ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 270 ข้อตกลง
ตอนที่ 270 ข้อตกลง
“คุณรู้จักมาดาม ‘เฮล่า’ ด้วยหรือ” ท่าทีแรกของฟรังก้าคือความประหลาดใจแกมงงงวย
เธอนึกขึ้นได้ทันทีว่าพี่สาวของลูเมี่ยน เจ้าของฉายา ‘มักเกิ้ล’ ก็เป็นคนของ ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ เช่นกัน จึงรีบเสริมอีกหนึ่งประโยค
“พี่สาวเคยเล่าเรื่องมาดาม ‘เฮล่า’ ให้คุณฟังด้วย?”
ลูเมี่ยนพยักหน้า
“ไม่เพียงเล่าให้ฟัง แต่ยังบอกคาถาสำหรับอัญเชิญผู้ส่งสารของมาดาม ‘เฮล่า’ ด้วย”
“เธอบอกให้คุณขอความช่วยเหลือจากมาดามเฮล่าในยามที่ประสบปัญหา?” ฟรังก้าลองเดา “ตอนนี้คุณเตรียมจะอัญเชิญผู้ส่งสารของมาดามเฮล่า จึงมาถามฉันว่า ทางนั้นเชื่อถือได้หรือไม่?”
“ทำนองนั้น” ลูเมี่ยนขานรับ “อันที่จริง ผมเคยติดต่อกับมาดามเฮล่าผ่านผู้ส่งสารแล้ว แต่วันนี้ฉุกคิดได้ว่า ในหายนะที่หมู่บ้านกอร์ตู พฤติกรรมบางอย่างของพี่สาวดูไม่ปกติ และเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับมาดามเฮล่า ผมชั่งใจอยู่ว่าจะถามเธอตรงๆ ดีไหม”
เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนยังคงไม่เล่ารายละเอียดของหายนะในหมู่บ้านกอร์ตู และไม่ได้เล่าพฤติกรรมแปลกๆ ของโอลัวร์ ฟรังก้าเข้าใจหัวอกเด็กหนุ่ม จึงไม่ได้ถามต่อ เพียงครุ่นคิดแล้วให้คำตอบ
“สำหรับฉัน… มาดามเฮล่าเชื่อใจได้… ให้ตายสิ ทำไมถึงแอบติดต่อกับมาดามเฮล่าโดยไม่ปรึกษากันก่อน? เพิ่งมาเล่าเอาป่านนี้!”
“อา… เธอคือหนึ่งในไม่กี่คนใน ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ ที่ไปได้ไกลที่สุดบนเส้นทางสู่ทวยเทพ คาดว่าเป็นเส้นทาง ‘ผู้เก็บซากศพ’”
“เธอไม่เพียงยินดีแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับเรา แต่ยังคอยให้ความช่วยเหลือในยามที่สะดวก แถมยังขายสินค้าในราคาแพงกว่าต้นทุนแค่เล็กน้อยเท่านั้น”
“สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ รวมถึงฉัน และพี่สาวของคุณ มาดามเฮล่าคือพี่สาวที่เชื่อใจได้ ช่วยให้เราไม่รู้สึกสิ้นหวัง กังวล และลังเลอีกต่อไป พวกเราทุกคนจึงไว้ใจเธอมาก”
“เข้าใจแล้ว” ลูเมี่ยนถอนหายใจ “ผมจะสื่อสารกับมาดามเฮล่าอย่างตรงไปตรงมา โดยหวังว่าจะพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา”
พูดถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง
“อาร์คาน่าใหญ่ของคุณรู้เรื่อง ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ บ้างไหม”
“ฉันไม่ได้บอกท่าน บอกเพียงว่าตัวเองเข้าร่วมองค์กรลับอีกหนึ่ง ซึ่งมีรูปแบบพึ่งพาอาศัยกัน แต่เห็นได้ชัดว่าท่านรู้เรื่องของสมาคมเป็นอย่างดี” ฟรังก้าลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว “ฉันสงสัยว่าใน ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ ยังมีสมาชิกของ ‘ชุมนุมทาโรต์’ อยู่อีก ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว”
ลูเมี่ยนไม่หลงเหลือเรื่องคาใจแล้ว จึงหันหลังกลับ ยิ้มและโบกมือ
“ขอตัวไปอัญเชิญผู้ส่งสารของมาดามเฮล่าก่อนนะ”
