ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 249 ช่องโหว่ในสัญญา
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 249 ช่องโหว่ในสัญญา
ตอนที่ 249 ช่องโหว่ในสัญญา
เมื่อเห็นอากัปกิริยาของโบโน·โกลด์ไวร์ อ็องกูแลมในใจก็มีหลักยึดแล้ว
เขาหยิบกระดาษและปากกาออกมา เขียนหนังสือรับรองฉบับหนึ่งเสร็จในทันที ใจความก็คือ โบโน·โกลด์ไวร์สาบานต่อทวยเทพว่า จะไม่โกหกในการสอบถามต่อจากนี้
เมื่ออ็องกูแลมเซ็นชื่อตัวเองในตำแหน่งผู้รับรอง กระดาษแผ่นดังกล่าวก็พลันส่องแสงสีทอง
โบโน·โกลด์ไวร์เห็นดังนั้นก็กลืนน้ำลายหนึ่งอึก ในใจยิ่งตึงเครียด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะเจ้าของโรงงานคนดังแห่งกรุงทรีอาร์ เขาเคยสัมผัสศาสตร์เร้นลับมาบ้าง เคยเห็นพลังเหนือธรรมชาติมาสองสามครั้ง เรื่องทำนองนี้จึงไม่ถือว่าแปลกใหม่ เฉกเช่นโจรสามคนเมื่อสักครู่ คนหนึ่งใช้อีกาเพลิงระเบิดปากเขา คนหนึ่งสร้างเปลวไฟสีดำ และอีกคนสามารถกระโดดลงจากชั้นสาม
“เซ็นชื่อของคุณ” อ็องกูแลมยื่นหนังสือรับรอง ซึ่งสีทองจางลงแล้ว ให้กับโบโน·โกลด์ไวร์
“ครับ” มือขวาของโบโน·โกลด์ไวร์สั่นเทา เขียนชื่อของตนตรงตำแหน่งผู้ให้คำมั่น
ทุกตัวอักษรที่เขียนเสร็จไป ลายมือจะส่องแสงสีทองแวววาวเล็กน้อย
รอจนกระทั่งเขียนเสร็จ อ็องกูแลมจึงถามด้วยเสียงลุ่มลึก
“คุณศรัทธาเทพองค์ใด”
“เทพจักรกลไอน้ำ” สำหรับโบโน·โกลด์ไวร์แล้ว คำถามนี้ไม่ยากเลย
อ็องกูแลมข้ามไปคำถามต่อไป
“เหตุใดช่วงเช้าของวันที่โรงงานเคมีระเบิด คุณถึงไปเยี่ยมสำนักงานสส.?”
โบโน·โกลด์ไวร์ลังเลอยู่สองวินาที ด้วยความหวาดกลัวต่อพลังเหนือธรรมชาติภายใต้สักขีพยานของทวยเทพ ผนวกกับฤทธิ์ของ ‘ยาสารภาพ’ ที่ยังหลงเหลือ เขาจึงทวนคำที่เคยพูดกับพวกลูเมี่ยนซ้ำอีกครั้งอย่างละเอียด
อ็องกูแลม วาเลนไทน์ และอิมเรผลัดกันถาม ทำให้โบโน·โกลด์ไวร์พยายามระลึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับโรแน เลขานุการสส. และทิบอลต์ ผู้ช่วยเลขานุการ ให้ได้มากที่สุด
ในตอนท้ายของการสอบถาม อ็องกูแลมกล่าวกับโบโน·โกลด์ไวร์
“นับแต่นี้ไป คุณจะถูกจับกุมในข้อหาวางเพลิง จงใจก่อวินาศกรรม และฆาตกรรม ทรัพย์สินของคุณจะถูกอายัดชั่วคราว เพื่อรอการชดเชยให้กับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ”
โบโน·โกลด์ไวร์ใบหน้าซีดเซียว เหมือนหมดแรงทั้งตัว ทรุดนั่งบนเก้าอี้เอนหลัง
วาเลนไทน์เดินไปทางประตูสองก้าว มองออกไปยังทางเดิน แล้วพูดเสียงเบา
“ท่านสังฆานุกร หลังจากพาไอ้ชั่วที่ดูหมิ่นความศรัทธาและทรยศต่อมโนธรรมนี่ไปถึงกองบัญชาการตำรวจแล้ว เราจะจับกุมตัวโรแน เลขานุการของฮิวจ์·อาร์ทัวส์อย่างเป็นทางการได้หรือยัง?”
