ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 218 รับปาก
ตอนที่ 218 รับปาก
หลังจากชาร์ลีและผู้วิเศษทางการทั้งสองคนออกจากถนนอลเวงไป ลูเมี่ยนจึงนั่งริมโต๊ะไม้อีกครั้ง พลางกล่าวเยาะเย้ยตัวเอง
“ลืมไปได้ยังไงกันนะ… อย่ามองสิ่งที่ไม่ควรมอง!”
ต่อให้เป็นดวงชะตาก็เช่นกัน!
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าการอ่านดวงชะตาเป็นพฤติกรรมที่ลอบเร้น ไม่น่าจะมีใครจับได้ ไม่ว่าจะเป็นฟรังก้าลำดับ 7 หรือ ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ที่เทียบเท่าลำดับ 7 ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ แต่กลับกลายเป็นว่า ผู้วิเศษทางการเมื่อครู่มีปฏิกิริยาชัดเจน
“เพราะลำดับของเขาสูงกว่าเรามาก? หรือทางนั้นมีพลังวิเศษบางชนิด? หรือไม่ก็มีสมบัติวิเศษในขอบเขต?” ลูเมี่ยนยากที่จะตัดสินใจได้ในทันที
เด็กหนุ่มยังไม่เคยอ่านดวงของผู้วิเศษที่มีลำดับสูงกว่า 7 จึงขาดการเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับบอสการ์ดเนอร์·มาร์ติน หรือมิสเตอร์ K เขาก็ระวังตัวแจ มิได้อ่านดวงชะตาของอีกฝ่ายต่อหน้า
หลังจากจดจำบทเรียนเมื่อครู่ได้แล้ว ลูเมี่ยนผู้ไม่จำเป็นต้องนอนชดเชย เปิดอ่านสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ที่ตนจดลอกเอาไว้
แสงอาทิตย์ยิ่งเจิดจ้า บานหน้าต่างเต็มไปด้วยความสดใส กระทั่งถนนอลเวงที่เอะอะมะเทิ่ง ก็ยังดูคล้ายภาพวาดสีน้ำมันทองอร่ามได้
เมื่อเทียบกับกรุงเบ็คลันด์ เมืองหลวงของราชอาณาจักรโลเอ็น กรุงทรีอาร์ได้ชื่อว่าอุดมไปด้วยแสงแดด ถึงจะมีมลพิษบ้าง แต่เนื่องจากโครงสร้างทางอุตสาหกรรมค่อนข้างดี จึงไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งเมือง ส่วนใหญ่จะเกิดกับทางตอนใต้ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่มาก
ตุกๆๆ!
มีคนมาเคาะประตูห้อง 207 อีกครั้ง แต่หนนี้ลูเมี่ยนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขวา เก็บกระดาษบนโต๊ะ แล้วหันไปมองทางประตู
“เข้ามาได้เลย ประตูไม่ได้ล็อก มาดามบูตแดง”
แอ๊ด— ประตูห้องเปิดออก ฟรังก้าในเสื้อเชิ้ตสตรี กางเกงขายาวสีครีม และรองเท้าบูตสีแดง เดินเข้ามา
เธอถามเจือความประหลาดใจ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน?”
ถามเหมือนจินนาเป๊ะเลย… ควรบอกดีไหมว่า ‘นักลอบสังหาร’ ที่เธอฝึกมาก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน? ลูเมี่ยนตอบขำขัน
“เพราะผมมีสมอง”
“พูดยังกับฉันไม่มี” ฟรังก้านั่งลงข้างเตียงลูเมี่ยน ไม่รู้สึกถูกยั่วโมโหแม้แต่น้อย
ลูเมี่ยนหัวเราะ หึๆ
“นึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะเข้าใกล้ห้องของผมได้โดยที่ไม่รู้ตัว แต่ดันเคาะประตูอย่างสุภาพ”
แน่นอน ขั้นแรกต้องตัดมาดามเมจิกเชี่ยนออกไป เธอไม่ได้ขยันขนาดนั้น แค่ตอบจดหมายทันก็ถือว่าดีแล้ว!
ลูเมี่ยนคิดครู่หนึ่ง แล้วเสริมอีกประโยค
“เรื่องทางจินนา เสร็จเรียบร้อยแล้วสินะ?”
