ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 230 ‘แพะรับบาป’
ตอนที่ 230 ‘แพะรับบาป’
แปดโมงเช้า ตำรวจสองนายเดินขึ้นมาที่ชั้นสามของโรงแรมระกาทองอย่างไม่รีบร้อน คนหนึ่งตรวจศพ จดหมายลาตาย และสภาพที่เกิดเหตุ ส่วนอีกคนคอยสอบถามผู้เช่าห้องข้างเคียง
ลูเมี่ยนใช้ ‘แว่นส่องความลับ’ แปลงโฉมแบบง่ายๆ แล้วยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง 310
ตำรวจที่สวมเครื่องแบบและถือปากกากับกระดาษ มองเขาแวบหนึ่ง
“คุณคือชาร์ล·ดูบัวส์ใช่ไหม เล่าเรื่องคร่าวๆ ให้ฟังหน่อย”
ลูเมี่ยนเล่าไปว่า ฟลามงเป็นบ้าตั้งแต่ตนย้ายเข้ามาแล้ว คอยประกาศว่าเจอวิญญาณมงต์ซูรี คนในครอบครัวตายหมด และกำลังจะถึงคิวของเขา เรื่อยไปจนเมื่อคืน ซึ่งอยู่ดีๆ ฟลามงก็กลับมามีสติและดื่มเหล้าอย่างสนุกสนาน
“แผลที่ไหล่ผู้ตายมายังไง” ตำรวจที่กำลังจัดการศพในห้องถามแทรก
“เมื่อคืน ก่อนที่เขาจะได้สติ ผู้ตายมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง ผมเป็นคนพันแผลให้เขา” ลูเมี่ยนตอบอย่างใจเย็น
หลังจากสอบถามผู้เช่าคนอื่นและเจ้าของบาร์ใต้ดิน ตำรวจทั้งสองได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า ผู้ตายมีอาการทางจิตเรื้อรัง มีแรงจูงใจและแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย
ขณะที่สองตำรวจเตรียมบรรจุร่างฟลามงลงในถุงศพ พวกเขาพูดกับลูเมี่ยน
“ทางเราจะนำศพไปไว้ที่สุสานใต้ดิน แต่ขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก ต้องยืนยันสาเหตุการตายที่แท้จริง ให้นักบวชทำพิธีชำระ ตามหาคนที่มีสิทธิ์รับมรดก และสื่อสารกับคนดูแลสุสานใต้ดิน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองสัปดาห์”
ลูเมี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูด
“ผมกับเขาเคยดื่มเหล้าด้วยกันสองสามครั้ง ถ้าพวกคุณจัดงานศพตอนไหน อย่าลืมบอกผมด้วยนะครับ”
หลังจากตอบรับแล้ว ตำรวจทั้งสองก็นำศพของฟลามงและสิ่งของในห้อง ออกจากโรงแรมระกาทองไป
ลูเมี่ยนถอดการแปลงโฉม แล้วกลับไปที่ห้อง 207
เด็กหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ หันหลังให้หน้าต่างที่สะท้อนแสงแดด เผชิญหน้ากับทางเดินมืดสลัว ในใจเกิดอารมณ์ซับซ้อน
การฆ่าตัวตายของฟลามง ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เห็นอีกจุดจบหนึ่งของตน
เขาช่วยเปลี่ยนโชคชะตา ‘พบวิญญาณมงต์ซูรี’ ให้อีกฝ่าย มิใช่เพียงเพื่อเก็บโชคชะตาดังกล่าวโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอื่น แต่ยังเห็นว่าเรื่องราวชีวิตของฟลามง ผู้สูญเสียครอบครัวไปทั้งหมด มีความคล้ายคลึงกับตนอยู่หลายส่วน เพียงแต่คนหนึ่งพังทลายสิ้นเชิง กลายเป็นบ้า ส่วนอีกคนยังพยายามรักษาจิตใจ บอกกับตัวเองว่ายังมีความหวัง และต้องรักษาสติเข้าไว้