อ็องกูแลมถอนหายใจเชื่องช้าพลางส่ายหน้า
“ยังไม่ได้”
“คุณไม่สังเกตหรือ โรแนกับทิบอลต์ที่ตายไปต่างก็รอบคอบมาก พวกเขาไม่เคยพูดอย่างเจาะจงให้โบโน·โกลด์ไวร์ระเบิดโรงงานเคมีของตัวเอง เพียงแค่คอยบอกใบ้ นำเสนอนโยบายของสส. พูดถึงปรัชญาความเสื่อมโทรม สามารถแก้ตัวได้ไม่ยากเย็นว่าโบโน·โกลด์ไวร์ถูกผลประโยชน์บดบังจิตใจ จนตีความคำพูดพวกเขาผิดไป”
“ตอนนี้ผ่านมาเกือบสองวันแล้ว ยากที่จะพบร่องรอยว่าโบโน·โกลด์ไวร์ถูกพลังเหนือธรรมชาติครอบงำการกระทำ”
“หรือก็คือ หลักฐานของเรายังหนักแน่นไม่พอที่จะจับกุมเลขานุการโรแน เพื่อสอบปากคำเขาด้วยพลังวิเศษ ยังทำได้เพียงเรียกตัวมาสอบปากคำทั่วไปเท่านั้น”
วาเลนไทน์ฟังแล้วโมโหจนตัวสั่น แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เขามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าเลขานุการคนนั้นมีปัญหา แต่ติดกฎระเบียบ ไม่สามารถจัดการด้วยยุทธวิธีทางศาสตร์เร้นลับได้
หลังจากผ่อนลมหายใจอยู่สักพัก วาเลนไทน์หันไปมองโบโน·โกลด์ไวร์ที่นอนอืดเหมือนก้อนเนื้อเน่าบนเก้าอี้เอนหลัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“ผมจะเสนอให้เอามันไปเผา!”
อ็องกูแลมพยักหน้า กล่าวกับวาเลนไทน์และลูกครึ่งอิมเร
วาเลนไทน์ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“ท่านสังฆานุกร จะไม่ตามรอยผู้วิเศษสามคนที่บุกเข้ามาก่อนหน้านี้หรือครับ?”
อ็องกูแลมหัวเราะหนึ่งที
“ตามไปทำไม?”
วาเลนไทน์ส่งสายตางุนงง แสดงความไม่เข้าใจ
อิมเรผู้คุ้นชินกับลีลาการทำงานของสังฆานุกร ช่วยพูดเสริมเสียงเบา
“ผู้วิเศษสามคนที่แอบเข้ามา มิได้ปล้นทรัพย์สิน มิได้ฆ่าใครตาย เพียงสอบถามถึงเหตุโรงงานเคมีระเบิด ถามถึงการเยี่ยมชมสำนักงานสส. เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาคือเลขานุการโรแน คนของฮิวจ์ อาร์ทัวส์”
“ดีไม่ดีอาจเป็นคนของ ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ โดยที่หนึ่งในนั้นคือมือสังหารผู้ช่วยเลขา ทิบอลต์”
อ็องกูแลมพูดเสริมพร้อมหัวเราะเบาๆ
“ในเมื่อเราถูกผูกมัดด้วยพันธสัญญาและกฎเกณฑ์ จนไม่สามารถสืบสวนสำนักงานสส. ในเชิงลึก เช่นนั้นแล้ว เราปล่อยให้ผู้วิเศษเถื่อนที่มีเป้าหมายเดียวกัน ไปเชือดเนื้อเถือหนังพวกมัน แล้วนำหนองเน่าออกมาประจานในที่แจ้งแทนเราไม่ดีกว่าหรือ?”
