ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 236 แสงยามเช้า
ตอนที่ 236 แสงยามเช้า
ตายแล้ว… แม้ลูเมี่ยนจะเตรียมใจไว้บ้าง แต่ก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี
ย้อนกลับไปตอนที่ออกจากคลินิก รูเอลหายป่วยอย่างชัดเจนแล้ว หลุดพ้นจากเคราะห์กรรมมรณะแล้ว เหตุใดถึงได้ตายอย่างกะทันหัน?
ลูเมี่ยนก้าวเข้าไปในห้อง 307 อย่างเชื่องช้า ก่อนจะหันสายตาไปทางเตียงนอน
รูเอลนอนอยู่บนเตียง ผิวหนังเต็มไปด้วยแผลเน่าเปื่อย มีหนองสีเหลืองอ่อนไหลออกมา ใบหน้าซีดเผือดอมเหลือง ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มีอาเจียนติดตรงมุมปากเล็กน้อย
หลังจากสบกับนัยน์ตาที่ฉายแววตกตะลึง ทุกข์ทรมาน และไม่ยอมจำนนนั่นอยู่สองสามวินาที ลูเมี่ยนก็ถามเสียงเข้ม
“เขาตายตั้งแต่เมื่อไร”
ผมขาวโพลนของมิเชลเหมือนสูญเสียความเงางามไปบ้าง ตอบพลางส่ายศีรษะเชื่องช้า
“ฉันง่วงมาก เลยหลับไป พอตื่นขึ้นมา เขาก็ตายไปแล้ว…”
“ก่อนนอน เขากลับไปที่ห้อง 302 บ้างไหม” ลูเมี่ยนถามต่อ
“ไม่ แค่ไปห้องน้ำใกล้ห้อง 302… ฉันก็ไปด้วย…” เสียงของมิเชลต่ำมาก แต่กลับมอบความรู้สึกล่องลอย ประหนึ่งดวงวิญญาณของเธอหลุดลอยไปบางส่วนแล้ว
ไปห้องน้ำด้วยกัน… คนหนึ่ง ‘โรคประหลาด’ กำเริบ อีกคนไม่เป็นอะไรเลย… ลูเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วตัดสินใจไปดูห้องน้ำนั่น
ถ้าห้องน้ำไม่ใช่ปัญหา โอกาสที่นางมิเชลจะเป็นปัญหา ก็สูงมากทีเดียว!
ลูเมี่ยนออกจากห้อง 307 เดินไปตามทางที่ไม่ค่อยสว่างนัก มุ่งหน้าสู่ห้องน้ำเป้าหมาย ปล่อยให้มิเชลยังคงคุกเข่าอยู่ข้างเตียง สะอึกสะอื้นเสียงเล็กเสียงน้อย ไม่สนใจการกระทำของผู้ใด
เนื่องจากมีแม่บ้านคอยทำความสะอาดประจำ ห้องน้ำชั้นสามจึงไม่โสโครกเหมือนแต่ก่อน อาจมีคราบสกปรกและขยะบ้างหลังจากผ่านการใช้งานทั้งวัน แต่อย่างน้อยผู้มีอารยะก็ยังกล้าเดินเข้าไป
ลูเมี่ยนกวาดตามองรอบตัว อาศัยแสงจันทร์สีแดงเรื่อที่ส่องผ่านหน้าต่าง เห็นโถส้วมและอ่างล้างหน้า เห็นท่อน้ำประปาที่ผิวเริ่มเป็นสนิม เห็นกระจกที่สะท้อนเงาด้านข้างของตน
เด็กหนุ่มสังเกตอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง พบว่ามีผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่ง ทำจากผ้าไหม วางอยู่บนท่อในมุมอับ
เพียงแค่ดูด้วยตาเปล่า ลูเมี่ยนก็มองออกทันทีว่า สิ่งนี้มิได้เป็นของผู้เช่าของโรงแรมระกาทอง เพราะมันทำจากวัสดุชั้นดี ปักลายสง่างาม ราคาต้องไม่เบาแน่
มีคนนอกเข้ามา? ความคิดแรกของลูเมี่ยนคือหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่แล้วก็นึกถึงร่างกายอันเน่าเปื่อยของรูเอล จึงฝืนควบคุมตัวเองไว้