“เห? เพิ่งจะกี่โมงเอง อยู่พิชิตจอมมารกันสักสองชั่วโมงก่อนสิ” ฟรังก้าที่ไม่ชอบนอนเร็ว พยายามหากิจกรรมบันเทิงทำ
ลูเมี่ยนปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลย
กลับมาถึงห้อง 207 โรงแรมระกาทอง เด็กหนุ่มไม่รีบอัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ แต่กลับคลี่กระดาษออก และเขียนจดหมายถึงมาดามเมจิกเชี่ยนอีกครั้ง
เขาเล่าเรื่อง ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ ให้ฟังพอเป็นพิธี และบอกกับครึ่งเทพรายนี้ว่า ตอนที่โอลัวร์ได้สติ เธอยินดีช่วยทำจดหมายนิรนามเพื่อขอความช่วยเหลือจากทางการ แต่ดูเหมือนจะไม่เคยอัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ เพื่อขอคำแนะนำเลย ซึ่งนี่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของโอลัวร์ในความฝัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธอถูกตีกรอบไว้ หรือว่า ‘เฮล่า’ มีปัญหาบางอย่าง
ไม่นานนัก มาดามเมจิกเชี่ยนก็ตอบกลับ เนื้อหามีเพียงหนึ่งบรรทัดไม่ซับซ้อน
“จากข้อมูลในปัจจุบันของเรา ‘เฮล่า’ เป็นคนที่เชื่อใจได้”
ฟู่… ลูเมี่ยนวางใจ แล้วเริ่มเขียนจดหมายถึงมาดาม ‘เฮล่า’
ในจดหมาย เขาเปิดเผยความผิดปกติของโอลัวร์อย่างตรงไปตรงมา และถามอีกฝ่ายว่า เป็นไปได้ไหมที่จดหมายอาจตกหล่นไปสักฉบับ
ลูเมี่ยนที่ตอนนี้ช่ำชองมากแล้ว ปรับแต่งแท่นบูชาเล็กน้อย เปลี่ยนสารสกัดดอกไม้และวัสดุอื่น แล้วรีบอัญเชิญกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่ดูเหมือนทำจากเงินบริสุทธิ์ออกมา
จ้องมองเปลวไฟสีขาวซีดที่ลุกโชนอย่างเงียบงันภายในโพรงตากะโหลก ลูเมี่ยน ‘นักวางเพลิง’ ตระหนักถึงอันตรายจากตัวอีกฝ่ายได้มากกว่าครั้งใดในอดีต
ความรู้สึกนี้แทบไม่แตกต่างจากความรู้สึกขณะได้มองตุ๊กตาผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยน!
กะโหลกศีรษะเงินบริสุทธิ์คาบจดหมายไว้ แล้วกลับคืนสู่ความมืดมิดรอบด้าน
ลูเมี่ยนไม่รีบเก็บ ‘แท่นบูชา’ แต่รอคอยอย่างอดทน
จากวินาทีกลายเป็นนาที จดหมายฉบับหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหันบนโต๊ะไม้ตรงหน้าเด็กหนุ่ม และเขาเพิ่งรู้สึกตัวในช่วงท้าย
แน่นอนว่านี่เป็นพัฒนาการเมื่อเทียบกับคราวก่อน ซึ่งต้องรอให้กะโหลกเงินวางจดหมายจนเสร็จ เขาจึงเริ่มมีลางสังหรณ์
ลูเมี่ยนคลี่กระดาษจดหมายออก อ่านรวบรัดโดยอาศัยแสงเทียนสีเหลืองอมส้มสองเล่มบนแท่นบูชา
“ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ฉันไม่ได้รับจดหมายจาก ‘มักเกิ้ล’ เลย”
“ฉันรู้ว่าคำพูดด้านเดียวขาดความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าคุณลองนึกทบทวนดูให้ดี ก็น่าจะหารายละเอียดมาสนับสนุนเรื่องนี้ได้”
“ฉันสงสัยว่า ‘มักเกิ้ล’ ได้รับอิทธิพลบางอย่าง จนยอมแพ้ที่จะขอความช่วยเหลือจากฉัน อันที่จริง หากเธอเขียนจดหมายหาฉันก่อนที่หายนะจะปะทุขึ้น ทางนี้ก็น่าจะไปถึงหมู่บ้านได้เร็วกว่าผู้วิเศษของทางการ และมีโอกาสจะช่วย ‘มักเกิ้ล’ ไปพร้อมกับยับยั้งหายนะ”