“แบบนั้นจะไม่เป็นปัญหาหรือครับ?” วาเลนไทน์โพล่งถาม
อ็องกูแลมตอบกลับอย่างขำขัน
“ไม่มีปัญหาแน่นอน หากหวังจะเล่นงานพวกที่ชำนาญการใช้กฎเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองอย่างเจ้าเล่ห์ เราก็ต้องเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า ต้องใช้ช่องโหว่ของกฎให้มากกว่า หรือถ้าจำเป็น กระทั่งการร่วมมือกับองค์กรใต้ดินบางแห่ง หรือการจับมือกับผู้วิเศษเถื่อน เราก็ต้องทำ”
“พันธสัญญาที่เราทำไว้กับทางสส. และข้าราชการระดับสูง เพียงห้ามมิให้กระทำบางสิ่ง แต่ไม่ได้ระบุว่าเราห้ามคิดร้ายต่อพวกเขา มิได้ระบุว่าห้ามบ่มเพาะสายสืบในหมู่ผู้วิเศษเถื่อน ซึ่งฝ่ายหลังไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยพันธสัญญาเหมือนเรา”
“ในทำนองเดียวกัน พันธสัญญาประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นแค่ข้อห้าม มิใช่การบังคับให้ทำตาม ในบางกรณี เราไม่จำเป็นต้องยุ่มย่ามกับพันธสัญญาเลย แค่ละเว้นการลงโทษบางอย่างที่พึงกระทำ แล้วนั่งรอชมผลลัพธ์อยู่เงียบๆ ก็พอ”
“วาเลนไทน์ กระทั่งใต้ดวงอาทิตย์ก็ยังมีเงา เฉกเช่นเงาของเราทุกคน คุณต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเงา บางครั้งก็กำจัดทิ้ง บางครั้งก็ใช้ประโยชน์จากมัน… สุริยันจงเจริญ!”
อ็องกูแลมเสริมอีกประโยค
“ผมไม่ได้คิดคำพูดเหล่านี้ขึ้นเอง นับตั้งแต่จักรพรรดิโรซายล์ล่มสลายจวบจนปัจจุบัน ทั้งสองศาสนจักร รัฐสภา รัฐบาล กองทัพ และหน่วยแปด ต่างก็เล่นเกมใส่กันตลอด ทุกฝ่ายล้วนสั่งสมประสบการณ์ที่มิอาจทำได้อย่างเปิดเผยมาเนิ่นนาน”
“ไม่อย่างนั้น คุณคิดว่าเหตุใดผมถึงปล่อยให้มีผู้วิเศษเถื่อนลอยนวลอยู่ในแก๊งเขตตลาด? เพียงเพราะเชื่อคำพูดและคำรับรองของผู้กำกับ? เปล่าเลย ผมเพียงแต่คิดว่า บางครั้งพวกเขาก็อาจมีประโยชน์”
“แน่นอน การที่ปล่อยให้สาวกเทพมารรวมตัวกันเป็นแก๊งใหญ่ ทุกคนต่างก็ผิดร่วมกัน รวมถึงผมด้วย ทุกเรื่องย่อมมีทั้งคุณและโทษ”
วาเลนไทน์ครุ่นคิดเงียบงันสักพัก มิได้ถามไถ่สิ่งใดเพิ่ม
ความขัดแย้งในทำนองเดียวกันก็พบเห็นได้บ้างในแคว้นไรสตัน แต่มิได้ชัดเจนและรุนแรงเท่าทรีอาร์ อย่างไรเสีย นี่คือศูนย์กลางของประเทศ
…………
ระหว่างทางกลับจากทรีอาร์ใต้ดินไปยังเขตตลาด
ลูเมี่ยนที่ถอดผ้าพันแผลออกแล้ว หันไปมองจินนาที่เอาแต่เงียบ แล้วพูดอย่างเป็นกันเอง
“ผมนึกว่าคุณจะเสียบโบโน·โกลด์ไวร์ให้ตายคาที่เสียอีก หรืออาจทรมานมันชนิดที่กลายเป็นผีแล้วก็ยังลืมไม่ลง นึกไม่ถึงว่าจะเสียบไหล่ไปแค่มีดเดียว”
จินนาเม้มปาก เดินไปอีกหลายก้าวก่อนจะตอบเสียงเบา
“ถ้ามันตายตอนนี้ ไม่รู้เลยว่าเงินชดเชยอุบัติเหตุจะยืดเยื้อไปอีกกี่ปี หรือบางที อาจจะได้แค่เล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น…”
เธอไม่สนใจเงินนั่นแล้ว แต่ยังมีอีกหลายครอบครัวที่รอคอยอยู่
ฟรังก้าพยักหน้าบางเบาจนแทบไม่สังเกตเห็น แล้วช่วยเสริม
“ไม่ต้องห่วง โบโน·โกลด์ไวร์ต้องถูกตัดสินประหารชีวิตแน่นอน อยู่ที่ว่าจะในรูปแบบใดเท่านั้น… แต่เราก็ต้องหมั่นทิ้งเบาะแสให้ผู้วิเศษทางการด้วย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่า พวกเราคอยปกป้องฮิวจ์·อาร์ทัวส์ คอยช่วยมันกำจัดภัยซ่อนเร้นหนแล้วหนเล่า”
จินนายิ้มเศร้าๆ
“นี่คือผู้แทนที่เราเลือกมา แต่เลขาและผู้ช่วยเลขาของเขา กลับทักทายเราด้วยวินาศกรรมครั้งใหญ่”
จินนาเงียบไป ไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ
ลูเมี่ยนพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“ผมไม่เคยได้รับสิ่งดีๆ จากอินทิสเลย ไม่เคยลงคะแนนเสียง ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดกับผม อย่าว่าแต่เลขาสส. เลย แม้แต่ตัวสส. เอง หรือกระทั่งประธานาธิบดีที่ปกครองประเทศ ผมก็จะไม่ปล่อยไว้!”
