวร์เองก็มิได้ศึกษาประวัติศาสตร์ยุคสมัยที่สี่อย่างลึกซึ้งเช่นกัน มีเพียงความรู้เบื้องต้น เธอเคยกล่าวถึงจักรวรรดิโซโลมอน จักรวรรดิทรันซอสต์ และจักรวรรดิทูดอร์ — สามจักรวรรดิใหญ่ แห่งยุคสมัย
เคยกล่าวถึงคำเรียกขานอย่าง ‘จักรพรรดิโลหิต’ ‘จักรพรรดิรัตติกาล’ ‘จักรพรรดิยมโลก’ และ ‘จักรพรรดิมืด’ รวมถึง ‘สงครามสี่จักรพรรดิ’
ตามคำบรรยายของโอลัวร์ ‘จักรพรรดิโลหิต’ ทรงมีพลานุภาพเทียบเท่าเทพ
หมายเหตุ 1: ดัดแปลงจากพิธีของสาขา Les Neuf Soeurs (Nine Sister) แห่งองค์กรฟรีเมสัน
………………………………………………..
.