เพียงชั่วความคิดผ่านไป เด็กหนุ่มก็ออกจากห้องน้ำ กลับไปยังห้อง 307 แล้วถามนางมิเชลที่ยังคงสะอื้น
“ผ้าเช็ดหน้าในห้องน้ำน่ะ คุณรู้ไหมว่าเป็นของใคร”
มิเชลทั้งงงงวยทั้งโศกเศร้า ตอบกลับไปตามสัญชาตญาณล้วนๆ
“ของรูเอลค่ะ”
ของมิสเตอร์รูเอล? ลูเมี่ยนทั้งประหลาดใจและเหมือนเป็นไปตามคาด
จึงถามต่อ
“ได้มาจากไหน”
นางมิเชลมองศพรูเอลที่มีสภาพดูไม่ได้ พูดราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
“จากกองขยะที่เก็บมาเมื่อคืน ไม่รู้ว่าเป็นของสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรีท่านใดทิ้งไว้…”
“มันห่อน้ำลายอยู่ ไม่มีความเสียหาย รูเอลจึงนำไปซักให้สะอาด แล้วเก็บไว้กับตัว ตั้งใจว่าจะนำไปขายมือสอง ไม่ใช่ขยะรีไซเคิล…”
“พอได้ยินคุณบอกว่าในกองขยะนั่นอาจมีของสกปรก รูเอลก็รีบนำออกมา ซ่อนไว้ในห้องน้ำ เขาไม่กล้ากลับไปที่ห้อง 302 แล้ว…”
น้ำลาย… ลูเมี่ยนรู้สึกว่าค้นพบต้นตอของปัญหาแล้ว
เด็กหนุ่มถอนหายใจเชื่องช้า
“หลังจากนั้นล่ะ? มิสเตอร์รูเอลมีไปสัมผัสผ้าเช็ดหน้าอีกไหม แล้วคุณล่ะ เคยแตะต้องมันบ้างไหม”
“ฉันไม่ทราบ…” นางมิเชลส่ายหน้าช้าๆ “เขาเข้าไปในห้องน้ำคนเดียว ฉันไม่เคยแตะต้อง…”
ชัดแล้ว… ลูเมี่ยนหยิบถุงมือออกมาสวม แล้วย้อนกลับไปที่ห้องน้ำ ใช้ปรอทเสื่อมทรามงัดผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีขาวขึ้นมา ใส่ลงไปในกระดาษขาวที่พกติดตัว แล้วพับเก็บอย่างดี
ตลอดทั้งกระบวนการ เขาลงมืออย่างระวัง มิได้สัมผัสกับผ้าเช็ดหน้าโดยตรง
จัดการเสร็จ ลูเมี่ยนใช้กระดาษขาวอีกแผ่นเช็ดใบมีดปรอทเสื่อมทราม แล้วโยนกระดาษที่ยับยู่ยี่ใส่ชักโครก รอจนมันอ่อนตัวเพราะแช่น้ำ แล้วจึงกดน้ำลงไป
เด็กหนุ่มเพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำ ก็เห็นนางมิเชลยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้อง 307 ราวกับวิญญาณร่อนเร่ในความมืด
เมื่อเห็นลูเมี่ยนเข้ามาใกล้ สตรีผมขาวโพลนก็ทำหน้าอ้อนวอน
“ใกล้สว่างแล้ว มิสเตอร์ชาร์ล คุณช่วยอุ้มรูเอลกลับห้อง 302 ได้ไหมคะ”
เสียงของเธอยังคงฟังดูล่องลอย
ลูเมี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง เงียบไปห้าหกวินาทีก่อนจะพูด
“ได้”
จากนั้น เด็กหนุ่มเข้าไปในห้อง 307 ใช้ผ้าห่มบนเตียงห่อร่างของรูเอล แล้วแบกไว้บนหลัง
ผ่านไปเพียงไม่กี่ก้าว ลูเมี่ยนก็วางศพลงบนเตียงในห้อง 302
นางมิเชลที่เดินแหวกกองขยะเข้ามา พูดขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะเดินไปทางโต๊ะไม้อย่างเหม่อลอย แล้วดึงผ้าม่านเปิด