“พี่สาวเคยพูดไว้ว่า เลือดต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น ผมไม่สนหรอกว่าคนที่หลั่งเลือดจะเป็นใคร”
สีหน้าของจินนาบิดเบี้ยวอีกครั้ง พูดด้วยเสียงอมทุกข์
“แม่คอยสอนอยู่เสมอว่าต้องใจดีกับคนอื่น ต้องรู้จักการให้อภัย อย่าปล่อยให้ความทุกข์และความแค้นครอบงำชีวิต ไม่อย่างนั้นจะมองไม่เห็นแสงสว่าง…”
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนและฟรังก้าตอบ เธอก้มหน้าลง ฝืนกัดฟันเปล่งเสียง
“แต่ฉันเป็นคนแบบนั้นไม่ได้!”
“ถ้าเชือดศัตรูจนเหี้ยนเตียน ความแค้นก็จะไม่มาครอบงำชีวิตเราอีก” ลูเมี่ยนหยักมุมปากพูด
จินนาเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะ ‘อืม’ หนึ่งคำแล้วพูด
“อย่างน้อย… อย่างน้อยฉันจะไม่ปล่อยเลขาโรแนนั่นไปแน่!”
ฟรังก้าชื่นชมทันที
“ดีมาก รักษาความมุ่งมั่นเอาไว้”
หญิงสาวย้ำต่อ
“แต่แน่นอน การแก้แค้นต้องไม่บ้าบิ่น ไม่หุนหันพลันแล่น ต้องรอจนกว่าตัวเองจะมีพลังเพียงพอ รอจนกว่าโอกาสจะมาถึง จึงค่อยลงมือ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ญาติและผองเพื่อนต้องทุกข์ระทม จนทำได้เพียงมองดูศัตรูยังมีชีวิตอยู่ แถมยังเป็นชีวิตที่ดีเสียด้วย”
“อื้อ” จินนาพยักหน้าเงียบงัน
…………
ยามดึกสงัด เขตสวนพฤกษศาสตร์ บ้านเลขที่ 17 บนถนนปลาสเตอร์
ย่านนี้อยู่ใกล้กับนิคมโรงงานทางตอนใต้ของถนนนักบุญเกอร์ ซึ่งเป็นที่คาบเกี่ยวระหว่างเขตตลาดและเขตสวนพฤกษศาสตร์
จินนากับครอบครัวเลือกเช่าอยู่ที่นี่เพื่อให้เอโลดีกับยูเลียนเดินทางไปทำงานได้สะดวก
จินนาเพิ่งเปิดประตูก็เห็นยูเลียน พี่ชายของเธอ กำลังนั่งยองอยู่ข้างหน้าต่างในท่ากุมศีรษะ
หัวใจของหญิงสาวพลันจมดิ่ง รีบถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ยูเลียน เป็นอะไรไป?”
ยูเลียนที่อาบไล้ด้วยแสงจันทร์สีแดงก่ำ นั่งยองชิดกับโต๊ะไม้เก่า ทำท่าสะดุ้งตกใจ
“อย่าไล่ผมออก อย่าไล่ผมออก!”
“แม่ของผมเสียแล้ว เธอเสียแล้วจริงๆ … ก็เลยไม่ได้เข้าโรงงานช่วงบ่าย…”
“อย่าไล่ผมออก! อย่าไล่ผมออก!”
“แม่… แม่… ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรปล่อยให้แม่อยู่ในห้องตามลำพัง!”
“ฉันผิดเอง เป็นความผิดของฉันทั้งหมด!”
“ฮือๆๆ!”
ยูเลียนร้องไห้โฮ เหมือนกับเด็กที่หวาดผวาสุดขีด
ราวกับเสียสติไปแล้ว
จินนายืนอยู่หน้าประตูในความมืด มองดูพี่ชายด้วยสายตาเหม่อลอย รู้สึกว่าตนกำลังจมลงสู่ห้วงลึกไร้ก้น
……………………………………………………..