ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 246 เด็ดเดี่ยว
ตอนที่ 246 เด็ดเดี่ยว
ยามเช้าตรู่เพิ่งจะสาง ลูเมี่ยนลืมตาตื่นพร้อมกับเสียงระฆังดังก้องจากวิหารนักบุญโรแบร์
คืนนี้ เขาพักอยู่ที่โรงแรมระกาทอง
เด็กหนุ่มยกมือขวาลูบศีรษะตัวเอง พบว่าผมหนาดกกลับมาอีกครั้ง
ลูเมี่ยนลุกจากเตียงทันที เดินไปยังกระจกเงาเต็มตัวในห้อง มองเห็นภาพสะท้อนของตนที่ดูคุ้นเคยแต่ก็แปลกประหลาดไปบ้าง
นี่คือตัวเขาเมื่อครั้งยังอยู่ที่หมู่บ้านกอร์ตู ผมยังไม่ได้ย้อมสีทอง
ในแสงยามเช้า เขายิ้มให้ตัวเองในกระจก รู้สึกอารมณ์ดีกว่าในช่วงที่ผ่านมา
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ล้มเหลวในทุกเรื่อง การฆ่าคนและการแก้แค้นยังไม่มีปัญหา
หลังจากกินมื้อเช้าที่ซื้อจากแผงลอยข้างถนน ลูเมี่ยนกำลังวางแผนจะไปเขตหอดูดาวหรือเขตหอรำลึก เพื่อหาร้านทำผมสักร้าน ย้อมผมกลับเป็นสีทองอีกครั้ง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังมาจากด้านล่าง เสียงนั้นดังมาจากตำแหน่งห่างไกลและขยับเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ขณะคิดว่าอีกฝ่ายจะถีบประตูเข้ามา เสียงเคาะประตู ก๊อกๆๆ ก็ดังขึ้นแทน
ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครนอกจากฟรังก้า หญิงสาวที่ไม่ชอบการตื่นเช้าเตรียมพูดบางสิ่ง แต่แล้วก็เห็นผมสีดำสนิทของลูเมี่ยน
“ย้อมผมกลับมาแล้วหรือ” เธอถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็ทำนองนั้น” ลูเมี่ยนมองฟรังก้าที่เดินเข้ามาในห้อง 207 แล้วปิดประตูตามหลังอย่างชำนาญ
ฟรังก้าเลิกสนใจเรื่องทรงผม ไถ่ถามเสียงดุดัน
“ผู้ช่วยเลขาของฮิวจ์·อาร์ทัวส์… ฝีมือคุณสินะ?
“เมื่อคืนคุณรีบร้อนเลื่อนลำดับเป็น ‘นักวางเพลิง’ เลยหรือ?”
ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วกล่าว
“ใช่”
ฟรังก้านึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมรับง่ายดาย จึงอึ้งไปชั่วขณะ
สองสามวินาทีถัดมา หญิงสาวจึงส่งเสียง ‘ฮึ่ย’ หนึ่งคำ
“คุณนี่นะ… ก่อนหน้านี้ยังรับปากฉันว่าจะอดทน แต่วันดีคืนดีกลับหุนหันลงมือ ไม่คิดจะเก็บความแค้นไว้ถึงวันพรุ่งนี้เลยหรือไง”
“ถ้าคุณยังเอาแต่ทำตัวแบบนี้ ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าคุณจะรอดไปจนถึงปีหน้าได้ไหม ไม่สิ เดือนหน้าก็พอ!”
ลูเมี่ยนอธิบายเรียบง่าย
“อันที่จริง เมื่อคืนผมไม่ได้ตั้งใจจะเชือดเจ้าทิบอลต์นั่นหรอก แค่คิดจะไปซุ่มดูมันสักหน่อย เก็บข้อมูลให้มากขึ้น เตรียมความพร้อมไว้เผื่อชวนคุณมาฆ่ามันในอนาคต แต่โอกาสกลับมาถึงแบบไม่คาดฝัน แถมยังเป็นโอกาสที่ดีมาก ผมไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองให้ปล่อยมันไป”
“อา ผมลงมือรัดกุมมาก เตรียมวิธีต่อต้านการทำนายไว้แล้ว รวมถึงการต่อต้านการแกะรอย”
ฟรังก้าระบายลมหายใจออกมาทั้งหมด ถามไปด้วยความสงสัย
“มันอ่อนแอขนาดนั้นเชียว? ดูเหมือนคุณจะเชือดมันได้ไม่ยากเย็น”
“ความสามารถหลักๆ ของมันคือการแพร่เชื้อโรคผ่านการสัมผัส ซึ่งถูก ‘นักวางเพลิง’ แก้ทางพอดิบพอดี ถ้าไม่ติดว่าต้องลงมือโดยเลี่ยงการถูกทำนายหรือสื่อวิญญาณ ผมเชือดมันได้ในสิบวินาทีด้วยซ้ำ” ลูเมี่ยนเล่าย้อนความหลัง
ฟรังก้าทอดถอนใจ
“คุณนี่โชคดีจริงๆ … ไม่คิดบ้างหรือว่าเป้าหมายอาจแข็งแกร่งเกินไป?”