แต่ในท้ายที่สุด ฟลามงที่ไม่ถูกวิญญาณมงต์ซูรีรบกวน และเลิกหวาดกลัวจนเป็นบ้า กลับเลือกจบชีวิตตัวเอง
บนทางเดิน เอโลดีที่สวมวิกผมสีทองและทาอายแชโดว์ กำลังเริ่มงานประจำวันกับแม่บ้านหญิงอีกคนหนึ่ง พวกเธอกำลังทำความสะอาดพื้น กำจัดตัวเรือด ไม่หยุดพักแม้แต่ชั่วขณะ
ลูเมี่ยนมองดูทุกเหตุการณ์อย่างเงียบงัน สายตาเหม่อลอยไม่ค่อยจดจ่อ
ผ่านไปเกือบสิบห้านาที เสียงฝีเท้าอันแคล่วคล่องแต่ร้อนใจ ดังมาจากบันไดจนถึงด้านนอกห้อง 207
จินนาปรากฏกายในทัศนวิสัยของลูเมี่ยน วันนี้เธอแต่งตัวเรียบง่ายกว่าปกติ สวมเสื้อเชิ้ตสตรีที่ดูค่อนข้างรัดรูป กับเสื้อสั้นสีน้ำตาลอ่อนและกระโปรงสั้นฟูฟ่องสีขาวครีม เท้าสวมบูตยาวสีดำเหนือเข่า และยังคงแต่งหน้าแบบผู้หญิงใจแตก
เธอมองลูเมี่ยนแวบหนึ่ง เดินเข้ามาในห้อง 207 และปิดประตูไม้โดยไม่หันหลัง
ลูเมี่ยนได้สติ มองไปทางอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน โดยมิได้ถามถึงจุดประสงค์การมาเยือน
จินนาที่ดูอยากรู้อยากเห็นปนตื่นเต้น กดเสียงต่ำลงแล้วถาม
“คุณได้ข่าวมาหรือยัง บอสกับหัวหน้าหน่วยสองคนของแก๊งหนามพิษ ถูกฆ่าเรียบเลย!”
“รู้แล้ว” ลูเมี่ยนพยักหน้า
จินนามองสำรวจสีหน้าของเด็กหนุ่ม แล้วจงใจถามหยั่งเชิง
“ไม่ใช่ฝีมือคุณใช่ไหม?”
“คุณคิดว่าผมสามารถฆ่า ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ ‘หัวล้าน’ ฮาร์มันและ ‘เชิงเทียนขาสั้น’ คาสตินา ได้พร้อมกันในคราวเดียวหรือไง” ลูเมี่ยนย้อนถาม
จินนารู้ถึงความสามารถรวมๆ ของชาร์ลจากฟรังก้าแล้ว และยังรู้ดีว่า ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์มิได้อ่อนแอกว่าฟรังก้า จึงพูดพลางส่ายหน้า
“ไม่น่าจะได้”
เธอลากเสียงยาวแล้วพูดต่อ
“แต่คุณอาจมีผู้ช่วยเหลือก็ได้”
อย่างเช่น ฟรังก้า
“แม้แต่ทางการก็ยังไม่สงสัยผมเลย” ลูเมี่ยนผายมือยักไหล่
อันที่จริง เด็กหนุ่มค่อนข้างสงสัยในประเด็นนี้
ตามปกติแล้ว ในฐานะหนึ่งในไม่กี่คนที่เพิ่งมีเรื่องมีราวกับแก๊งหนามพิษมาหมาดๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์นองเลือด เป็นธรรมดาที่จะถูกเรียกตัวไปสอบปากคำ แต่ลูเมี่ยนรอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ เตรียมพร้อมแต่งหน้าอยู่ตลอด แต่ทางตำรวจก็ไม่แวะมาหาเลย
ขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้ารีบๆ ก็ดังมาจากบันไดอีกครั้ง
ก๊อกๆๆๆ มีคนเคาะประตูห้อง 207
ชาร์ลี? ลูเมี่ยนมองไปที่ประตูแล้วพูด
“เข้ามาเลย ประตูไม่ได้ล็อก”
ผู้มาเยือนคือชาร์ลี โดยสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีอ่อน และสูทสีดำ สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง และผูกหูกระต่ายสีเข้มที่คอ
ชุดนี้ดูสง่างามยิ่งกว่าตอนเป็นเด็กเสิร์ฟที่โรงแรมหงส์ขาว
หลังจากมองชาร์ลีอยู่ครู่หนึ่ง ลูเมี่ยนก็ยิ้มออกมา
“โฮ่… ไอ้คนมีอารยะนี่ใครกัน?”
