ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 240 ยุยง
ตอนที่ 240 ยุยง
ลูเมี่ยนมองหน้าจินนา ยกมุมปากแล้วพูด
“นี่เป็นเพราะเธอยังไม่ได้ตระหนักถึงการเป็น ‘นักลอบสังหาร’ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งศาสตร์เร้นลับแล้ว ไม่อย่างนั้น ในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนมานี้ เธอต้องแจ้งกับฟรังก้าว่าอยากเข้าชุมนุมศาสตร์เร้นลับ และรวบรวมสิ่งของที่มีประโยชน์ได้บ้าง แม้จะไม่เทียบเท่ายารักษาที่ฉันเพิ่งให้ไป แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการเฝ้าดูอาการของแม่ทรุดหนักโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย”
จินนาไม่ได้ตอบโต้ด้วยคำหยาบเหมือนเคย เพียงเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ‘อา’ หนึ่งคำ
ทำเอาลูเมี่ยนไปต่อไม่เป็น จึงได้แต่ส่งเสียง ‘จิ๊ๆ’ แล้วพูด
“จริงอยู่ เธอไม่ค่อยมีเงิน แถมยังมีหนี้สินกับค่าเรียนการแสดงรุมเร้า ต่อให้เข้าร่วมชุมนุมศาสตร์เร้นลับไป เธอก็คงซื้ออะไรไม่ได้ แต่มันก็เป็นโอกาสในการรับภารกิจใหม่ๆ เพื่อรวบรวมเงินหรือสิ่งของ”
ถึงตรงนี้ ยูเลียนพี่ชายของจินนา ได้พาหมอกับพยาบาลอีกสองคนมาถึง
หมอคนดังกล่าวมองเอโลดีและถามด้วยความกังขา
“ผมจำได้ว่าเธอเกินเยียวยาแล้วนี่…”
“คุณจำผิดแล้ว” ลูเมี่ยนพูดขัดอย่างใจเย็น
หมอคนดังกล่าวช่วยรักษาคนเจ็บมาไม่น้อย งานล้นมือจนความทรงจำอาจสับสน พอได้ยินแบบนั้น จึงรู้สึกว่าตนคงจำผิดไป จึงลงมือทำแผลภายนอกให้เอโลดีเบื้องต้น แล้วสั่งให้เจ้าหน้าที่ยกเธอขึ้นรถม้าเพื่อรอส่งตัวไปโรงพยาบาล
…………
เชื่อมระหว่างเขตนอร์ดกับเขตตลาด คือสะพานใหญ่นามว่าปาร์ซี เป็นหนึ่งในห้าสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำเซอเรนโซ่ในเขตกรุงทรีอาร์
ติดกับสะพานปาร์ซีคือโรงพยาบาลอารามศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนจากศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส ในเมื่อเอโลดีเป็นสาวก ‘สุริยันเจิดจรัส’ เธอจึงถูกส่งมารักษาที่นี่ และถูกจัดให้อยู่ชั้นบนสุดของอาคารสีขาวหกชั้น แออัดกับผู้บาดเจ็บอีกห้าคนในห้องเดียวกัน
มองดูหมอและพยาบาลบ้างก็เจาะเลือด บ้างก็ตรวจร่างกาย บ้างก็แขวนขวดน้ำเกลือ จินนาที่ยืนพิงผนังอยู่ ถอนหายใจแผ่วเบาพลางพึมพำ
“โรงพยาบาลเปลี่ยนไปมากเลยในช่วงไม่กี่ปีหลัง…”
“หือ?” ลูเมี่ยนทำหน้างุนงง
จินนากล่าวด้วยใบหน้าหมองหม่นเล็กน้อย
“เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนที่พ่อของฉันกับคนอื่นๆ ถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล คนที่บาดเจ็บหนักจะได้ผ่าตัดทันที ส่วนคนที่บาดเจ็บไม่มากก็จะให้ยาแล้วรอดูอาการ ไม่มีการเจาะเลือด ถึงตรวจก็แค่ตรวจเบื้องต้น แตกต่างจากตอนนี้มาก ดูเหมือนระเบียบขั้นตอนจะเปลี่ยนไปหมด”
“ถือเป็นเรื่องดี” ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ
ดูเหมือนจะเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ขณะที่ทั้งสองกระซิบกระซาบคุยกัน ยูเลียนพี่ชายของจินนา ก็วุ่นอยู่กับการช่วยเหลือหมอและพยาบาล บ้างก็ตอบคำถามเกี่ยวกับผู้บาดเจ็บ บ้างก็ช่วยยกขาตั้งขวดน้ำเกลือ และบางครั้งก็ถูกสั่งให้ไปที่ห้องยา
จนกระทั่งความวุ่นวายของกลุ่มคนสวมชุดกาวน์สีขาวสงบลง เขาก็ยังไม่กลับมา
หมอที่รับผิดชอบดูแลเอโลดีถือกระดานบันทึก เดินมาหยุดหน้าจินนา มองชุดราตรีสีกุหลาบของเธอด้วยสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เอโลดีเป็นแม่ของคุณใช่ไหมครับ” หมอคนนั้นถาม
“ใช่ค่ะ” จินนาพยักหน้า
หมอผู้ชายไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด
“อาการของแม่คุณดูดีกว่าที่ผมคาดไว้ จากเท่าที่เห็นตอนนี้ ยังไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่นั่นเป็นแค่การประเมินเบื้องต้น ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ต้องรอดูผลการตรวจต่างๆ ก่อนครับ”
“เมื่อครู่คือข่าวดี ส่วนข่าวร้ายก็คือ ร่างกายของแม่คุณได้รับความเสียหายค่อนข้างหนัก อาจต้องนอนโรงพยาบาลนานหลายเดือน หรือแม้กระทั่งครึ่งปีถึงหนึ่งปี และต่อให้หายป่วย ก็คงไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ร่างกายจะอยู่ในสภาพอ่อนแอ”
“ค่าใช้จ่ายในการรักษาเบื้องต้นในช่วงสองวันแรก มูลนิธิการกุศลของศาสนจักรเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายก่อน แล้วจึงค่อยหักลบกับเงินชดเชยจากอุบัติเหตุของโรงงานในภายหลัง แต่ค่ารักษาพยาบาลหลังจากสองวันแรก พวกคุณต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย และขอนำแนะว่าอย่าคาดหวังเงินชดเชยจากอุบัติเหตุมากนัก จากประสบการณ์ของผม โดยเฉลี่ยต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีกว่าจะได้รับ คุณต้องทำความเข้าใจว่า เพื่อปกป้องธุรกิจ กฎหมายของบ้านเราชาวอินทิส มักจะเอนเอียงไปทางพวกเจ้าของโรงงานและนายธนาคาร”
จินนาไม่ลังเล
“ฉันจะให้แม่รักษาตัวจนกว่าจะหายดี”
เธอคิดไว้แล้วว่า หากต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในทีเดียว จะขอยืมจากฟรังก้าหรือลูเมี่ยน แล้วทยอยใช้คืนทีหลัง แต่ถ้าจ่ายค่ารักษาเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์ เธอก็สามารถประหยัดอดออม ลดจำนวนเงินชำระหนี้เก่า แล้วใช้รายได้จากการเป็นนักร้องใต้ดินไปจ่ายแทน
แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด อาชีพนักร้องใต้ดินของเธอคงไม่จบลงแค่หนึ่งปีอย่างที่เคยวาดฝันไว้ อาจต้องทำนานสองปีหรือแม้กระทั่งสามปี
หมอคนดังกล่าวมองหน้าและชุดราตรีของจินนา แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ถ้าอย่างนั้น คุณนำใบนี้ลงไปจ่ายสองร้อยเฟลคินที่ช่องการเงินชั้นหนึ่งนะ”
สองร้อย… จินนาถอนใจเล็กน้อย ลงชื่อจริง ‘เชเลีย·เบลโล’ ในเอกสารแจ้ง รับใบดังกล่าวแล้วเดินลงบันไดไป
ระหว่างทาง หญิงสาวเหลือบมองลูเมี่ยนที่เดินมาเคียงข้าง สองจิตสองใจอยู่สักพักก่อนจะกล่าว
