ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 239 ดับไฟ
ตอนที่ 239 ดับไฟ
จินนากะพริบตาพร้อมได้สติ ในสวมชุดกระโปรงยาวสีกุหลาบที่มีโครงค้ำ เธอรีบวิ่งไปทางบันไดแล้วกระโดดลงไป
เห็นภาพดังกล่าว ลูเมี่ยนส่งสัญญาณให้ลูอิสกับซาโกตารักษาความสงบในคาบาเร่ต์ลมเอื่อย แล้วจึงไล่ตามเธอไป
แววตาของจินนาทั้งร้อนรนและหวาดหวั่น สีหน้าแทบจะพังทลาย
หญิงสาวไม่คิดปกปิดตัวตนในฐานะผู้วิเศษเลย เพียงวิ่งด้วยขุมพลังทั้งหมดราวกับจะบิน ผ่านถนนใหญ่ตลาด เลี้ยวเข้าถนนเส้นที่มุ่งหน้าลงใต้
ท้องฟ้ากำลังครึ้ม โคมไฟแก๊สยังไม่ถูกจุด ผู้คนบนถนนต่างตื่นตระหนกจากเหตุระเบิดครั้งใหญ่เมื่อครู่ สถานการณ์จึงค่อนข้างวุ่นวาย ไม่เช่นนั้นคงมีคนสังเกตเห็นว่า สตรีนางหนึ่งวิ่งได้ว่องไวยิ่งนัก
ลูเมี่ยนวิ่งเร็วกว่าเธอ ไม่นานก็ตามทัน จึงตบไหล่หญิงสาวพลางกล่าวเสียงเร่งเร้า
“วิ่งไปทางเงามืด!”
ความคิดทั้งหมดของจินนา มีเพียงการไปให้ถึงโรงงานเคมีโกลด์ไวร์โดยเร็ว เธอยังวิ่งต่อไปสักพักก่อนจะตระหนักถึงความหมายของลูเมี่ยน จึงเริ่มเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย เบนเข้าไปในย่านที่มืดสลัวเพราะโคมไฟแก๊สยังไม่ถูกจุด แล้วกลืนหายเป็นเนื้อเดียวกับสีดำ
‘นักลอบสังหาร’ สามารถ ‘ซ่อนตัวในเงา’
จินนายังคงอารมณ์คุกรุ่น ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี ซ้ำยังกำลังวิ่งเต็มฝีเท้า จึงรักษาประสิทธิภาพของ ‘ซ่อนในเงา’ ได้ไม่ดีนัก บางครั้งร่างก็เผยออกมา บางครั้งก็หลอมรวมกับเงา แต่เมื่อเทียบกับเมื่อครู่ ก็แทบจะไม่ดึงดูดสายตาของผู้คนแล้ว
ลูเมี่ยนสูดกลิ่นน้ำหอมที่หลงเหลืออยู่จากตัวเธอ ก้าวยาวๆ วิ่งอย่างบ้าคลั่งอยู่ริมขอบเงา โดยไม่แยแสสายตาฉงนสนเท่ห์ของผู้คนบนถนนที่มองมาเป็นครั้งคราว
เด็กหนุ่มปลดปล่อยความเร็วของ ‘นักล่า’ ออกมาเต็มพิกัด เร็วจนน่าตกใจ
แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมก่อให้เกิดความสงสัยอยู่บ้าง แต่เขาไม่ยี่หระ
หลังจากที่ผู้วิเศษทั้งสอง ซึ่งมีพลังกายเหนือธรรมดา วิ่งเต็มฝีเท้าได้ไม่ถึงสิบนาที พวกเขาก็มาถึงถนนนักบุญเกอร์ใกล้กำแพงเมืองทรีอาร์
ที่นี่มีแต่โรงงาน ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาดำปนเหลือง บดบังแสงสุดท้ายของยามเย็น
จินนาออกจากเงามืด เห็นถังโลหะขนาดใหญ่กำลังลุกไหม้ เห็นโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ที่มีเปลวไฟพวยพุ่ง และเห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามดับไฟและช่วยเหลือคนอย่างสุดความสามารถ