“ในหลายครั้ง การสื่อสารผ่านจดหมายไม่อาจสร้างแรงบันดาลใจใหม่ และยากที่จะได้ถกเถียงในมุมกว้างและเชิงลึก ในอนาคตฉันต้องไปทำธุระที่ทรีอาร์ หากคุณต้องการ เราสามารถนัดเวลาและสถานที่เพื่อพบกัน คุยกันอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่พี่สาวคุณประสบ รวมถึงหายนะของหมู่บ้าน เมื่อถึงตอนนั้น ฉันอาจให้คำแนะนำที่มีประโยชน์แก่คุณได้”
ลูเมี่ยนไตร่ตรองสักพัก แล้วนึกถึงรายละเอียดหนึ่งในความฝัน
โอลัวร์พยายามอัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ แต่แล้วสุดท้ายก็ล้มเลิกความคิด เพราะกลัวจะไปกระตุ้นวัฏจักร ทำให้หมู่บ้านกอร์ตูเริ่มต้นใหม่รัวๆ
นี่คงเป็นนิมิตเชิงสัญลักษณ์ ว่าเธอละทิ้งการอัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ ในโลกความจริงด้วย หรือเคยพยายามแต่ล้มเหลวด้วยเหตุผลบางประการ
หลังจากเริ่มกระจ่าง เด็กหนุ่มตอบข้อเสนอของ ‘เฮล่า’
“ไม่มีปัญหา ไว้คุณมาถึงทรีอาร์ เราค่อยนัดหมายเวลาและสถานที่กันอีกที”
หลังจากส่งจดหมาย ยุติพิธีกรรม และเก็บแท่นบูชาเรียบร้อยแล้ว ลูเมี่ยนเห็นว่าดึกแล้ว จึงรีบล้างหน้าล้างตาแล้วนอนลงบนเตียง ผล็อยหลับไป
พอหกโมงเช้าเด็กหนุ่มก็ตื่นขึ้นเอง พร้อมกับได้ยินเสียงระฆังวิหารดังกังวาน
ลูเมี่ยนเข้าห้องน้ำเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เหมือนทุกครั้ง เขาวิ่งออกกำลังกายยามเช้าไปตามถนนอลเวง ถนนใหญ่ตลาด และตามละแวกคุ้นเคย เพื่อปลุกร่างกายให้ตื่นเต็มที่
ระหว่างนั้น เขายังหามุมปลอดคนแถวลานจัตุรัสนอกวิหารนักบุญโรแบร์ เพื่อซ้อมศิลปะการต่อสู้นานเกือบหนึ่งชั่วโมง
ระหว่างเดินกลับโรงแรมระกาทองพร้อมกัดพายเนื้อและดื่มไซเดอร์ ลูเมี่ยนผ่านสถานีรถไฟไอน้ำซูสิต
แถวนี้มีพ่อค้าแม่ขายหน้าใหม่มาขายรูปถ่าย ‘สาวงามเชิงวิชาการข้างถนน’ แล้ว
เพียงกวาดตามอง ลูเมี่ยนก็เห็นบารอนบรินิแยร์
หัวหน้าหน่วยแห่งพรรคซาฟาห์ที่สวมแหวนเพชรและคาบกล้องยาสูบไม้ท้อผู้นี้ ยังคงแต่งตัวราวกับสุภาพชน สวมหมวกผ้าไหมกึ่งสูง ไม่มีบอดี้การ์ดคอยเดินประกบ
เขากำลังจูงเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง เดินออกจากด้านในสถานีรถไฟไอน้ำ ข้ามลานกว้าง มุ่งหน้าไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ริมถนน
เด็กคนดังกล่าวสวมเสื้อนอกสีคาราเมลติดกระดุมทองเหลือง ทับในด้วยเสื้อเชิ้ตลายตารางขาวดำและเสื้อกั๊กลินิน กางเกงขาสั้น รองเท้าหนังสีดำไร้เชือก และถุงเท้าด้ายขาว บนหลังสะพายกระเป๋านักเรียนสีแดงเข้มที่ดูค่อนข้างหนัก
ผมบลอนด์ตาน้ำตาล รูปร่างแข็งแรง แก้มยุ้ยอวบอิ่ม บุคลิกแฝงความไร้เดียงสา
“ลูกชายบารอนบรินิแยร์? ปกติใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด พอช่วงปิดเทอมก็เข้ากรุงทรีอาร์? ถึงว่าดูไม่ค่อยสนิทกัน…” ลูเมี่ยนพึมพำสองสามประโยค ถอนสายตากลับ แล้วเดินเล่นต่อไป
…………
ณ คฤหาสน์สามชั้นสีเทาขาวเลขที่ 11 ถนนน้ำพุ ซึ่งเป็นของการ์ดเนอร์·มาร์ติน
ลูเมี่ยนที่มาถึงด้วยรถม้าส่วนตัวของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย เดินผ่านห้องโถงที่ประดับประดาไปด้วยอาวุธและชุดเกราะ จนกระทั่งมาถึงห้องที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือ
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเจ้าของบุคลิกเป็นมิตร ใบหน้าคมลึก และดวงตาสีน้ำตาลแดง กำลังนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะอ่านหนังสือ ด้านหน้ามี ‘มุสิก’ คริสโตร่างเล็ก ผมสีเทาดำ ตาสีน้ำเงินเข้ม ไว้หนวดสองปอย ยืนอยู่กับ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์เจ้าของความสูงเมตรเก้า ผมสีบลอนด์อ่อนเสยติดหัว สวมชุดสูทสีดำตึงแน่นผิดปกติ
เมื่อเห็นลูเมี่ยนเดินเข้ามาในห้องอ่านหนังสือ ทั้ง ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ และ ‘มุสิก’ คริสโตต่างหันตัวครึ่งหนึ่ง มองมายังพวกพ้องรายนี้
ดวงตาของ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ฉายแววระแวดระวังแต่ไม่ยอมจำนน ศีรษะเชิดขึ้นเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าชาร์ลที่สามารถจัดการ ‘ค้อนเหล็ก’ แอตลงได้ เป็นคนที่ไม่ควรมองข้าม แต่ก็เชื่อว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าไอ้โง่นั่น จึงอาจไม่แพ้ชาร์ลเสมอไป
‘มุสิก’ คริสโตมิได้แสดงอารมณ์โดดเด่น แต่กระเป๋าเสื้อฝั่งขวาของเสื้อสั้นสีน้ำตาลเข้มเกิดขยุกขยิกเล็กน้อย คล้ายกับด้านในบรรจุสิ่งมีชีวิต
คริสโตรีบสอดมือขวาเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนในทันที
สายตาที่เขามองลูเมี่ยน แฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่นอยู่หลายส่วน รอบปากฉาบรอยยิ้มเอาอกเอาใจโดยไม่รู้ตัว
นี่มัน… ลูเมี่ยนค่อนข้างอึดอัดกับท่าทีอีกฝ่าย
หลังจากไตร่ตรองสักพัก เด็กหนุ่มสงสัยว่า ‘มุสิก’ คริสโต คงอาศัยสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ‘ส่อง’ จนเห็นว่าตนเลื่อนเป็นลำดับ 7 ‘นักวางเพลิง’ เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเทียบกัน ประสาทสัมผัสของ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ทื่อกว่าอย่างเห็นได้ชัด จนไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนร่วมงาน
“สวัสดีครับบอส” ลูเมี่ยนทักทายการ์ดเนอร์·มาร์ตินด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าและกระตือรือร้น
เขารายงานเรื่องที่ตนดื่มโอสถและกลายเป็น ‘นักวางเพลิง’ ให้บอสใหญ่แห่งพรรคซาฟาห์รับรู้ไปเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพยักหน้าเล็กน้อย สายตาเลื่อนจากใบหน้าของลูเมี่ยนไปยัง ‘มุสิก’ คริสโต และ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์
เกือบสิบวินาทีผ่านไป เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ผมมีภารกิจให้พวกคุณ”
“เที่ยงตรง ไปรับของบางอย่างที่ใต้ดินทรีอาร์ แล้วนำมาที่ถนนน้ำพุ”
ภารกิจ? ลูเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับได้กลิ่นกับดัก
ในฐานะผู้วิเศษที่เพิ่งเข้าร่วมพรรคซาฟาห์ได้ไม่นาน การ์ดเนอร์·มาร์ตินคงยังไม่ไว้วางใจเขาขนาดนั้น เหตุใดถึงกล้าสั่งให้เข้าร่วมภารกิจสำคัญที่ควรเก็บเป็นความลับ?
ในชั่วพริบตานั้น ลูเมี่ยนคิดได้สองข้อสันนิษฐาน
เหยื่อล่อ หรือการทดสอบ
…………………………………………….