“ถ้าเกิดว่า… ต่อไปต้องจ่ายค่ารักษาเป็นเงินก้อนใหญ่… ฉันคิดว่า… อยากจะขอยืมคุณหน่อย”
จินนาถือเป็นคนที่ค่อนข้างแน่วแน่ในหลักการ ก่อนหน้านี้ตอนที่พยายามหาเงินด้วยการเตร็ดเตร่ไปตามคาบาเร่ต์หลายแห่งในเขตตลาด เธอไม่เคยคิดยืมจากฟรังก้า หรือแม้กระทั่งขอให้อีกฝ่ายช่วยแนะนำงานสบายรายได้ดี แต่ปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ของเอโลดีผู้เป็นแม่ หญิงสาวยอมปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น
ถึงแม้ลูเมี่ยนจะ ‘ฟุ่มเฟือย’ จนเหลือเงินติดตัวแค่เจ็ดร้อยกว่าเฟลคิน ซ้ำยังเบิกเงินล่วงหน้าจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อยมาแล้ว รวมถึงยังต้องเตรียมจ่ายอีก 4,000 เฟลคินเพื่อแลกกับตะกอนพลัง ‘นักวางเพลิง’ แต่เด็กหนุ่มกลับมิได้ทำหน้าลำบากใจ เพียงพูดราวกับเป็นเรื่องง่ายๆ
“ตกลง”
จินนามองเขาด้วยความสงสัย
“นึกว่าจะลังเลสักนิดบ้าง… ได้ยินมาจากฟรังก้าว่า ช่วงนี้คุณมีเรื่องสำคัญที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่”
ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
“นั่นมันเพื่อซื้อวัตถุดิบหลักของ ‘นักวางเพลิง’ สำหรับเลื่อนลำดับ แต่เป็นคนละส่วนกับการยืมเงินของคุณ… ในฐานะผู้วิเศษ ในฐานะหัวหน้าหน่วยของพรรคซาฟาห์ ถึงผมจะไม่มีเงินติดตัวสักโกเปต์เดียว แต่ก็ต้องหาทางให้คุณยืมเงินได้แน่”
“วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ให้เรเนทำสัญญาระยะยาวกับคุณ จ่ายเงินล่วงหน้าหนึ่งหมื่นเฟลคิน แล้วค่อยๆ หักครึ่งหนึ่งจากรายได้ประจำวันของคุณที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย จนกระทั่งคุณใช้หนี้ครบถ้วน สัญญาก็เป็นอันยุติไปเอง”
ลูเมี่ยนเหลือบมองหญิงสาว หัวเราะในคอพลางกล่าว
“ในฐานะ ‘นักลอบสังหาร’ คุณไม่ควรกังวลกับค่ารักษาพยาบาลแค่นี้เลย เงินที่จำเป็นต่อการเลื่อนลำดับในอนาคต ล้วนเป็นหน่วยหมื่นทั้งสิ้น”
“คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ อย่าไปให้ความสำคัญกับกฎหมายมากนัก… ก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ กฎหมายของอินทิสไม่ได้ปกป้องคนจน เราต้องปกป้องตัวเองเท่านั้น”
“ไว้คุณตัดสินใจได้เมื่อไร เราจะไปลักพาตัวเจ้าของโรงงานในคดีพ่อคุณ ปล้นเงินสดจากมันมาใช้ก่อน ถ้าคำตัดสินออกมาเมื่อไร แล้วมันยอมจ่ายค่าชดเชยจากอุบัติเหตุ คุณค่อยนำเงินก้อนนั้นไปบริจาคให้คนที่กำลังลำบาก”
“ถ้าเราลงมืออย่างแนบเนียนสักหน่อย แล้วยังมีฟรังก้าคอยช่วย ‘ต่อต้านการทำนาย’ โอกาสสำเร็จก็จะสูงมาก จนไม่มีใครตามจับมือดมได้ เจ้าของโรงงานพรรค์นั้นคงไม่มีบอดี้การ์ดเป็นผู้วิเศษหรอก”
จินนาถูกโน้มน้าวจนเริ่มคล้อยตาม จึงลังเลอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมา
“ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…”
“แม่ง! คนที่กำลังจะกลายเป็นนักกระตุ้นคือใครกันแน่ คุณหรือฉัน? ทำไมถึงยุยงคนได้เก่งขนาดนี้?”
“การฝ่าฝืนกฎหมายอย่างบ้าดีเดือด สักวันต้องชดใช้กรรมไม่ใช่หรือไง?”