บางคนใส่หน้ากากแปลกตา มีจะงอยปากนกยาวๆ ปิดคลุมใบหน้าทั้งหมด บางคนใบหน้าติดอยู่กับสิ่งที่คล้าย ‘หมึกยักษ์จักรกล’ และบางคนสวมหมวกกันน็อกสีดำที่ดูเหมือนจะมีหลายชั้น จุดร่วมของพวกเขาคือ ทุกคนแบกสิ่งที่คล้ายเป้ไอน้ำ แต่ก็แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดอยู่บนหลัง สายยางยืดหยุ่นเส้นใหญ่ยื่นออกมาจากตรงนั้น และเชื่อมต่อกับ ‘หน้ากาก’
จินนาไม่คิดอะไรแม้แต่น้อย เตรียมปรี่เข้าไปในโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ที่ยังคงระเบิดปะทุเป็นระยะ
ลูเมี่ยนสูดดมกลิ่นฉุนในอากาศ ซึ่งฉุนจนแทบแยกแยะอะไรไม่ได้ แล้วก็รีบคว้าไหล่ของจินนาไว้แน่น พูดเสียงทุ้มหน้าเข้ม
“คุณรู้หรือว่าแม่อยู่ในโรงงานหลังไหน?”
จินนาชะงักไปครู่หนึ่ง
“ไม่รู้”
“คุณมีอุปกรณ์ป้องกันสารเคมีไหม?” ลูเมี่ยนเปลี่ยนคำถาม
“ไม่มี” จินนาส่ายหน้าอย่างงุนงง
“แล้วคิดจะเข้าไปฆ่าตัวตายหรือไง?” ลูเมี่ยนตำหนิ “แม่คุณอาจถูกช่วยออกมาแล้วก็ได้ เรารีบไปดูที่จุดพักคนเจ็บกันก่อน ถ้าไม่มีค่อยกลับมาหา… หรืออยากขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง?”
จินนารู้สึกสับสนว้าวุ่น ใจหนึ่งอยากจะเข้าไปหาแม่ในโรงงานเคมี แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูเมี่ยนพูดมีเหตุผล
หลังจากถูกเด็กหนุ่มดึงไปเล็กน้อย จินนาก็เดินตามไปสักพัก ราวกับไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ก่อนจะกลับมามีชีวิตชีวา รีบวิ่งไปทางวิหารหวูดไอน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากถนนนักบุญเกอร์
ที่นั่นคือมหาวิหารของศาสนจักร ‘เทพจักรกลไอน้ำ’ ในเขตตลาดคนซื่อ
เมื่อครู่จินนาเห็นว่าผู้บาดเจ็บที่ได้รับการช่วยเหลือ ถูกหามไปทางนั้น
เพียงสักสิบวินาที เธอและลูเมี่ยนก็มาถึงลานด้านนอกของวิหารหวูดไอน้ำ
ตรงนี้มีคนงานของโรงงานเคมีโกลด์ไวร์นอนเกลื่อนกลาด เสียงครวญครางเพราะความเจ็บปวดดังขึ้นเป็นระลอก แต่ก็มีคนจำนวนมากที่หมดสติไปแล้ว และบางคนก็ไม่มีลมหายใจแล้ว
หมอและพยาบาลในเสื้อคลุมสีขาวเดินไปมาระหว่างกลุ่มคน ให้การรักษาเบื้องต้นอย่างเร่งรีบ คนไหนที่ประเมินแล้วว่ายังพอมีหวัง จะถูกส่งขึ้นรถม้าสองชั้นที่จอดอยู่ตรงขอบลาน ซึ่งพิมพ์ลวดลายหรือตราศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันไว้บนตัวรถ แล้วพาไปส่งยังโรงพยาบาลใหญ่ๆ หลายแห่งในเขตนอร์ด