ฟรังก้าส่งเสียง ‘หึ’
“เจ้าเด็กแสบ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ยังกับเทพ”
เธอวางท่าประหนึ่งพี่สาว
“ก็แค่การเดาง่ายๆ เอง” ลูเมี่ยนทำท่าเหมือนไม่อยากอธิบาย
ถ้าจินนายังไม่หลุดพ้นจากภัยซ่อนเร้น เธอจะมีอารมณ์มาหาฉันได้หรือ? คุณพี่ ‘ดาบซ่อนแขน’ …
ฟรังก้าหัวเราะแห้งๆ สองที
“ฉันหมายถึง คุณเดาได้แม้กระทั่ง ผู้วิเศษทางการจะมาสอบสวนทำนองว่า จินนากับคนอื่นๆ เป็นสาวกเทพมารหรือไม่”
อย่าลืมสิ ฉันอยู่ใกล้กับเทพมารมากกว่าพวกสาวกเทพมารที่นี่ทุกคน… ลูเมี่ยนยกมือขวาขึ้นมา เคาะเบาๆ บนหน้าอกซ้าย
เด็กหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้ม
“มาจากประสบการณ์ของอาชญากรที่ถูกประกาศจับน่ะ”
“ดูภูมิใจจังเลยนะ” ฟรังก้าพูดหยอกเย้า
ลูเมี่ยนถามด้วยความสงสัย
“แล้วผู้วิเศษทางการสอบสวนด้วยวิธีไหน”
ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ในอนาคตก็ยิ่งหลบหลีกการตรวจสอบในทำนองเดียวกันได้ดีขึ้น
ฟรังก้าตอบด้วยท่าทีสบายๆ
“ตามที่จินนาเล่า ฉันเดาว่าพวกเขาใช้ความสามารถของ ‘ผู้รับรอง’ …”
“ตำรวจให้แต่ละคนลงชื่อในใบรับรองความเชื่อของตัวเอง ใบรับรองที่มีผู้รับรองเป็นพยานน่ะ… หึๆ ใครโกหกก็จะถูกเผาด้วยเปลวไฟสีทอง ทั้งตัวมีแต่เลือด ถูกลากออกไปเลย”
เห็นใจลูเมี่ยนที่อยู่ระหว่างการศึกษาศาสตร์เร้นลับอย่างหนัก ฟรังก้าช่วยอธิบายเสริม
ความสามารถในทำนองเดียวกับ ‘ผู้รับรอง’ ถือว่าพบได้บ่อยในกรุงทรีอาร์ เจอได้ในหลายสถานที่ เพียงแต่จะซ่อนอยู่ใต้การปลอมตัวที่แตกต่างกัน
‘ผู้รับรอง’ สามารถทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางศาสตร์เร้นลับ เมื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาวิเศษต่อหน้า ‘ผู้รับรอง’ กระทั่งครึ่งเทพก็ไม่อาจบิดพลิ้ว หรือแม้จะเป็นครึ่งเทพ หากคิดจะละเมิดสัญญา ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายไม่น้อย ธุรกรรมนับล้านหรือหลายสิบล้านเฟลคิน คู่ค้าทั้งสองฝ่ายต่างก็ยินดีจ่ายเงินก้อนใหญ่ ไปที่วิหาร แล้วทำการรับรองต่อหน้าตราศักดิ์สิทธิ์ของ ‘เทพแห่งสัญญา’
“ใบรับรองจัดเป็นพันธสัญญาพิเศษประเภทหนึ่ง”
องค์สุริยันเจิดจรัสในเวลาเดียวกันก็เป็นทั้ง ‘เทพแห่งสัญญา’ และ ‘ผู้พิทักษ์การค้า’
สอดคล้องกับเนื้อหาในบันทึกของโอลัวร์… ลูเมี่ยนหันไปถาม
“จินนากลับบ้านไปแล้ว?”
