ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 257 ตัวซวย
ตอนที่ 257 ตัวซวย
หนอนใสที่เปล่งประกายดุจดังแสงดาว โผล่ออกจากฝ่ามือของสุภาพสตรีท่าทางเฉื่อยชา เชื่อมต่อเข้ากับรอยแยกอันมายาพร่ามัว ย้อมแสงประกายดาวให้มัน
เมื่อมาดามออกแรงกระชาก เสียงอันน่าสยดสยองคล้ายเกินจะทานทนก็ดังขึ้น ประหนึ่งแผ่นเยื่อใสที่ห่อหุ้มพื้นผิวของโลก ถูกม้วนไปทั้งสองฝั่งอย่างมิอาจขัดขืน
ท่ามกลางเสียงแตกร้าวเสียดแทงใจจนไม่อาจบรรยาย รอยแยกดังกล่าวถูกฝืนฉีกออก กลายเป็นโพรงมหึมาที่ระยิบระยับด้วยจุดแสงดาว
จนดูคล้ายปากทางเข้าอุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับดินแดนนิรนาม
วินาทีถัดมา ร่างของสุภาพสตรีในชุดกระโปรงยาวสีส้มสว่างวาบ ก่อนจะหายลับไปในอากาศเหนือทุ่งร้าง
‘มาดามจันทรา’ ผู้นั่งอยู่ในรถม้าแบบเปลนอน สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ขับเคลื่อนสิ่งมีชีวิตคล้ายปีศาจที่ลากรถ ตามลงไปใน ‘อุโมงค์’ นั่น
มาดามจัดจ์เมนต์ก็ตามไปติดๆ เช่นกัน
…………
ในมิติที่พื้นดินเต็มไปด้วยรากไม้ขดปม และเมฆขาวราวกับภาพสีน้ำมัน
เมื่อกิ่งไม้อันพร่ามัวใกล้ยอดต้น ‘หลั่ง’ ของเหลวสีดำเหนียว พร้อมกับงอกเงยสิ่งประหลาดรูปร่างพิสดาร ลูเมี่ยนแม้จะได้รับคำเตือนจากเทอร์มีโพลอสมิให้เงยหน้ามอง แต่ในใจก็ยังหลงเหลือความสับสนอลหม่าน
ผิวหนังของเด็กหนุ่มคันยุบยิบ เนื้อใต้ผิวหนังเคลื่อนไหวอย่างไม่ปกติ ประหนึ่งกำลังจะงอกตุ่มนูนหรือเนื้องอกนับไม่ถ้วน
ทันใดนั้น ลำแสงดาราบริสุทธิ์ผุดผ่องหลายเส้นส่องเข้ามาในมิติ มอบแสงสว่างแก่ดวงตาลูเมี่ยน
ไม่ไกลจากเขา รอยแยกเล็กๆ ในบางตำแหน่งขยายวงกว้าง กลายเป็นประตูแสงดาวอันเลือนรางและลึกลับทันใด
“หลับตาลง วิ่งเข้าไปในประตูนั้น” เสียงอันน่าเกรงขามของเทอร์มีโพลอสดังข้างหูลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มไม่ลังเล กำปรอทเสื่อมทรามด้วยมือซ้ายที่ระเบิดจนเนื้อเละ วิ่งพรวดเข้าหาประตูแสงดาวนั่น
เขาหลับตาแน่น อาศัยการรับรู้เชิงพื้นที่และระยะทางอันแม่นยำของนักล่า วิ่งไปถึงด้านหน้าของเป้าหมายได้ภายในไม่กี่ก้าว โดยไม่สนใจว่าปลายทางมีการเปลี่ยนแปลงแบบใด ซุกซ่อนสิ่งมีชีวิตอันตรายหรือไม่ กระโจนพรวดเดียวเข้าไป
หลังจากวิงเวียนศีรษะอยู่ไม่นาน ลูเมี่ยนราวกับได้ว่ายขึ้นมาจากก้นบึ้งลึก ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายอย่างฉับพลัน
เขาลืมตาขึ้น มองเห็นต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลเขียวอยู่ไม่ไกล มองเห็นตึกรามบ้านช่อง เช่นโรงแรมระกาทองที่ถูกพันธนาการด้วยกิ่งก้านและเถาวัลย์ มองเห็นถนนหลายสายบนทุ่งร้างที่ถูกอำนาจลึกลับแยกออกจากกัน มองเห็นกลุ่มคนค้าขายและคนเดินถนนที่มัวเมาในกิเลสตัณหาของตน มองเห็นฟรังก้ากำลังกระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้นสองของโรงแรมระกาทองอย่างเบาหวิว
เขาหลุดพ้นจากมิติในพฤกษาเงาแล้ว แต่ยังมิได้กลับสู่โลกแห่งความจริงโดยสมบูรณ์
ฟรังก้าก็เห็นลูเมี่ยนที่อยู่ไม่ไกลจากตน จึงร้องเรียกอย่างยินดีระคนกระวนกระวาย
“เร็วเข้า รีบหาทางออกกันเถอะ!”