ร่างกายของจินนาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม สายตาของเธอกวาดผ่านศพและผู้บาดเจ็บแต่ละคน กลัวจะได้เห็นภาพที่ตัวเองไม่อยากเผชิญ
ลูเมี่ยนจับแขนหญิงสาว พาเธอวิ่งไปมาในลาน ตามหาเอโลดีที่อาจจะอยู่แถวนี้
โคมไฟแก๊สรอบลานถูกจุดแล้ว มอบแสงสว่างพอประมาณแก่พวกเขา
สักพักใหญ่ ด้วยสายตาที่เฉียบคมของ ‘นักล่า’ ลูเมี่ยนก็พบผู้บาดเจ็บที่น่าจะใช่เอโลดี
จินนาที่ได้รับการบอกกล่าว รีบวิ่งเข้าไปหา คุกเข่าลงและมองหน้าของผู้หมดสติ
วิกสีทองบนศีรษะของผู้บาดเจ็บไหม้ไปกว่าครึ่ง เผยให้เห็นผมจริงสีเชือกป่านที่ไหม้ดำไปบางส่วนเช่นกัน
ดวงตาที่ทาอายแชโดว์ของเธอปิดแน่น ใบหน้ามีรอยเขม่าควัน ตามตัวมีบาดแผลไฟไหม้เป็นผืนใหญ่ ริมฝีปากเป็นสีฟ้าเขียวประหลาด
ไม่ใช่ใครนอกจากเอโลดี แม่ของจินนา และยังเป็นแม่บ้านของโรงแรมระกาทอง
“แม่! แม่!” จินนาหมดเรี่ยวแรงในทันที ทรุดลงข้างๆ ตัวเอโลดี
เมื่อพบว่าแม่ของตนหมดสติ ร่างกายกระตุกเป็นพักๆ หญิงสาวรีบลุกพรวด พลางพูดพึมพำกับตัวเอง
“ต้องพาไปหาหมอ… ต้องรีบพาไปโรงพยาบาล!”
หลังจากยืนยันตัวตนของผู้บาดเจ็บได้แล้ว ลูเมี่ยนก็เพ่งสมาธิอ่านดวงชะตาของเอโลดี จนพบว่าอาการของเธอแย่มาก ต่อให้ส่งตัวไปโรงพยาบาลทันที ก็อาจอยู่ได้ไม่นานนัก
เขารีบคว้าจินนาไว้และพูดเสียงเข้ม
“ช่วยบังสายตาจากทางนั้นหน่อย”
จินนามองเด็กหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ แต่ติดเชื้อความสงบนิ่งของอีกฝ่าย รีบหันตัวทำมุมฉาก เพื่อบังสายตาจากฝั่งซ้ายของเอโลดี
“ฉันมียาเร้นลับอยู่ มาลองผลกันก่อน” ลูเมี่ยนอธิบายเสียงเบา พลางเดินอ้อมไปทางขวาของเอโลดี ใช้หลังของตัวเองบังสายตาจากอีกด้าน
หญิงสาวมองตาไม่กะพริบ ในขณะที่ลูเมี่ยนหยิบขวดโลหะสีเหล็กออกมา เปิดฝาแล้วเทของเหลวข้างในใส่ปากแม่ของตน
สิบกว่าวินาทีผ่านไป เอโลดีเหมือนจะเริ่มมีสติ ขย้อนกลืนยารักษาที่อยู่ในปากลงคอ
เห็นฉากดังกล่าว จินนาผ่อนคลายลงเล็กน้อย เนื่องจากสัมผัสได้ว่าอาการของแม่ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่
หญิงสาวรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก หนึ่งนาทีสำหรับเธอแล้ว ยาวนานราวกับหนึ่งวัน
ในที่สุด หญิงสาวก็เห็นบาดแผลไฟไหม้บนร่างกายของเอโลดี เริ่มหายไปด้วยความเร็วน่าตกใจ สีฟ้าเขียวบนริมฝีปากค่อยๆ จางลง
