ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 223 เลือกสรร
ตอนที่ 223 เลือกสรร
บนเนินเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขตตลาดคนซื่อ มีเหมืองหินที่ยังดำเนินการอยู่
เมื่อลูเมี่ยนออกจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ก็เริ่มตามหาคนเร่ร่อน ‘ที่เหมาะสม’ ไปทั่ว จนในที่สุดก็มาถึงตรงนี้
ยามค่ำใกล้เข้ามาแล้ว คนจุดโคมไฟคอยมอบแสงแก่โคมไฟแก๊สที่กระจายอยู่ทั่วถนน ในทางกลับกัน เหมืองหินที่สิ้นสุดวันอันแสนวุ่นวายแล้ว กลับตกอยู่ในความมืดมิด มองไม่เห็นแม้แต่หนึ่งแสง
ในส่วนพื้นที่ของเหมืองหิน มีเตาปูนปลาสเตอร์อยู่สองสามเตา ล้อมรอบพวกมัน มีคนเร่ร่อนจำนวนไม่น้อยนอนกระจัดกระจายอยู่
ลูเมี่ยนรวบรวมสมาธิ เพ่งความสนใจ อ่านดวงชะตาเรียงคน
ในที่สุด เด็กหนุ่มก็พบเป้าหมายที่ตรงตามความต้องการ
อีกฝ่ายคือคนเร่ร่อนเพศชาย พิงหลังกับเตาปูนปลาสเตอร์ เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว และเสื้อนอกตัวสั้นขาดวิ่น เปรอะเปื้อนดินจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม แก้มตอบ ผอมแห้งจนแทบไร้ทรวดทรง ผมและหนวดเคราก็ยุ่งเหยิงรุงรัง เกือบจะเชื่อมติดกันเป็นผืนเดียว
คนเร่ร่อนหลับตาลงครึ่งหนึ่ง หายใจเบาบาง ให้ความรู้สึกว่าอาจตายได้ทุกเมื่อ
และตามดวงชะตาที่ลูเมี่ยนอ่านเห็น คนเร่ร่อนผู้นี้ก็ใกล้ถึงบทสรุปของชีวิตแล้ว คาดว่าจะจากไปในอีกสองสามวันนี้
ลูเมี่ยนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย คุกเข่าลง หยิบขวดแก๊สที่ได้มาจากวิตถารเฮิดซ์ ซึ่งฟรังก้าตั้งชื่อมันว่า ‘เกลือดมศาสตร์เร้นลับ’ เปิดฝา แล้วยื่นเข้าใกล้จมูกเป้าหมาย
เขาและฟรังก้าได้แบ่งสัน ‘มรดก’ ของลุนทาสเรียบร้อยแล้ว ยาและเหรียญมูลค่า 212 เฟลคินเป็นของเขา ส่วนที่เหลือเป็นของฟรังก้า
ฮัดชิ้ว!
คนเร่ร่อนคนนั้นจามสองที ลืมตาขึ้นมา
เขามองลูเมี่ยนที่สวมชุดคนงานสีน้ำเงิน หมวกแฟลตแก๊ปสีเข้ม ด้วยสายตาอ่อนแรง ถามอย่างสงสัยว่า
“ค…คุณเป็นใคร ค…คุณคิดจะทำอะไร”
ลูเมี่ยนตอบอย่างใจเย็น
“ผมเป็นคนงานที่ผ่านมา คิดว่าคุณใกล้ตายแล้ว เลยมาตรวจสอบดูหน่อย”
คนเร่ร่อนไม่พบปัญหาในคำอธิบายของลูเมี่ยน เพราะในสาธารณรัฐอินทิส เมื่อพบศพที่ล้มตายข้างนอก ไม่ว่าจะรายงานกับหน่วยงานรัฐบาลหรือโบสถ์ใหญ่ทั้งสอง ก็จะได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาทำความสะอาดหรือนำศพไปเผาเป็นเถ้ากระดูกได้ทันท่วงที
เงินรางวัลไม่มากนัก ก็แค่ราวหนึ่งเฟลคิน แต่สำหรับชนชั้นล่างแล้ว รายได้พิเศษต่อให้น้อยเพียงใดก็เป็นเรื่องน่ายินดีเสมอ
หนวดเคราบนใบหน้าคนเร่ร่อนสั่นเทา ราวกับพยายามบีบรอยยิ้ม