ถึงแม้เธอจะ ‘อัญเชิญ’ มาดามจัดจ์เมนต์มาแล้ว จนเริ่มเบาใจขึ้นมาหลายส่วน แต่ก็ยังไม่อยากอยู่ที่นี่นาน
การต่อสู้ในขอบเขตของครึ่งเทพ ผู้มีลำดับ 7 ตัวเล็กจ้อยอย่างเธอย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม แม้เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ ก็ยังสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง
ลูเมี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย วิ่งพรวดเข้าหาฟรังก้าไปพลางเหลียวซ้ายแลขวา เสาะหาสิ่งที่คล้ายจะเป็นทางออก
ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่คล้ายคลึงกับ ‘โลกอีกฝั่ง’ ที่ได้รับพรจาก ‘องค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่’ เพียงแต่ไม่มีวิญญาณคนตายจำนวนมาก ไม่มีปีศาจคอยโยนคนบาปลงสู่หุบเหว
มีสาวกขององค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่เข้าร่วมแผนการของสมาคมเสียวซ่านด้วยหรือ? ลูเมี่ยนลองคาดเดาในใจ พลางตะโกนคุยกับฟรังก้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ไปที่ขอบทุ่งร้าง!”
จากประสบการณ์ของเขา หากที่นี่คือโลกอีกฝั่งจริง ก็ควรจะมีทางออกอยู่แถวริมขอบ
ฟรังก้าผงกศีรษะเบาๆ โดยไม่ถาม เพียงวิ่งตามไป
ทันใดนั้น ทุ่งร้างผืนนี้ก็พลันสั่นสะเทือนรุนแรง เสียงคำรามทึมทึบดังมาจากภายในต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลเขียว
ท้องฟ้ากลายเป็นมืดครึ้มทันที ทั้งมิติดูราวกับใกล้พังทลาย
กิ่งไม้และเถาวัลย์ที่พันรอบตึก พันรอบถนนทั่วย่าน พลันหดกลับเข้าไปในพริบตา กลุ่มคนค้าขาย คนเดินถนน และผู้เช่าที่ถูกกิเลสตัณหาครอบงำ ต่างได้สติกลับมาท่ามกลางความงุนงง
ทุกคนหยุดการกระทำทันที บ้างก็เลิกกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง บ้างก็ปล่อยเพศตรงข้ามที่ถูกตนกดทับ ให้ลุกขึ้นยืนอย่างหวาดผวา บ้างก็หยุดการฆ่าฟันในสภาพเลือดท่วม ยืนมองไปรอบทิศด้วยความสับสน ตามลำตัวมีบาดแผลเล็กน้อยหรือสาหัส…
ภายในโรงแรมระกาทอง คู่รักที่หนีตามกันมาและกำลังด่าทอกัน หยุดกิจกรรมในร่มทันที พวกเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด เพียงแต่สงสัยว่าเพราะเหตุใด ท้องฟ้าถึงได้มืดลงกะทันหันประหนึ่งยามเย็นมาเยือน
อ็องโตนี·รีดที่กำลังตัวสั่นอยู่ใต้โต๊ะไม้ เลิกสั่นกลัวเป็นอันดับแรก ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นหม่นหมอง คลานออกมาแล้วมองไปนอกหน้าต่าง
กาเบรียลที่กำลังเซ็นชื่ออย่างบ้าคลั่ง เรียกสติกลับมาได้ทันที สงสัยว่าตนกำลังขัดเกลาบทละคร ‘ผู้ไขว่คว้าแสง’ โดยอ้างอิงจากความเห็นของผู้จัดการโรงละครอยู่ แต่เพราะเครียดเกินไปจึงเกิดอาการทางจิต