“ผมลองประเมินเบื้องต้นแล้ว ได้ข้อสรุปว่าฝีมือของมันคงไม่เท่าไร ถ้าเกินขีดจำกัดที่ผมรับไหว ก็แค่นำมีดเล่มนั้นออกมาใช้” ลูเมี่ยนเปลี่ยนเรื่องถามว่า “ว่าแต่ ทำไมคุณถึงตื่นเช้านัก?”
“ฉันถูกการ์ดเนอร์ปลุกน่ะสิ!” ฟรังก้ากัดฟันกรอดๆ “เขาให้ฉันระดมพวกคุณที่เป็นหัวหน้าหน่วย เพื่อหาตัวคนสังหารผู้ช่วยเลขาของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ พอฉันได้ฟังรายละเอียด ก็มั่นใจอยู่หลายส่วนว่าต้องเป็นฝีมือคุณ… เมื่อคืนเราเพิ่งคุยกันเรื่องปรับสภาพร่างกายก่อนปรุงโอสถ แต่พอแยกกัน คุณก็ไปดื่มโอสถ ‘นักวางเพลิง’ เสียอย่างนั้น”
ลูเมี่ยนตอบอย่างจริงใจ
“ผมสัมผัสได้ว่าสภาพของตัวเองกำลังดีมากๆ เหมาะแก่การเลื่อนลำดับเป็น ‘นักวางเพลิง’ จึงรีบปรุงโอสถดื่ม”
“บอสคงไม่สงสัยผมหรอกนะ?”
“ตอนนี้ยัง” ฟรังก้าส่ายหัว “นอกจากตัวคุณเอง คงไม่มีใครจินตนาการได้ว่าคุณจะดื่มโอสถเมื่อคืน แถมยังฉลาดพอที่จะโยนความผิดให้ ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ อีก อา… ในสายตาการ์ดเนอร์ คุณไม่มีแรงจูงใจที่จะสังหารหมอนั่น”
“มานี่ ฉันจะช่วยย้อมผมให้กลับเป็นสีเดิม ช่วงนี้พยายามอย่าเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เดี๋ยวจะมีคนสงสัยเอา”
“ตกลง” ลูเมี่ยนดีใจที่ประหยัดเงินไปได้ก้อนหนึ่ง
…………
ในช่วงเช้า ห้องพักคนไข้คึกคักกว่าตอนกลางคืนมาก บางคนถูกหามออกไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ บางคนถูกญาติพาตัวกลับบ้าน บางคนยืนกรานจะออกจากโรงพยาบาลท่ามกลางเสียงร่ำไห้
จินนาและเอโลดีที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ต่างเงียบขรึมเมื่อเห็นฉากดังกล่าว เพราะทั้งสองทราบดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมแบกรับหนี้สินจำนวนมากเพื่อรักษาญาติสนิท และไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการให้ครอบครัวตกลงไปในห้วงลึกเพราะตัวเอง
บางครั้งผู้ป่วยก็ยอมแพ้ แต่ญาติยืนกราน บางครั้งญาติก็ยอมแพ้ ผู้ป่วยไม่มีทางเลือก ต้องยอมรับโชคชะตา บางครั้งทั้งผู้ป่วยและญาติไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพียงเดินออกจากห้องพักพร้อมกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ เมื่อมองหน้ากัน น้ำตาก็กลั้นไว้ไม่อยู่ บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็ตะโกน
เมื่อห้องพักคนไข้สงบลงพอสมควร เอโลดีที่พยายามนั่งพิงเตียง เอ่ยถามเสียงเบา
“ฉันต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานแค่ไหน”
จินนาคิดสักครู่ แล้วตัดสินใจบอกความจริงกับแม่ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ปิดบังไม่ได้นาน เวลาหมอมาตรวจ รักษา หรือส่งตรวจเพิ่มเติม ก็ต้องเผยไต๋บ้างไม่มากก็น้อย แล้วถ้าเอโลดียังอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน ก็คงสามารถประเมินข้อเท็จจริงได้จากอาการของตน รวมถึงการที่ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล
จินนาเรียบเรียงถ้อยคำ