“ที่คุณเดาก็ไม่ผิดหรอก ผมรู้สึกว่าตัวเองใกล้ตายแล้ว สองวันนี้คุณแวะมาดูบ่อยๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะโดนแย่งเงินรางวัลไป”
บางที อาจเป็นเพราะถูกเกลือดมศาสตร์เร้นลับกระตุ้น หรือไม่ก็เป็นเพราะหัวข้อเรื่องความตายทำให้คนเร่ร่อนตื่นเต้นชั่วขณะ การพูดของเขาจึงไม่ตะกุกตะกักอีกต่อไป ความมีเหตุมีผลก็ชัดเจนขึ้น
“คุณยังมีครอบครัวอยู่ไหม” ลูเมี่ยนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคนเร่ร่อน เก็บเกลือดมศาสตร์เร้นลับ ถามอย่างเป็นกันเอง
คนเร่ร่อนเงียบไปสองสามวินาที แล้วค่อยๆ ส่ายหัว
“ไม่มีแล้ว… ไม่มีแล้ว”
“ถ้าคุณชอบเสื้อผ้าของผม พอผมตายไป ก็เอาไปได้เลย”
“ครอบครัวคุณเสียชีวิตกันหมดแล้วหรือ” ลูเมี่ยนยังคงถามในประเด็นเดิม
หนวดเคราบนใบหน้าของคนเร่ร่อนสั่นไหวตามการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ น้ำเสียงแสดงถึงความทุกข์ทรมานที่ซ่อนไว้ไม่อยู่
“ตายแล้ว… พวกเขาตายกันหมดแล้ว พ่อแม่ของผมก็ไม่มีใครอายุถึงสี่สิบห้าปี พี่น้องก็ตายในสงครามเมื่อไม่กี่ปีก่อน พี่สาวตายเพราะโรค ลูกๆ ของเธอก็กลายเป็นแรงงานเด็ก หลังค่อมตั้งแต่สิบขวบ เหนื่อยตายในโรงงานทอผ้า…”
คนเร่ร่อนเหมือนไม่ได้ตอบคำถามของลูเมี่ยน แต่เหมือนกำลังรำลึกถึงอดีตก่อนตาย ยังคงพูดพึมพำต่อไป
“แต่ก่อนผมเป็นคนงานเหมืองหิน พวกเขาชมกันว่าผมแข็งแรงมาก ต่อมา มีคุณนายคนหนึ่งเห็นว่าผมขยันและอดทน จึงสอนให้ผมรู้วิธีวางแท่งระเบิด วิธีระเบิดพลอยฟ้า ค่าจ้างของผมก็เพิ่มขึ้น ชีวิตของผมเริ่มดีขึ้น ผมมีภรรยาที่อดทนเหมือนกัน มีลูกน่ารักสามคน แต่สุดท้ายก็เหลือรอดมาแค่คนเดียว นั่นคือนางฟ้าตัวน้อย… ลูกสาวของผม…”
“ปีที่ทุกคนประท้วงเรื่องราคาอาหาร สุขภาพของผมก็ทรุดหนักกะทันหัน ป่วยหนักครั้งหนึ่ง”
“ภรรยากับลูกสาวต้องเสียเงินเสียทองไปมาก กู้หนี้ยืมสินมาก้อนใหญ่ ในที่สุดก็รักษาผมจนหาย แต่ผมต้องเสียงาน ครอบครัวเราถูกพวกปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงคุกคามทุกวัน นางฟ้าตัวน้อยถูกพวกมันฉุดกระชากไป ผมกับภรรยาแทบบ้าคลั่ง ตามหาเธอไปทั่ว หลายสัปดาห์ผ่านไป พวกเราเห็นศพของเธอ ได้ยินว่าเธอทนการทรมานจากพวกผู้ชายไม่ไหว จึงจบชีวิตตัวเองลง”
“ภรรยาของผมอยากไปแจ้งตำรวจ แต่ถูกพวกมันตีจนตายเสียก่อน ไม่รู้โยนศพทิ้งไว้ไหน ผมเองก็ถูกตีจนหมดสติ แต่กลับไม่ตาย มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้…”
ลูเมี่ยนฟังจนจบด้วยความสงบ แล้วถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“คุณมีความปรารถนาอะไรไหม”
คนเร่ร่อนหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’
“ความปรารถนา?”
“ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของผมคือ ตอนที่ป่วยหนักครั้งนั้น ผมน่าจะตายไปในสองสามวัน”
ลูเมี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถาม
“คุณไม่อยากแก้แค้นหรือ”
คนเร่ร่อนพูดด้วยสายตาเลื่อนลอย
“พวกปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูง โดนแก๊งอื่นฆ่าตายไปแล้ว ตอนนี้ก็เป็นอีกพวกที่กำลังปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง”
ในที่สุดเขาก็นึกถึงคำถามของลูเมี่ยน ตอบด้วยเสียงลอย
“ถ้าผมจะตายในอีกสักครู่ ผมอยาก… ผมอยากกินพายเนื้ออีกสักชิ้น ยังจำได้ว่าในปีเหล่านั้น ทุกสุดสัปดาห์ ภรรยาของผมจะซื้อเนื้อเอง ใส่เมล็ดลินินกับน้ำส้มสายชู ทำเป็นเนื้อสับ อัดใส่แผ่นแป้ง ลูกสาวของเราชอบกินมาก ผมเองก็ชอบมากเหมือนกัน…”
ลูเมี่ยนพยักหน้า ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปทางถนนด้านล่างของเนินเขา
ผ่านไปราวสี่สิบห้านาที เด็กหนุ่มกลับมายังข้างเตาปูนปลาสเตอร์พร้อมกับพายเนื้อรูอ็องที่มีกลิ่นหอมฉุย
คนเร่ร่อนดูเหมือนจะหมดสติไปอีกครั้ง ลูเมี่ยนต้องใช้เกลือดมศาสตร์เร้นลับปลุกขึ้นมาใหม่
คนเร่ร่อนจามสองสามที จ้องมองพายเนื้อรูอ็อง รับมาแล้วกัดกินอย่างรวดเร็ว แม้แต่หนวดเคราก็เลอะน้ำมันเป็นชั้นๆ
กินไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็เริ่มหอบ ถามด้วยรอยยิ้มว่า
“พ่อหนุ่ม บอกมาเถอะ คุณต้องการอะไรกันแน่”
“อีกสักครู่ ผมจะแทงคุณหนึ่งครั้ง มันอาจทำให้คุณตายในคืนนี้เลย” ลูเมี่ยนตอบเสียงเรียบ
คนเร่ร่อนหัวเราะหนึ่งที ถามเสียงอ่อนแรง
“คุณไม่กลัวตำรวจหรือไง?”
“ผมน่ะไม่กลัวตายหรอก เพราะควรตายไปตั้งนานแล้ว… รู้อะไรไหม ทุกฤดูหนาว ผมจะนอนในเตาปูนปลาสเตอร์นี่ เตาที่ทำงานมาทั้งวันจะมีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ และจะคงอยู่ไปจนพระอาทิตย์ใกล้ขึ้น แต่แก๊สที่หลงเหลืออยู่ในเตาล้วนเป็นพิษ สามารถทำให้ผมตายในความฝันอันแสนหวาน แต่ผมก็ไม่เคยได้ตาย”
ลูเมี่ยนยิ้มเล็กน้อย
“ตามความคิดของผม พวกตำรวจคงไม่สนใจหรอก ว่าคนเร่ร่อนตายไปได้อย่างไร ตราบใดที่ไม่มีร่องรอยชัดเจนว่าถูกฆาตกรรม”
คนเร่ร่อนไม่พูดต่อ กินพายเนื้อรูอ็องที่เหลือจนหมด แล้วก็เรอออกมาเพราะอิ่ม
ผ่านไปสิบกว่าวินาที เขาปรับท่านั่งแล้วพูด
“เริ่มเลย”
ลูเมี่ยนชักปรอทเสื่อมทรามที่มีลวดลายประหลาดหลายชั้น แล้วใช้มันแทงใส่หลังมือของคนเร่ร่อนเบาๆ
เลือดสดไหลปริ่มออกมา ย้อมปลายมีดให้แดงฉาน
ขณะเดียวกัน ลูเมี่ยนพลันเห็นแม่น้ำมายาเส้นยาวสีปรอทอีกครั้ง
จุดประสงค์ที่เด็กหนุ่มมาหาคนเร่ร่อนใกล้ตาย ก็เพื่อแลกชะตากรรมที่ใช้ได้จริงมากกว่าเดิม!