เจ้าของบาร์ใต้ดิน ปาวาร์·นีซองต์วางแปรงลง แต่ก็ยังเสียดายที่ต้องละสายตาจากกระดานเขียนรูป เมื่อครู่ถึงแม้เขาจะร่างภาพอย่างเร็วๆ หยาบๆ แต่กลับรู้สึกว่านั่นคือผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตตนนับตั้งแต่เกิดมา ล้ำหน้ากว่าระดับสูงสุดที่เคยทำได้ไปไกลโข จิตใต้สำนึกจึงอยากกลับไปสู่ภาวะดังกล่าวอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สมหวัง
เพียงพริบตา กิ่งไม้และเถาวัลย์ทั้งหมดก็หดกลับเข้าไปในพฤกษาเงา พ่อค้าแม่ค้า คนเดินถนน และผู้เช่าที่ได้สติส่วนใหญ่ ต่างก็มองเห็นต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลเขียวอันน่าพรั่นพรึงนั่น
ไม่มีใครเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตามสัญชาตญาณความกลัว พวกเขารีบวิ่งหนีให้ไกลจากพฤกษาเงาทันที
ขณะเดียวกัน ซูซานน่า·มาติสที่หุ้มร่างด้วยผมยาวสีเขียวมรกต กลับมาปรากฏตัวบนยอดไม้อันพร่ามัวอีกครั้ง ส่วนชาร์ล็อตต์·คัลวิโนยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่ต่ำกว่าเล็กน้อย สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง ท้อแท้ แลเจ็บแค้น
หลังจาก ‘เครื่องเซ่น’ หลบหนีออกจากพิธีกรรม พิธีสังเวยก็ประสบความล้มเหลวชั่วคราว พวกเธอจึงรีบหนีออกจากมิติลึกลับนั่น เพื่อหลีกเลี่ยงลูกหลงจากศึกระหว่างครึ่งเทพ
ซูซานน่า·มาติสที่ได้รับผลข้างเคียงจากบารมีเทพ ร่างของเธอจางลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับพร้อมจะสลายหายไปทุกเมื่อ
กระจกตาของหญิงสาวสะท้อนภาพลูเมี่ยนและฟรังก้าที่กำลังวิ่งไปยังขอบทุ่งร้าง แต่เธอไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะส่งอิทธิพลไปเล่นงานพวกเขา
หากเป็นตามปกติ เธอที่ผสานเข้ากับพฤกษาเงา สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ไกลถึงตรงนั้น แต่การชะงักงันของพิธีกรรมนำมาซึ่งผลสะท้อนกลับ ประกอบกับการปนเปื้อนมลทินจากพลังของ ‘บุตรแห่งพระเจ้า’ ที่เพิ่งเสด็จเยือน โดยที่เธอมิได้เตรียมตัวป้องกัน ทำให้เมื่อครู่เกือบเอาชีวิตแทบไม่รอด ตอนนี้จึงกำลังอ่อนแอสุดขีด
ในฐานะวิญญาณมารที่มีนิสัยสุดโต่งและยึดมั่นถือมั่น ซูซานน่า·มาติสไม่อยากยอมแพ้ทั้งอย่างนี้ ยังอยากจับลูเมี่ยนกลับมา ลากเข้าไปในพฤกษาเงาอีกครั้ง เพื่อสานต่อพิธีกรรมที่ยังไม่ลุล่วงให้เสร็จสมบูรณ์
เธอสั่งให้กิ่งไม้และเถาวัลย์ของพฤกษาเงา ยืดยาวออกไปด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง ไล่ตามพ่อค้าคนหนึ่งจนทันและห้อยเขาขึ้นมา ปักหนามบนผิวเข้าไปในเนื้อหนังของอีกฝ่าย สูบพลังชีวิตที่ช่วยฟื้นฟูกำลังวังชาให้ซูซานน่า
นี่ก็เหมือนกับการใช้พฤกษาเงา เร่งกระบวนการ ‘สูบพลังชีวิตผ่านการร่วมเพศในฝัน’ จากที่เหยื่อจะตายอย่างช้าๆ แต่มีความสุข ให้ตายในพริบตาอย่างง่ายดายแทน!