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“ผมพูดยังไม่จบเลย เราจะทำเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ได้บ้าดีเดือดสักหน่อย เพราะไม่เพียงจะนำมาซึ่งอันตราย แต่ยังสุ่มเสี่ยงที่จะคลุ้มคลั่งด้วย ส่วนการลักพาตัวเจ้าของโรงงานคนก่อน เปรียบเสมือนการนำเงินชดเชยที่ครอบครัวคุณควรจะได้รับ กลับคืนมาเท่านั้นเอง”
จินนาเงียบไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงชั้นหนึ่งแล้ว เธอจึงรีบพูด
“ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
เมื่อหญิงสาวออกจากห้องน้ำ ในมือก็มีปึกธนบัตรสองร้อยเฟลคิน
เห็นจินนาจ่ายค่ารักษาพยาบาลงวดแรกเสร็จ ลูเมี่ยนมองชุดราตรีสีกุหลาบแล้วพูด
“สารรูปนี้ของคุณคงเฝ้าไข้คนป่วยไม่ได้ ผมจะกลับคาบาเร่ต์ไปเอาเสื้อผ้าชุดก่อนมาให้เปลี่ยน รวมถึงลางานให้ด้วย”
ก่อนหน้านี้เขาอ่านดวงชะตาของเอโลดีมาแล้ว ยืนยันว่าอาการของเธอไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ยังคงไม่ดีขึ้น และค่อนข้างอลหม่าน อาจต้องรอดูผลการรักษาของโรงพยาบาล
“อื้อ” จินนาเม้มปากพลางพยักหน้า
…………
ชั้นสองของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ลูเมี่ยนเตรียมจะไปหาผู้จัดการเรเน เพื่ออธิบายสถานการณ์ของจินนา ให้เขาเปลี่ยนคิวร้องเพลงของคืนนี้ใหม่ แต่กลับเห็นลูอิสเดินเข้ามาหา
ลูอิสเหลียวซ้ายแลขวาแล้วกระซิบ
“ลูกพี่ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน บอสให้คนเอาถุงอะไรบางอย่างมาให้ แล้วนำไปเก็บในตู้นิรภัยแล้ว บอกว่าเป็นของลูกพี่”
ของที่บอสส่งมา… วัตถุดิบเสริมของโอสถ ‘นักวางเพลิง’ ? สมแล้วที่เป็นผู้วิเศษลำดับกลางของเส้นทาง ‘นักล่า’ … ลูเมี่ยนผงกศีรษะแผ่วเบา เดินผ่านร้านกาแฟไปยังทางเดินชั้นสองด้วยความดีใจ
เมื่อเปิดตู้นิรภัยออก ก็สัมผัสถึงความร้อนเบาๆ ทันที
ในถุงผ้าสีเทาขาวมีขวดแก้วสามใบ: ใบหนึ่งเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน กำลังเดือดปุดๆ และทุกครั้งที่ฟองแตก จะมีประกายไฟแลบออกมาเล็กน้อย อีกใบหนึ่งมีผงสีคล้ายเลือดอยู่ที่ก้นขวด และอีกใบบรรจุหินขนาดเท่านิ้วมือที่เปล่งแสงสีแดง
เลือดซาลามันเดอร์อัคคี, ผงหญ้าเทียนหัวแดง, ไพรอกซีนลาวา… วัตถุดิบเสริมของ ‘นักวางเพลิง’ จริงๆ … ลูเมี่ยนพอใจกับสิ่งของที่หยิบขึ้นมา
…………
ถนนเสื้อนอกขาว บ้านเลขที่ 3 หน้าอพาร์ตเมนต์ 601
ลูเมี่ยนออกจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อยมาหาฟรังก้าโดยไม่มัวรีรอ ตั้งใจจะยืมเงิน 4,000 เฟลคินก่อน อาศัยหลักประกันเป็นส่วนแบ่งของ ‘พิธีเก็บเกี่ยว’
เมื่อเปิดประตูมาเจอลูเมี่ยน ฟรังก้าส่งเสียง ‘จิ๊’ แล้วพูด
“คุณรู้ข่าวหรือยัง? โรงงานทางใต้ของเขตตลาดระเบิด พักนี้เขตตลาดมีแต่เรื่องไม่ดี ยังกับจะมีพายุตามมาแน่ะ”
ได้ยินประโยคดังกล่าว ลูเมี่ยนฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
จึงพูดเสียงเข้ม
“ที่ระเบิดคือโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ และเมื่อเช้านี้ เจ้าของโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ ก็แวะไปที่สำนักงานสส. มาด้วย”
…………………………………………………….