ฟรังก้าผงกศีรษะรับ
“เธอต้องกลับไปนอนต่อ”
กล่าวถึงตรงนี้ ฟรังก้าพินิจมองลูเมี่ยนหัวจรดเท้า
“คุณยังดูคึกอยู่เลยนะ ไม่เหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืน”
“ชินแล้วน่ะ” แน่นอน ลูเมี่ยนไม่สามารถตอบไปว่า พอถึงหกโมงเช้า สภาพร่างกายจะรีเซตอัตโนมัติ “คุณก็ดูสดชื่นไม่ต่างกันเลย”
ฟรังก้ายิ้มด้วยความภาคภูมิ
“ฉันก็ชินแล้วเหมือนกัน สำหรับพวกเรา ของจริงจะเริ่มตอนกลางคืนนี่แหละ”
ถ้าคนพูดเป็นโอลัวร์ ในหัวของลูเมี่ยนคงวาบผ่านคำหรือวลีอย่าง ‘แรงบันดาลใจ’ ‘ต้นฉบับ’ ‘ความสงบยามค่ำคืน’ แน่นอน แต่พอเป็นฟรังก้า เด็กหนุ่มเชื่อมโยงได้แค่ ‘งานเลี้ยงรื่นเริง’ ‘เตียงยักษ์’ และ ‘กลิ้งเกลือก’ เท่านั้น
ฟรังก้าไม่ทันสังเกตความรู้สึกเหน็บแนมในใจของอีกฝ่าย ยังคงพูดเรื่อยเปื่อย
“การเรียนของเด็กฝึกในกรงพิราบเก่าจะหยุดชั่วคราวสามวัน โรงละครถูกกองบัญชาการตำรวจเข้ายึดครองชั่วคราว ยังมีการแสดงทุกวันตามปกติ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเลือกตั้งสส. อา… แต่จะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องที่แสดง ยังไงเสีย นางเอกบางเรื่องก็หายตัวไปแล้ว”
“ทั้งชาร์ล็อตต์และไมป์·ไมเออร์ต่างก็หายตัวไป?” ลูเมี่ยนย้อนถาม
แม้ในตอนที่ชาร์ลีตามผู้วิเศษทางการออกไป เด็กหนุ่มจะพอเดาได้แล้วว่าซูซานน่า·มาติสยังไม่ถูกชำระล้างจนสิ้นซาก แต่พอได้ยินจากปากฟรังก้าแล้ว ความผิดหวังมันยังไม่หายไป
ฟรังก้าพยักหน้า
“นอกจากพวกมันแล้ว ยังมีอีกสองคนหายตัวไป คนหนึ่งคือเอฟฟ์ตัวจริง อีกคนชื่อโรส”
“ในบรรดานักแสดงและเด็กฝึกที่เหลือ มีถึงเจ็ดคนที่เปลี่ยนไปนับถือมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย ถูกจับตัวออกมา แต่ดูเหมือนจะยังไม่เคยรับพรกันเลย”
พวกที่ได้รับพรหนีไปแล้ว ทิ้งสาวกไว้ข้างหลัง? สำหรับพวกเขาแล้ว ศาสนิกชนเป็นแค่ของใช้แล้วทิ้งหรือไง? ลูเมี่ยนแค่นหัวเราะในใจ แล้วเล่าเรื่องที่ชาร์ลีดูเหมือนจะออกไปพร้อมผู้วิเศษทางการให้ฟรังก้าฟัง
ฟรังก้าถอนหายใจแผ่วเบา
“สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด พวกเราคอยปกป้องเขาตลอดเวลาไม่ได้”
“ถึงผู้วิเศษทางการจะทำไม่ได้เหมือนกัน แต่ทางนั้นสามารถจัดที่พักให้ชาร์ลีอยู่อย่างปลอดภัย จนกว่าเรื่องของซูซานน่าจะจบลงอย่างแท้จริง”
“เมื่อเทียบกันแล้ว คุณเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าด้วยซ้ำ พูดเองไม่ใช่หรือว่าซูซานน่า·มาติสแค้นคุณด้วยเหมือนกัน? ความพยาบาทของวิญญาณมารน่ะ รุนแรงใช่เล่นเลยนะ”
ถึงตอนนั้นก็คงต้องลองใช้นิ้วมิสเตอร์ K… ลูเมี่ยนพึมพำเงียบหนึ่งประโยค บอกว่าตนเองจะระวัง
เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงเอ่ยปากถาม
“คุณรู้เหตุผลไหม ทำไมพรรคซาฟาห์เราถึงสนับสนุนฮิวจ์·อาร์ทัวส์?”
ฟรังก้ายิ้มๆ
“ถ้าฉันไขปริศนาเรื่องนี้ได้ ก็คงไม่อยู่พรรคซาฟาห์หรอก”
หืม… นี่คือเหตุผลหลักที่เธอเข้าพรรคซาฟาห์? ลูเมี่ยนใจลอยคิดไปเรื่อยเปื่อย
จนกระทั่งฟรังก้ายืดเส้นยืดสาย ลุกขึ้นยืน พูดกับเด็กหนุ่ม
“พวกเราอาจได้เซ้งโรงละครกรงพิราบเก่าในราคาถูก โดยแลกมากับถูกพวก ‘คนตระหนี่’ เกลียดชัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องกลัว อา… ขอตัวไปหาการ์ดเนอร์ที่ถนนน้ำพุก่อน คุยกันสักหน่อย แล้วก็แก้ปัญหาของตัวเองด้วย”
“ปัญหา?” ลูเมี่ยนงุนงงเล็กน้อย
ฟรังก้าตอบยิ้มๆ
“แม้ความซาบซ่านที่ลุนทาสปลุกขึ้นมา จะถูกดับด้วยเกลือดมวิเศษไปแล้ว แต่ร่างกายของฉันยังคงกระสับกระส่ายอยู่ พอนึกถึงความรู้สึกตอนนั้น ในใจก็เริ่มหวิว อยากถูกเติมเต็ม อยากระบายออกไป เรื่องนี้คุณช่วยฉันไม่ได้ เลยต้องไปหาคนรักตัวจริงยังไงล่ะ”
“ว่าแต่… ทำไมคุณถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ?”