เมื่อเห็นกิ่งไม้และเถาวัลย์สีน้ำตาลหรือเขียวพุ่งเข้าใส่ดุจดังหนวดรยางค์สัตว์ประหลาด เห็นเพื่อนถูกมัดแขวน ดิ้นรนสุดแรงเกิด ส่งเสียงร้องโหยหวน บรรดาพ่อค้าแม่ขาย คนเดินถนน และผู้เช่าที่ติดอยู่ในทุ่งร้างผืนดังกล่าว ต่างตะโกนโหวกเหวกด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด วิ่งหนีแตกกระเจิง หวาดกลัวจนสุดขีด
คู่รักที่หนีตามกันมา ห่อตัวด้วยผ้าปูที่นอน วิ่งออกจากโรงแรมระกาทอง ตามหลังอ็องโตนี·รีดไปยังขอบทุ่งร้าง ด้านหลังพวกเขาคือกาเบรียล คือปาวาร์·นีซองต์ คือผู้เช่าที่ยังไม่ถึงเวลาออกไปทำงาน ส่วนด้านหน้าคือกลุ่มคนค้าขายและคนเดินถนนที่กำลังวิ่งกระเจิดกระเจิง
ผู้ประสบภัยคนแล้วคนเล่าถูกกิ่งไม้หรือเถาวัลย์ห้อยหัว สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด พลางส่งเสียงร้องขอชีวิต
พ่อค้าที่เคยเติมไซเดอร์ให้ลูเมี่ยนมากเป็นพิเศษ สะดุดหินบนพื้นล้มลง ทำได้เพียงมองเถาวัลย์สีเขียวเลื้อยพันร่างกายอย่างสิ้นหวัง ไม่นานก็ถูกคลุมจนทั่วตัว
สัมผัสถึงเหตุการณ์ดังกล่าว หลังจากเหลียวกลับไปมองสองสามวินาที ลูเมี่ยนก็ชะลอฝีเท้าลง
ได้เห็นภาพนี้ ฟรังก้าเปิดปากด่าทันที
“อย่าบอกนะว่าคิดจะกลับไปช่วย?”
“บัดซบ! ลืมสถานะของตัวเองไปแล้วหรือไง? คุณคือผู้ต้องหามีค่าหัว คือหัวหน้าหน่วยแก๊งอันธพาล!”
ลูเมี่ยนมิได้ลดความเร็วลง แต่ก็ไม่ได้เร่งให้เร็วขึ้น
เขากับฟรังก้าใกล้วิ่งถึงขอบทุ่งร้างแล้ว
ทันใดนั้นเอง เสียงอันน่าเกรงขามของเทอร์มีโพลอสดังขึ้นข้างใบหู
คราวนี้เทวทูตแห่งชะตากรรมมิให้พูดให้จบในลมหายใจเดียว แต่แบ่งบทพูดยาวเหยียดเป็นหลายวรรค สั่นพ้องอยู่ในหูของลูเมี่ยนโดยเว้นระยะห่างเล็กน้อย
“เจ้ายังไม่เข้าใจโชคชะตาของตัวเองอีกหรือ?”