ชาร์ลีซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเปี่ยมพลังงาน
“ใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ผมเป็นคนอารยะตัวจริงแล้ว กำลังเรียนไวยากรณ์โบราณอยู่ มาดาม มิสเตอร์ โปรดอนุญาตให้ผมทักทายคุณในแบบของคนอารยะ”
ขณะพูด เขาก็ถอดหมวกผ้าไหมกึ่งสูงจากศีรษะ วางทาบลงบนหน้าอก ค้อมตัวเล็กน้อยแล้วคำนับ
จินนาหัวเราะทันที แต่มิได้ประชดประชันชาร์ลี ส่วนลูเมี่ยนพูดพลางส่ายหน้า
“ไม่อ้อมค้อมเลยนะ ตอนนี้นายเหมือนลิงที่ใส่เสื้อผ้าของคนอารยะ และเลียนแบบท่าทางของคนอารยะมากกว่า”
ชาร์ลีไม่รู้สึกเจ็บใจ ยังคงมีความสุขเหมือนเดิม
“ผมเพิ่งเรียนได้แค่วันเดียว อีกหนึ่งเดือนคุณจะได้พบกับผมโฉมใหม่… แฮ่ม… นี่คือมิสเตอร์ชาร์ลี·คอร์แรงต์ เขากำลังดื่มด่ำกับมื้ออาหารค่ำมูลค่าแปดเฟลคิน!”
กล่าวถึงตรงนี้ ชาร์ลีเหลือบมองจินนาที่ยืนอยู่ข้างเตียง อ้าปากเหมือนมีเรื่องอยากพูด แต่ไม่สะดวกพูดต่อหน้าจินนา
ลูเมี่ยนถามอย่างไม่ใส่ใจ
“มีอะไร? พูดมาได้เลย”
ชาร์ลีลดเสียงต่ำลง
“คุณได้ข่าวหรือยัง เมื่อคืนนี้ ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ ‘หัวล้าน’ ฮาร์มัน และ ‘เชิงเทียนขาสั้น’ คาสตินา ถูกฆ่าตายหมดแล้ว”
“รู้แล้ว ยังไงต่อ” ลูเมี่ยนเชื่อว่าชาร์ลีคงไม่มาหาตนเพื่อเรื่องที่ใครๆ ก็รู้แบบนี้
ชาร์ลีมองหน้าจินนา แล้วพูดต่อ
“ตอนนี้ทราบแน่ชัดแล้วว่า ฆาตกรเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก่อการร้ายที่ชื่อ ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ พวกมันชอบสร้างฉากที่มีเลือดเนื้อสาดกระจาย และมักจ้องเล่นงานกลุ่มที่นับถือเทพมาร… ใช่แล้ว พวก ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์นับถือเทพมารที่เรียกว่า ‘องค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่’”
ลูเมี่ยนอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่อง ‘ชุมนุมแสงเหนือ’
แพะรับบาปตัวนี้มาจากไหน?
เหตุใดผู้วิเศษทางการถึงไปสงสัยองค์กร ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ โดยไม่มีสาเหตุ?
ไม่ใช่ว่าต้องตรวจสอบคนที่มีความขัดแย้งกับ ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์และแก๊งหนามพิษก่อนหรือไง? นิยายสืบสวนก็เขียนกันแบบนี้ทั้งนั้น!
“เป็นฝีมือองค์กร ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ นั่นจริงหรือ?” จินนาถามด้วยความสงสัย
ชาร์ลีพยักหน้าหนักแน่น
“ใช่ครับ ดูเหมือนว่า ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ จะอ้างความรับผิดชอบต่อคดีนี้ผ่านวิธีการบางอย่าง พรุ่งนี้คงมีการแจ้งรายละเอียดคดีลงหนังสือพิมพ์บางฉบับ”
ประโยคครึ่งหลังของชาร์ลีหมายความว่า ทั้งหมดที่เขาเพิ่งเล่ามา ล้วนเป็นเนื้อหาที่เปิดเผยได้ ไม่อยู่ในข้อผูกมัดการรักษาความลับ
‘ชุมนุมแสงเหนือ’ อ้างความรับผิดชอบ? พวกเอ็งไม่ได้ทำอะไรเลย จะมารับผิดชอบอะไร? ลูเมี่ยนรู้สึกสงสัยปนขำขันในเวลาเดียวกัน
หากไม่ใช่เพราะตนเป็นคนสังหาร ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์กับมือ เขาคงหลงเชื่อว่า ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ เป็นคนทำจริงๆ
ชาร์ลีมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสริมเสียงเบา
“ตอนบ่ายวันนี้ หลังจากจบการเลือกตั้ง จะมีการกวาดล้างแก๊งอาชญากรรมทั่วเขตตลาด เพื่อคลายความกังวลของสาธารณชนที่มีต่อความปลอดภัยในพื้นที่”
นายอ่านมาจากเอกสารเลยสินะ ถึงได้ใช้ภาษาแบบทางการแบบนี้? ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจภาพรวม ถึงสิ่งที่ชาร์ลีถ่อมาเตือนตน
คนที่มีคดีติดตัว ควรออกจากเขตตลาดในช่วงบ่ายวันนี้ ไปหลบซ่อนชั่วคราวก่อน!
ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ
“บ่ายนี้ฉันต้องไปชุมนุมศาสตร์เร้นลับ”
การชุมนุมที่มิสเตอร์ K เรียกนัด จัดในเวลาสามทุ่มตรง แต่ลูเมี่ยนวางแผนจะไปก่อน
ชาร์ลีถอนหายใจโล่งอก ชี้ไปทางประตู
“งั้นผมขอตัวนะ”
ลูเมี่ยนคิดสักครู่แล้วพูด
“กับแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ คราวหน้าไม่ต้องบากบั่นมาบอกฉันหรอก”
เด็กหนุ่มเยาะเย้ยแถม
“นายคิดจะดูถูกความสามารถของฉันหรือไง”
ชาร์ลียิ้มแหยๆ
“ครั้งแรกน่ะ ก็เลยตื่นเต้นไปหน่อย ไว้คราวหน้า ถ้าไม่ใช่เรื่องที่จี้ตรงมาถึงคุณ ผมจะไม่มาบอกใบ้ก็แล้วกัน”
หลังจากส่งชาร์ลีกลับ จินนาอุทานด้วยความทึ่ง
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะกลายเป็นสายข่าวของทางการให้คุณ”
“ผมก็ไม่อยากให้เขาเป็นหรอก” ลูเมี่ยนย่นจมูก “ไอ้ทึ่มนั่น มีแต่จะทำให้เรื่องเสีย”
จินนาหัวเราะหึๆ พลางโบกมือ
“ฉันไปหาฟรังก้าก่อนนะ… แล้วคุณจะบอกข้อมูลที่ชาร์ลีเปิดเผย ให้คนอื่นรู้ด้วยไหม?”
ลูเมี่ยนส่ายหน้า
“ถ้าทุกคนหนีหมด ผู้วิเศษทางการก็ต้องตรวจสอบว่าใครปล่อยข่าว ไอ้ทึ่มนั่นไม่รอดแน่”
“แล้วอีกอย่าง มีบางคนที่สมควรติดคุกจริงๆ นั่นแหละ”
ก็นายไง… จินนารำพันในใจ แล้วเดินออกจากห้อง 207 เข้าสู่ทางเดิน
ขณะนี้ แม่บ้านสองคนทำความสะอาดมาถึงบริเวณหัวบันได
จินนาก้าวเท้าไปอย่างสดใส สายตากวาดผ่านแม่บ้านผมทองปลอมชื่อเอโลดี
สีหน้าของเธอชะงักค้างทันที พลันหมุนตัวกลับ เดินเข้าห้อง 207 อีกครั้ง ทำเอาลูเมี่ยนที่เตรียมจะออกจากห้องรู้สึกงุนงง
เอโลดีวัยใกล้ห้าสิบ ผู้สวมวิกผมสีทองและทาอายแชโดว์ สังเกตเห็นจินนาเช่นกัน จึงมองแผ่นหลังของนักแสดงฝึกหัดผู้นี้สองสามวินาที แล้วร้องเรียกด้วยความกังวลปนสงสัย
“เชเลีย…”
ร่างของจินนาชะงักไปทันที
เธอหันกลับมาอย่างเชื่องช้า ฝืนยิ้ม ร้องตอบกลับไปหาเอโลดี
“คุณแม่”
คุณแม่? ลูเมี่ยนแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
แต่ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า เมื่อก่อนเอโลดีเคยเป็นนักแสดง ตอนนี้ชอบดูการแสดงที่กรงพิราบเก่า เธอมีสามี แต่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนจากอุบัติเหตุในโรงงาน ทิ้งลูกไว้สองคน ที่ตอนนี้กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ สามารถช่วยหาเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว
ส่วนจินนาเป็นนักแสดงฝึกหัดที่กรงพิราบเก่า พ่อเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ญาติที่เหลืออยู่มีแม่และพี่ชาย เธอตั้งใจหาเงินค่าเล่าเรียนปีหน้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยตัวเอง
ก็ลงล็อกกันพอดี… ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
เอโลดีถือไม้กวาด เดินมาหยุดตรงหน้าจินนา จ้องมองเธอจากหัวจรดเท้า
“ลูกมาทำอะไรที่นี่? แล้วทำไมถึงแต่งหน้าแบบนี้?”
…………………………………………………….