จินนาเงยศีรษะด้วยความยินดีปรีดา มองหน้าลูเมี่ยนฝั่งตรงข้าม
คำพูดมากมายเอ่อล้นมาถึงริมฝีปาก แต่กลับติดคาอยู่ตรงนั้น ยากที่จะเปล่งเสียงออกมา
ลูเมี่ยนมองหน้าเธอ พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดเสียงค่อย
“ยาชนิดนี้มีสรรพคุณรักษาบาดแผลภายนอกได้ดี และยังช่วยบรรเทาอาการป่วยจากการสูดดมสารเคมีได้ด้วย ทำให้คนที่ใกล้ตายกลายเป็นเพียงบาดเจ็บสาหัส คนบาดเจ็บสาหัสกลายเป็นเพียงบาดเจ็บเล็กน้อย และคนบาดเจ็บเล็กน้อยก็หายเป็นปกติ”
“ทีแรกแม่ของเธอเจ็บหนักมาก แต่ตอนนี้ชีวิตพ้นขีดอันตรายแล้ว เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ต้องใช้เวลารักษาตัวค่อนข้างนาน ไม่อย่างนั้นอาการอาจทรุดลงอีก”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตอนนี้ชีวิตพ้นขีดอันตรายแล้ว’ สายตาของจินนาก็พร่ามัวขึ้นมาทันที
ก่อนหน้านี้เธอพยายามฝืนกลั้นมิให้น้ำตาไหล เพื่อจะได้ไม่กระทบต่อการค้นหาและช่วยเหลือ
หยาดเริ่มน้ำตาเริ่มไหลรินทีละหยด หญิงสาวยกมือขึ้นปาดไปมาอย่างอลหม่าน พร้อมกับพูดอย่างสะอื้นเสียงขาดๆ
“ขอบคุณ… ขอบคุณ…”
คำพูดดังกล่าว มาพร้อมกับเสียงร้องไห้โหยหวนที่ดังมาแต่ไกล
ญาติของผู้เสียชีวิต ซึ่งมีอยู่จำนวนหนึ่ง ทยอยมาถึงแล้ว
ลูเมี่ยนเตรียมจะใช้คำพูดยียวนกวนบาทาเพื่อให้จินนาอารมณ์ดีขึ้นบ้าง แต่จู่ๆ ท้องฟ้าก็ส่งเสียงร้องคำราม
ครืนนนน!
ลูเมี่ยนตกใจจนต้องเงยหน้า แลเห็นว่ามีเมฆดำทึบ ปกคลุมน่านฟ้าเหนือถนนนักบุญเกอร์ ซึ่งยังมีเปลวไฟลุกโชนจากการระเบิดครั้งก่อนอยู่
แสงฟ้าสีขาวเงิน วิ่งผ่านระหว่างชั้นเมฆ ส่งเสียงฟ้าร้องอย่างต่อเนื่องไม่พัก ราวกับต้องการสั่นสะเทือนจิตใจของทุกคน
สายฝนโปรยปรายราวกับสายน้ำ กระหน่ำใส่ถนนนักบุญเกอร์และโรงงานเคมีโกลด์ไวร์
หมอกสีเทาดำปนเหลือง ถูกฝนแหวกผ่านอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถล่มปูพรมลงบนพื้น
เปลวไฟทั้งหมดในละแวก ก็พลันดับวูบกะทันหัน ไม่มีการระเบิดเพิ่มเติมตามมา
ฝนที่โหมกระหน่ำลงมาได้สักพัก หยุดตกในพริบตาเช่นกัน เมฆดำสลายตัวอย่างว่องไว แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องประกายราวกับเพลิงลุกไหม้ที่ขอบฟ้า
ท่ามกลางแสงสีทองอมแดง วัตถุขนาดใหญ่บินมาถึงเหนือถนนนักบุญเกอร์
นั่นคือเรือเหาะที่ทาด้วยสีเทาเข้ม มีบอลลูนทรงรียาวแขวนห้องโดยสาร ส่งเสียงอื้ออึงดังสนั่น