“หมอบอกว่าต้องอยู่ที่นี่หลายเดือน หรืออาจจะถึงครึ่งปี แม้บาดแผลภายนอกไม่รุนแรง แต่ร่างกายของแม่ได้รับความเสียหายหนัก ถ้าไม่รักษาให้หายขาด อาการอาจจะทรุดหนักลง”
โดยไม่รอให้เอโลดีตอบ เธอก็ยิ้มแล้วพูดต่อ
“ฉันหาเงินค่ารักษาพยาบาลมาได้แล้ว ยืมมาจากฟรังก้า เธอมีเงินเยอะ ไม่ขาดเงินแค่นี้หรอก ยอมให้ฉันกับยูเลียนผ่อนใช้คืนได้ในสองถึงสามปี ตอนนั้นเงินชดเชยจากอุบัติเหตุของพ่อก็คงมาถึงแล้ว ส่วนของแม่ก็พอหวังได้เหมือนกัน”
เอโลดีทำหน้าเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เว้นวรรคหลายวินาทีแล้วจึงกล่าว
“ทำไมถึงได้นานขนาดนั้น…”
“มันเป็นการระเบิดครั้งใหญ่ มีแก๊สเคมีด้วย แค่รอดชีวิตมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว” จินนาถามต่อทันที “ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เอโลดีครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ตอบด้วยท่าทีอ่อนเพลีย
“ไม่รู้เหมือนกัน ระเบิดมันเกิดขึ้นกะทันหัน ฉันก็สลบไปตอนนั้นพอดี”
“ต้นเหตุคงมาจากแถวๆ ถังโลหะใบใหญ่ เฮ้อ… อุปกรณ์ของโรงงานหลายอย่างเก่ามากแล้ว มักจะพังนั่นนี่อยู่เรื่อย ต้องซ่อมบำรุง แต่เจ้าของไม่ยอมควักเงินมาเปลี่ยน เฮ้อ…”
หลังจากคุยกันสักพัก จินนาเห็นว่าแม่เริ่มหมดแรง จึงให้เธอพักผ่อนสักหน่อย ส่วนตัวเองเดินไปทางห้องน้ำท้ายทางเดิน
เมื่อเห็นลูกสาวเดินออกจากห้องพัก เอโลดีก็ดิ้นรนลุกจากเตียง ถอดถุงน้ำเกลือออก เกาะผนังเดิน สองก้าวก็หอบหนึ่งที ไปจนถึงห้องพักฝั่งตรงข้าม โดยในนั้นมีหมอและพยาบาลกำลังตรวจคนไข้
เอโลดีเดินไปหาหมอ แจ้งเลขที่ห้องและเตียงของตัวเอง แล้วเอ่ยถาม
“ฉันต้องรักษาตัวอีกกี่เดือนคะ?”
หมอเปิดดูบันทึกแล้วตอบ
“ผลตรวจยังออกมาไม่ครบ ตอนนี้คาดว่าต้องใช้เวลาห้าถึงเจ็ดเดือน”
“แต่ละเดือนค่ารักษาพยาบาลเท่าไรคะ?” เอโลดีถามต่อ
หมอตอบอย่างใคร่ครวญ
“ขึ้นอยู่กับผลตรวจ ถ้าออกมาดี แต่ละสัปดาห์ก็ราวสองถึงสามร้อยเฟลคิน พอถึงช่วงหลัง ก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก แต่ถ้าอาการไม่ค่อยดี ต่อสัปดาห์ก็ต้องใช้สี่ถึงห้าร้อยเฟลคิน หลังจากนั้น ต่อให้คุณออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ก็ยังต้องระวัง พักผ่อนให้ดี ห้ามเหนื่อยเด็ดขาด”
เอโลดีพูดไม่ออกทันที พยาบาลพยุงเธอกลับเข้าห้องพัก แล้วเสียบเข็มเข้าไปใหม่
ใกล้เที่ยงวัน ยูเลียนที่รีบมาดูอาการของแม่ เดินเข้ามาในห้องพัก
หลังจากคุยกับเขาสักสองสามประโยค จินนาก็เสนอตัว
“ฉันจะไปซื้อของกินที่โรงอาหารมาให้นะ”
พูดจบ เธอก็เดินออกจากห้องพักด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ลงบันไดไป
หลังจากที่ลูเมี่ยนสอนมาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเธอก็ตระหนักอย่างแท้จริงว่า ตนคือผู้วิเศษ ไม่เหมือนคนธรรมดาแล้ว ถ้าพร้อมจะแบกรับความเสี่ยงระดับหนึ่ง ก็มีหลายวิธีในการหาเงิน
ดังนั้น ค่ารักษาพยาบาลและหนี้สินจำนวนมากจึงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โต แค่ช่วยชีวิตแม่ไว้ได้ก็น่ายินดีแล้ว สุริยันจงเจริญ!