“เมื่อแบกรับพลังแห่งชะตากรรม ก็ย่อมต้องเกิดการกัดกร่อนที่สอดคล้องกัน”
“นับตั้งแต่วินาทีที่หมู่บ้านกอร์ตูถูกทำลาย เจ้าก็กลายเป็นตัวซวยไปแล้ว”
“ในเรื่องต่างๆ ก่อนหน้านี้ หลายสิ่งมิได้เกิดจากฝีมือของข้า แต่เป็นฤทธิ์ของเคราะห์กรรมความซวยของเจ้าเอง”
“ในฐานะตัวซวย ไม่เพียงแต่เจ้าจะประสบเคราะห์กรรม คนรอบข้างเจ้า คนใกล้ชิดเจ้า ก็จะเผชิญเคราะห์กรรมด้วยเช่นกัน”
“หากมิใช่เพราะเจ้าขาดปัญญาศาสตร์เร้นลับ ทำให้ซูซานน่า·มาติสค้นพบปัญหาในตัวได้เร็ว จนเริ่มติดต่อฮิวจ์·อาร์ทัวส์ เพื่อจัดเตรียมพิธีเซ่นสังเวยด้วยการระเบิดโรงงานเคมี แม่ของจินนาก็คงไม่ฆ่าตัวตาย พี่ชายของนางก็คงไม่เสียสติ”
“หากเจ้าใส่ใจมากพอ ตอนที่ฟลามงได้สติกลับมาและนั่งดื่มเหล้ากับเจ้า ถ้าเรียก ‘นักจิตบำบัด’ ตัวจริงมาช่วยดูอาการได้ทัน เขาก็คงไม่เลือกฆ่าตัวตาย”
“หากเจ้าไม่เพียงแค่เตือนรูเอล แต่คอยตีกรอบการกระทำอย่างเคร่งครัด เขาก็คงไม่ติดโรคซ้ำจนตายในชั่วข้ามคืน มิเชลก็คงไม่ตรอมใจฆ่าตัวตาย”
“เคราะห์กรรมทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เจ้านำพามา”
“การดำรงอยู่ของข้าไม่เพียงแต่มอบความน่าเกรงขามให้เจ้า มอบพลังและไพ่ตายให้เจ้า แต่ยังเป็นคำสาปที่เจ้าไม่อาจเลี่ยง”
“เจ้าทำได้เพียงยอมศิโรราบต่อชะตากรรม ปล่อยข้าออกจากตราผนึก เคราะห์กรรมของเจ้าจึงจะยุติลง”
“หากเจ้ายังดื้อแพ่ง ทุกคนที่เจ้าอยากช่วยก็จะช่วยไว้ไม่ได้ ทุกคนที่เจ้าอยากปกป้องก็จะปกป้องไว้ไม่ได้ รังแต่จะเพิ่มความโชคร้ายให้พวกเขาเท่านั้น”
“เมื่อถึงตอนนั้น เหล่าผู้คนที่กำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่ตอนนี้ จะไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว”
“กาเบรียลจะตาย”
“ชาร์ลีจะตาย”
“จินนาจะตาย”
“แม้แต่ฟรังก้าก็จะตายเช่นกัน”
ลูเมี่ยนหยุดฝีเท้าทันที สีหน้าบิดเบี้ยว ไม่อาจซ่อนความทุกข์ทรมานได้อีกต่อไป
ฟรังก้าตะโกนซ้ำ
“ได้สติสักที! ในสถานการณ์ปกติ ถ้าคุณจะทำตัวบ้าๆ ไปบ้าง ทำดีกับเพื่อนร่วมโลกบ้าง ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ตอนนี้เราต้องรีบหนีไปขอความช่วยเหลือจากผู้วิเศษทางการ! ไม่มีใครรู้ว่าศึกระหว่างครึ่งเทพจะจบลงหน้าไหน ซูซานน่าตอนนี้ยังนับว่ามีบารมีเทพอยู่หลายส่วน เป็นลำดับ 5 ที่เหนือลำดับ 5 พวกเราสู้ไม่ไหวแน่!”
“ยังไงเสีย คนพวกนั้นก็ไม่เคยหวังว่าอันธพาลที่ชอบใช้กำลังเบียดเบียนตน จะยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่แล้ว!”