ใกล้หกโมงเช้าแล้ว สีแดงเรื่อของรุ่งอรุณสาดทอมาจากขอบฟ้า จนแสงจันทร์สีแดงเข้มจางลงไปหลายส่วน
นางมิเชลได้ยินเสียงพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายของจากอีกฟากหนึ่งของถนน พลางจ้องมองรูเอลด้วยแววตาลึกซึ้ง
ลูเมี่ยนถอยออกจากห้อง 302 กลับไปยังทางเดินที่ยังค่อนข้างมืด ยืนพิงผนัง ไม่ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบนั่น
ผ่านไปสองสามนาที นางมิเชลก็พลันขยับตัว
เธอรื้อค้นธนบัตรและเหรียญเงินจากทุกซอกทุกมุมห้อง แล้ววิ่งออกจากห้องไป ตึงตังลงบันได
ลูเมี่ยนไม่ได้เดินตาม เพียงยกเท้าขวา เหยียบไปด้านหลังบนผนัง ร่างก็พิงกับผนังที่หลับใหลในความมืด
จากวินาทีกลายเป็นนาที นางมิเชลหอบของมากมายกลับมา
นางมิเชลไม่ได้มองลูเมี่ยนแม้สักวินาทีเดียว เดินดุ่มเข้าห้อง 302 หย่อนก้นนั่งลงบนพื้นข้างเตียงนอน วางอาหารเหล่านั้นไว้ข้างศพเน่าเปื่อย
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนใหม่ จุดโคมไฟคาร์ไบด์บนโต๊ะไม้ ทำให้ห้องสว่างไสวขึ้นมาทันใด
นางมิเชลกลับไปนั่งบนพื้นอีกครั้ง หยิบพายเนื้อขึ้นมา ยื่นไปใกล้ปากของรูเอล ยิ้มแล้วพูดว่า
“ช่วงนี้ตาแก่อยากกินพายเนื้อใช่ไหมล่ะ วันนี้ฉันซื้อให้แล้วนะ”
พอริมฝีปากศพเปื้อนคราบมันเงา นางมิเชลก็กัดพายเนื้อคำหนึ่ง หลับตาแล้วพูดต่อ
“อร่อยจังเลย เรากินกันครั้งสุดท้ายตอนไหนนะ สองสัปดาห์ก่อนใช่ไหม”
กัดพายเนื้อไปสองสามคำ นางมิเชลก็คว้าขวดไวน์แดงนั่น ดื่มรวดเดียวหนึ่งอึก
เธอพึมพำอย่างเสียงแผ่วเบา
“ตาแก่ องุ่นของเราออกผลแล้ว ทำเป็นไวน์แดงแล้ว เราไม่ต้องกังวลกับอนาคตอีกต่อไปแล้ว!”
เธอพูดพึมพำกับศพของรูเอล พลางดื่มไวน์จากขวดใหญ่ และกินอาหารต่างๆ
ลูเมี่ยนยืนพิงกำแพงอยู่ในความมืดนอกประตู มองเข้าไปข้างในไม่พูดไม่จา ไม่จากไปไหน แต่ก็ไม่ได้เข้าไป
ในไม่ช้า นางมิเชลเริ่มเมามาย เธอผู้เคยเป็นสาวเสิร์ฟในบาร์ เริ่มร้องเพลงเสียงดัง
“กรุงทรีอาร์ที่ประดับประดาด้วยทองคำ…”
“ผู้คนเต้นรำกันยันฟ้าสว่าง…”
“ไก่ตัวใหญ่… ย่างจนมันเยิ้ม…”
“ชวนให้เคลิบเคลิ้มราวกับปราสาทขนมหวาน…”
“บริกรสวมผ้าผูกคอ… เดินวนเวียนกลางดงแขกเหรื่อ”
“สองเท้าของพวกเขา… ย่างก้าวตามจังหวะไม่มีเบื่อ…”
“คนรักของฉัน… ก็อยู่ท่ามกลางทุกคน…”
“ก็อยู่ท่ามกลางทุกคน…”
“นี่คือมหานครแห่งความสุข… นี่คือกรุงทรีอาร์อันเป็นนิรันดร์!”
เพียงพริบตาเดียว ธนบัตรทั้งหมดก็ลุกไหม้ ร่วงกราวลงบนโต๊ะ แผ่รัศมีสีเหลืองอำพันสว่างจ้า
นางมิเชลกางแขนทั้งสองข้าง ตะโกนเสียงดัง
“นี่คือมหานครแห่งความสุข นี่คือกรุงทรีอาร์อันเป็นนิรันดร์!”