นี่มิได้สื่อว่าชะตา ‘พบวิญญาณมงต์ซูรี’ ไม่ทรงพลัง ตรงกันข้าม มันสามารถสร้างผลตายแน่นอน ซ้ำยังตายยกครัว และแสดงผลต่อเนื่องยาวนาน แต่ปัญหาคือ มันต้องใช้เวลาพอสมควรในการออกฤทธิ์ — การแลกชะตากรรมคงเสร็จสิ้นภายในไม่กี่นาที แต่วิญญาณมงต์ซูรีจะไปหาเป้าหมายตอนไหนเป็นเรื่องสุ่ม บางที สิบกว่าถึงยี่สิบนาทีหลังจากนั้น มันอาจเริ่มโจมตี หรือไม่ก็ต้องรออีกสามสี่เดือน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชะตา ‘พบวิญญาณมงต์ซูรี’ ไม่เหมาะกับการโจมตีฉับพลัน ไม่เหมาะกับการต่อสู้ซึ่งหน้า
อีกทั้ง ด้วยประสบการณ์และบทเรียนจากความตายของมาร์โกต์ คราวนี้เป้าหมายการล่าของลูเมี่ยนอย่าง ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ จะต้องระวังภัยร้ายที่คล้ายคลึงกันแน่ เมื่อเขาโดนปรอทเสื่อมทรามแทงแล้วไม่ตายในทันที ก็ย่อมต้องขอความช่วยเหลือจาก ‘คุณนายจันทรา’ ลูเมี่ยนไม่แน่ใจว่าสุภาพสตรีผู้มีบารมีเทพของจริง จะป้องกันภัยจากวิญญาณมงต์ซูรีได้หรือไม่ หากทำได้ ภารกิจของเด็กหนุ่มก็จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว เขาจึงอยากแลกชะตา ‘พบวิญญาณมงต์ซูรี’ ออกไปก่อน แล้วเลือกชะตาที่สามารถใช้ในการโจมตีฉับพลันและการลอบสังหารได้ดีกว่า เพื่อให้ ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ตายคาที่ ไม่มีโอกาสกลับไปขอความช่วยเหลือ
ท่ามกลางความคิดที่วาบผ่านดุจดั่งสายฟ้า ลูเมี่ยน ‘เห็น’ ภาพแล้วภาพเล่าฉายขึ้นมา
ภาพคนเร่ร่อนที่นอนอยู่ในเตาปูนปลาสเตอร์ ภาพคนเร่ร่อนที่ถูกตีจนสลบ ภาพคนเร่ร่อนที่หมดสติไปครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ภาพคนเร่ร่อนที่คุกเข่าอยู่หน้าศพของลูกสาว ในสภาพจิตใจแตกสลายโดยสิ้นเชิง ภาพคนเร่ร่อนที่แบ่งปันพายเนื้อทำเองกับภรรยาและลูกสาว ภาพคนเร่ร่อนที่วัดมุมอย่างจริงจัง ตรวจสอบซ้ำหลายหน จนในที่สุดก็วางระเบิด…
ลูเมี่ยนไม่คิดจะเลือกชะตาที่คนเร่ร่อน ‘ต้องตายภายในสองสามวัน’ นั่นหนักหนาเกินไป มิใช่สิ่งที่ปรอทเสื่อมทรามจะปอกให้หลุดออกมาได้ กระทั่ง ‘ศาสตร์การเปลี่ยนชะตา’ ก็เปลี่ยนชะตาแบบนี้ไม่ได้
วิธีเดียวที่ลูเมี่ยนนึกออกคือ ใช้ ‘ศาสตร์การสลับตัว’ ให้นักโทษประหารสวมรอยเป็นคนเร่ร่อน ใช้ชีวิตในฐานะเขาสักระยะหนึ่ง จนได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง แล้วจึงทำพิธีให้สมบูรณ์ ใช้ความตายของนักโทษประหารแทนความตายของคนเร่ร่อน แต่นี่ต้องใช้เวลาสองสามสัปดาห์หรือนานกว่าเพื่อเตรียมการ ซึ่งไม่มีทางทัน
ด้วยประสบการณ์ที่พอจะมี ลูเมี่ยนจึงเลือกช่วงชะตาที่คนเร่ร่อนเพิ่งหมดสติไปเพราะร่างกายทรุด
มันถูกแยกออกจากแม่น้ำสีปรอท กลายเป็นหยดเหลวเล็กๆ ซึมเข้าไปในใบมีด
ในทางกลับกัน ชะตา ‘พบวิญญาณมงต์ซูรี’ ก็ถูกโอนไปให้คนเร่ร่อน
ลูเมี่ยนเก็บมีดสั้นสีเงินดำกลับเข้าฝัก มันยังสะอาดเอี่ยม ไม่มีคราบเลือดแม้สักหยด ส่วนบาดแผลบนหลังมือของคนเร่ร่อนก็ตื้นมาก ใช้เวลาไม่นานก็คงตกสะเก็ด
“แค่นี้เองหรือ” คนเร่ร่อนถามอย่างสงสัย
เขาเตรียมใจจะตายคาที่ด้วยซ้ำ
“ใช่” ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ออกจากเนินเขานี้ไป
กลางดึกสงัด คนเร่ร่อนที่มุดเข้าไปในเตาปูนปลาสเตอร์ ชักกระตุกสองสามหน แล้วก็ขาดใจตาย
…………
ตรงข้ามกับบ้านเลขที่ 126 ถนนใหญ่ตลาด
ลูเมี่ยนที่ย้อนกลับมา พิงหลังกับมุมมืดที่ปราศจากโคมไฟแก๊ส มองไปยังอาคารเป้าหมาย
ข้างกายเขา ฟรังก้าในชุดคลุมสีดำสวมฮู้ด เดินออกมาจากความมืด
“เป็นยังไงบ้าง” ลูเมี่ยนเอียงหัวถามโดยไม่แปลกใจเลยสักนิด
…………………………………………………….