ในห้องพักผู้ป่วย เอโลดีมองยูเลียนที่นั่งข้างๆ ด้วยแววตาอ่อนโยน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ แล้วถามว่า
“ลูกกำลังจะยี่สิบสามแล้วสินะ”
“ใช่ครับ” ยูเลียนยิ้ม “เป็นคนงานที่พร้อมจะรับผิดชอบครอบครัวแล้ว แต่ในสายตาของแม่ ผมคงเป็นเด็กที่ยังไม่โตอยู่ดี”
เอโลดียิ้มบางๆ
“มาตรฐานการเป็นผู้ใหญ่ของแม่ไม่เหมือนกับคนอื่น แม่รู้สึกมาตลอดว่า ต้องมีฝีมือที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องจึงจะถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ลูกยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปี ส่วนเชเลียอีกปีครึ่ง
“ช่วงปีที่ผ่านมา ต้องลำบากพวกแกไม่น้อยเลย”
“คนที่ลำบากคือแม่ต่างหาก” ยูเลียนพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ก่อนที่ผมจะช่วยเหลือครอบครัวได้ แม่ต้องทำวันละสามงานตลอดหนึ่งปีเต็ม ออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า กลับถึงบ้านตอนเที่ยงคืน”
พูดถึงตรงนี้ เขาระเบิดอารมณ์ออกมา
“พวกเราจะต้องรักษาแม่ให้หายแน่นอน!”
เอโลดียิ้มด้วยความยินดี พลางลูบผมสีเชือกป่านของตัวเอง
“น่าเสียดายจัง วิกของฉันไม่อยู่แล้ว”
“น้องสาวแกก็เหมือนกัน คราวก่อนโกหกเราว่าโรงละครสั่งมา เลยไปย้อมผมเป็นสีน้ำตาลอ่อน แต่ความจริงแล้วเพื่อไม่ให้คนจำได้ตอนไปร้องเพลงที่คาบาเร่ต์… ไม่รู้จะทำยังไงกับเธอแล้วจริงๆ”
“ฉันไม่อยากให้พวกแกแบกรับหนี้สินเพิ่มแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเสียเวลาชีวิตไปอีกหลายปี กว่าหนี้จะหมด พวกแกก็ไม่ใช่คนหนุ่มสาวอีกต่อไป…”
ยูเลียนรีบปลอบใจแม่ บอกว่าตัวเองเรียนรู้ทักษะการเป็นช่างคีมได้ดีมาก ปีหน้าต้องได้ขึ้นเงินเดือนแน่นอน
พูดพล่ามไปสักพัก เอโลดีก็กุมหน้าอก บอกกับยูเลียนว่า
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ช่วยไปตามหมอมาให้หน่อย”
“ครับแม่” ยูเลียนลุกขึ้นทันที วิ่งออกไปข้างนอก
เอโลดีดึงเข็มให้น้ำเกลือออกทันที เกาะเตียงคนไข้อื่น เดินโซเซแต่มุ่งมั่นไปทางหน้าห้องพัก
ณ ชั้นหนึ่งของโรงพยาบาลอารามศักดิ์สิทธิ์
จินนาถือกล่องข้าวไม้ เดินออกจากโรงอาหารของโรงพยาบาล มุ่งหน้าไปทางบันได
ทันใดนั้น หางตาของเธอเห็นเงาคนตกจากที่สูงด้านนอกห้องโถง พร้อมกับมีเสียงตุ้บ
จินนารู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก กังวลในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ รีบหันตัวกลับ วิ่งออกจากห้องโถง มาถึงแถวๆ จุดที่คนกระโดดตึก แทรกฝูงชนที่รายล้อมจุดเกิดเหตุเข้าไป
วินาทีถัดมา เธอเห็นของเหลวสีเลือดไหลนอง เห็นใบหน้าคุ้นเคยที่มีริ้วรอยพอประมาณ
ตุ้บ! กล่องข้าวในมือตกลงบนพื้น ดวงตาของเธอดูเลื่อนลอยและว่างเปล่า สะท้อนสีแดงฉานที่แสบตา
ผู้ตายคือเอโลดี แม่ของเธอ
คนที่กระโดดตึกตายคือเอโลดี แม่ของเธอ
……………………………………………………..