จากนั้น เธอหยิบเชือกมัดกระสอบ ปีนขึ้นโต๊ะไม้ นำเชือกไปผูกกับบานหน้าต่าง ทำเป็นปมตาย
ท่ามกลางแสงไฟ นางมิเชลหมุนตัว หันหน้าเข้าหารูเอลที่นอนบนเตียง นำคอของตนสอดเข้าไปในบ่วงเชือก แล้วงอเข่าทั้งสองข้าง
บ่วงเชือกทิ้งตัวลงอย่างหนัก ดวงตาของนางมิเชลถลนออกมาเล็กน้อย
ด้านนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสว่างขึ้นอีกหน่อย หนึ่งในสามของโถงทางเดินถูกฉาบด้วยแสงสีอ่อน ลูเมี่ยนยังคงยืนพิงกำแพงในเงามืด สองมือสอดใส่กระเป๋า ถีบเท้าขวาไปด้านหลัง มองนางมิเชลที่ห้อยอยู่บนกรอบหน้าต่างอย่างไร้อารมณ์ มองปากของเธอที่ค่อยๆ อ้าออก มองสีหน้าของเธอที่เปลี่ยนเป็นทุกข์ทรมาน มองขาที่งอเข่าของเธอ จนกระทั่งเสียชีวิตและทิ้งตัวลงตามธรรมชาติ
ศพนั้นแกว่งไกวไปมาแผ่วเบาท่ามกลางแสงแดดยามเช้า
…………
เวลา 6:35 น. ถนนเสื้อนอกขาว บ้านเลขที่ 3 ห้อง 601
ฟรังก้าที่ถูกปลุกโดยเสียงเคาะประตู รีบหวีผมสีเชือกป่านที่ยุ่งเหยิงด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ฉันเพิ่งจะนอนไปแค่สามชั่วโมง… แค่สามชั่วโมง!”
“ช่วยดูให้หน่อยว่าของในนี้มีปัญหาอะไรไหม” ลูเมี่ยนเอ่ยราวกับไม่ได้ยินเสียงฟรังก้าโวยวาย พร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ห่อด้วยกระดาษขาวออกมา “ระวังหน่อย มันอาจแพร่เชื้อโรค”
“เชื้อโรค?” ฟรังก้าตื่นตัวทันที ย้อนกลับเข้าไปในห้อง สวมถุงมือยางสีเหลืองอ่อนแบบโปร่งแสง
หญิงสาวแกะกระดาษชั้นนอกอย่างระวังมือ หยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมด้านในออกมา วางลงบนโต๊ะน้ำชาที่ทำจากแก้วเป็นส่วนใหญ่
เคาะฟันเบาๆ สองสามหน หลังจากเพ่งพินิจอยู่สักพัก ฟรังก้าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มีปัญหาจริงๆ … เป็นวิญญาณเล็กๆ แต่คึกคัก หลงเหลืออยู่บนผ้าเช็ดหน้าพอสมควร ทั้งหมดเป็นวิญญาณประเภทเดียวกัน”
“ขอเดาว่าเป็นจุลชีพก่อโรค แพร่กระจายได้โดยการสัมผัสทางผิวหนัง หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนเลือด ตามที่คุณเล่ามา อัตราการแพร่กระจายไม่สูงมาก”
ลูเมี่ยนไม่เข้าใจว่าจุลชีพก่อโรคคืออะไร แต่พอจะเดาสิ่งที่ฟรังก้าอยากสื่อได้
เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง
“หาตัวเจ้าของผ้าเช็ดหน้าได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา มีสื่อกลางที่หนักแน่นขนาดนี้ ขอเพียงไม่มีอำนาจต่อต้านการทำนาย หรือระดับการต่อต้านไม่สูงเกินไปนัก ฉันเจอตัวได้แน่” ขณะที่พูด เปลวไฟสีดำก็ลุกโชนจากถุงมือยางของฟรังก้า
เมื่อ ‘ทำความสะอาด’ เสร็จ เธอก็ถอดถุงมือออก หยิบกระจกแต่งหน้ามาหนึ่งบาน วางฝ่ามือซ้ายลอยเหนือผ้าเช็ดหน้า มือขวาลูบไล้ผิวกระจกแผ่วเบา
เธอพึมพำคาถาอยู่สองสามท่อน ดวงตาก็ลึกล้ำยิ่งขึ้น
ฟรังก้าเริ่มทวนประโยคทำนายซ้ำๆ
“เจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้”
“เจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้…”
หลังจากพูดคำเดิมหลายรอบ กระจกก็เปล่งประกายคล้ายวารี ฉายภาพเงาของใครบางคนในความมืดมัว
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มผอมบาง ใบหน้าซีดเซียว ดูเหมือนไม่ค่อยแข็งแรง
ผมหยิกสีเหลืองเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเหลืองฉายแววเฉยเมยอย่างไม่ปิดบัง สวมทักซีโดสีดำ ถือผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีขาว ไอสองสามที แล้วถ่มเสมหะใส่ผ้าเช็ดหน้า
ลูเมี่ยนพยายามจดจำใบหน้าอีกฝ่าย แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้นตาขึ้นมา เหมือนเคยเห็นจากที่ใดสักแห่ง
หลังจากลองระลึกความจำสักพัก เด็กหนุ่มก็นึกออก
ชายคนนี้คือหนึ่งในทีมหาเสียงของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ ตอนนั้นอีกฝ่ายยืนอยู่ข้างหลังสตรีผมแดงนั่น!
…………………………………………………….