ใกล้กับต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลเขียว ผู้คนจำนวนมากถูกแขวนอยู่บนกิ่งไม้เรียบร้อยแล้ว
ฉับพลันทันใด กาเบรียลถูกเถาวัลย์สีเขียวสองสามเส้นกระชากขึ้นไป บทละคร ‘ผู้ไขว่คว้าแสง’ ร่วงกระจายเต็มพื้น
เจ้าของบาร์ใต้ดิน ปาวาร์·นีซองต์อยู่ใกล้กับกาเบรียล มีหนามปักเข้าไปในร่างกายแล้ว
สำหรับคู่รักที่หนีตามกันมา ฝ่ายหญิงวิ่งช้ากว่า สะดุดกิ่งไม้ล้มลง และถูกเถาวัลย์พันรึงจนมิดลำตัว
ชายหนุ่มที่ห่อตัวด้วยผ้าปูที่นอนตกใจจนตัวสั่น เดินหน้าต่อไป แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดกึกทันที ด่าทอกับตัวเองว่า
“บัดซบ!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ชายคนดังกล่าวก็หันหลังกลับ วิ่งเข้าหาคนรักของตน กัดฟันกรอดพลางพยายามฉีกเถาวัลย์ พยุงเธอให้ลุกขึ้น
เสียงร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวัง เสียงกรีดร้องตกใจกลัว ก้องสะท้อนไปมาเหนือทุ่งร้าง
ลูเมี่ยนกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มหัวเราะกับตัวเอง
“แล้วอย่างแกนับเป็นคนใกล้ตัวฉันไหม? ยังไงก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา โชคร้ายจะส่งผลกับแกไหม?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ดีว่าตัวเองจะล้มเหลวซ้ำซาก แต่คนอย่างฉันน่ะ พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ เพื่อไขว่คว้าความหวังอันเลือนรางนั่นให้ได้!”
“ถ้าฉันเป็นพวกถอดใจเร็ว ป่านนี้คงล้มลงไปนานแล้ว!”
“และเหนืออื่นใด โอกาสสำเร็จมันก็ใช่ว่าจะไม่มี”
พูดจบประโยคนี้ ลูเมี่ยนก็กลับมาวิ่งต่อ ตรงไปยังริมขอบทุ่งร้าง
แม้ฟรังก้าจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพึมพำอะไรอยู่คนเดียว แต่เธอก็ดีใจที่เห็นเด็กหนุ่มตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
สองสามวินาทีถัดมา พวกเขามาถึงขอบทุ่งร้าง ลูเมี่ยนที่จงใจวิ่งตามหลังฟรังก้าห่างก้าวเดียว เหยียดสองมือออกไปกะทันหัน ผลักเพื่อนร่วมทางไปข้างหน้า
ฟรังก้าที่ไม่ทันตั้งตัว เห็นร่างของตนค่อยๆ หลุดพ้นจากทุ่งร้างด้วยสายตาตกตะลึง พลางหันหลังกลับไปมองลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ครั้งหนึ่งผมเคยสิ้นหวังและเป็นทุกข์ อยากได้รับความช่วยเหลือเหมือนคนอื่นบ้าง… จนกระทั่งวันหนึ่ง ใครบางคนได้ยื่นมือมาหาผม”
พูดจบ เด็กหนุ่มรีบหมุนตัวกลับ วิ่งปรี่ไปหาต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลเขียว
บนทุ่งร้างอันมืดครึ้ม เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนบนผิวกายของเขา โดยในคราวนี้ อาภรณ์เพลิงมิได้เว้นช่องว่างกับเสื้อผ้า แต่เผาไหม้ผิวหนังของเขาโดยตรง
ลูเมี่ยนคิดจะใช้ความเจ็บปวดที่ยั่งยืนอย่างไร้สิ้นสุด ต่อกรกับกิเลสตัณหานานัปการที่ตนกำลังจะได้เผชิญ!
ขณะวิ่งอย่างบ้าคลั่ง สายตาของเด็กหนุ่มตรึงอยู่กับซูซานน่าผู้คลุมร่างด้วยผมยาวสีเขียว แต่สิ่งที่เขา ‘เห็น’ ไม่ได้มีเพียง ‘มารพฤกษาเสื่อมทราม’ ตนนี้ แต่รวมถึงอีกร่างหนึ่งในความทรงจำ
บุคคลที่มอบแสงสว่างให้เขา
…………………………………………………….