ด้านหลังห้องโดยสารมีใบพัดหมุนอย่างบ้าคลั่ง บนพื้นผิวเปิดช่องยิงปืนและช่องทิ้งระเบิดจำนวนมาก แต่ยามนี้กำลังพ่นของเหลวใสสีเขียวอมฟ้าใส่โรงงานเคมีโกลด์ไวร์ด้านล่าง
กลิ่นฉุนที่ลอยอยู่ในอากาศเริ่มจางหาย
นี่คือวิธีรับมือกับภัยพิบัติตามแบบฉบับของทางการ? เมฆ ฟ้าแลบ และสายฝนเมื่อครู่ ดูยังไงก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ คงเป็นฝีมือผู้วิเศษบางคน หรือไม่ก็สมบัติปิดผนึก? นี่ยังกับฝีมือของเทพ… ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ รู้สึกตกตะลึงไปบ้าง
จินนาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่เช่นกัน แต่เธอไม่ได้เก็บมาคิดอะไร ความสนใจหลักๆ จดจ่ออยู่กับอาการบาดเจ็บของมารดา
แผลไฟไหม้ตามตัวเอโลดี ดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่แล้ว เหลือเพียงรอยไหม้เล็กน้อยบางจุด การหายใจก็กลับมาสงบลง ริมฝีปากยังซีดขาวไร้สีเลือด แต่ก็ไม่ได้มอบความรู้สึกว่ากำลังประสบวิกฤติ
ยาเร้นลับออกฤทธิ์อย่างสมบูรณ์แล้ว อาการเบื้องต้นกลับมาทรงตัว
จินนาหลับตาลงครู่หนึ่ง แล้วก็ปาดน้ำตาไปมาอย่างอลหม่านอีกครั้ง
ทันใดนั้น ใครบางคนตะโกนเสียงดังมาจากตำแหน่งไม่ไกล
“เชเลีย!”
จินนาหันไปมอง โบกมือไปมา
“ยูเลียน ทางนี้!”
ชายหนุ่มสูงราว 1.75 เมตรรีบวิ่งมาหยุดข้างเอโลดี แต่งกายในชุดคนงานสีเทาอมฟ้า ผมสีเชือกป่าน นัยน์ตาสีน้ำเงินเหมือนจินนา ใบหน้าค่อนข้างสมส่วน
เขามองเอโลดี ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“แม่เป็นยังไงบ้าง?”
จินนาเม้มปากแล้วตอบ
“บาดเจ็บ ค่อนข้างหนัก แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต”
ยูเลียนถอนหายใจโล่งอก เหลือบมองจินนาครู่หนึ่ง
“แล้วเธอแต่งตัวแบบนี้ทำไม… เขาเป็นใคร?”
จินนาเพิ่งนึกได้ว่าตนกำลังใส่ชุดราตรีสีกุหลาบ รีบอธิบาย
“ฉันตรงมาจากโรงละครเลย ส่วนเขาเป็นเพื่อน ชื่อชาร์ล เมื่อสักครู่ได้เขาช่วยไว้มากทีเดียว”
“ขอบคุณนะครับ” ยูเลียนขอบคุณลูเมี่ยนอย่างจริงใจ
ลูเมี่ยนพยักหน้าและพูด
“เรียกหมอมาดูหน่อย แล้วก็หารถม้าพาไปโรงพยาบาลโดยด่วน ไม่อย่างนั้นอาการอาจทรุดลง”
“ครับ” ยูเลียนรีบวิ่งไปทางกลุ่มหมอและพยาบาลใกล้ๆ
ลูเมี่ยนหันไปพูดกับจินนา
“ถ้ารอรถม้านานแล้วไม่ได้คิวสักที ก็จ้างเองเลย”
จินนา ‘อื้ม’ หนึ่งเสียง มองมารดาที่ยังนอนหมดสติอยู่ด้วยสายตาอ่อนโยนปนกังวล แล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบา
“โชคดีจริงๆ ที่มีคุณอยู่ด้วย…”
…………………………………………………….