ที่จริงก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง แต่เมื่อผ่านหกโมงเช้าไปก็หายเป็นปลิดทิ้ง… ลูเมี่ยนยกมุมปาก
“ความตั้งใจของผมแน่วแน่กว่าคุณไง”
ฟรังก้าหัวเราะในลำคอ เดินไปที่ประตู ออกจากห้อง 207 ไป
มองตามแผ่นหลังของเธอ ลูเมี่ยนก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
สุดท้ายแล้วฟรังก้า เป็นคู่นอนของบอส หรือบอสเป็นคนรักของฟรังก้ากันแน่?
ฟรังก้าเป็นฝ่ายช่วยสนองตัณหาให้บอส หรือบอสเป็นฝ่ายช่วยสนองให้ฟรังก้า?
ใกล้เที่ยงแล้ว ชาร์ลีก็กลับมาถึงโรงแรมระกาทอง นำทรัพย์สินไม่มากใส่กระเป๋าเดินทางจนหมด แล้วถือมันเดินลงบันได
เมื่อเจอลูเมี่ยนที่ชั้นสอง เขาเหลียวซ้ายแลขวา กดเสียงต่ำพูดว่า
“ฉันได้งานใหม่แล้ว ต้องย้ายไปที่อื่น”
“ต้องรออีกสักพักเลย ถึงจะกลับมาดื่มเหล้าที่บาร์ใต้ดินได้”
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“ฟังดูไม่เลวนี่”
หากปัญหาของซูซานน่า·มาติสได้รับการแก้ไขจริง ชะตาชีวิตของชาร์ลีก็ถือว่าพลิกผันอย่างมาก
ชาร์ลีที่กำลังมีความสุข ไตร่ตรองถ้อยคำก่อนจะพูด
“มีหลายเรื่องที่ฉันเล่าให้ฟังไม่ได้ แต่พอถึงเวลาสำคัญ ฉันจะพยายามบอกใบ้นะ”
เขาเห็นประกาศจับของชาร์ลใน ‘ศาล’ ที่อยู่ใต้ดินของวิหารนักบุญโรแบร์ และจำได้ว่าเป็นเพื่อนของตน แต่ก็ไม่ได้แจ้งกับสังฆานุกรฟรองซัว
หืม… ทำไมชาร์ลีถึงคิดว่าตัวเองจะมีประโยชน์ล่ะ? หรืองานใหม่ของหมอนี่ เกี่ยวพันกับผู้วิเศษทางการอย่างใกล้ชิด จึงได้ข้อมูลมากพอสมควร? ลูเมี่ยนเดาได้อย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ
“เอาชีวิตรอดให้ดีก่อน ค่อยไปคิดเรื่องอื่น!”
“อีกไม่กี่สัปดาห์ ฉันอาจจะออกจากย่านตลาดไปแล้วก็ได้”
ความหมายแฝงก็คือ ทำงานของตัวเองให้ดี อย่าได้คิดจะส่งข่าวเชียว เว้นแต่ว่ามันจะเป็นอันตรายถึงชีวิตฉัน ไม่งั้นก็อย่าพยายาม
ส่วนชาร์ลีจะเข้าใจหรือไม่ ลูเมี่ยนไม่มั่นใจนัก สุดท้ายแล้วสมองของไอ้หนุ่มนี่ก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
…………
หลังจากอยู่ในคาบาเร่ต์ลมเอื่อยตลอดบ่าย ลูเมี่ยนก็เปลี่ยนเป็นชุดคนงานสีเทาน้ำเงิน ใส่หมวกแฟลตแก๊ปสีน้ำเงินเข้ม นั่งรถม้าสาธารณะมาถึงถนนแผ่นศิลาที่เขตสวนพฤกษศาสตร์
ตามข้อตกลงระหว่างตนกับลูอิส·ลุนด์ คุณนายปัวริสควรจะตอบรับการนัดพบ ภายในคืนนี้
มาถึงล็อบบี้ของอพาร์ตเมนต์เลขที่ 9 ลูเมี่ยนเปิดตู้จดหมายของห้อง 302 พบว่าข้างในมีแต่ใบปลิว
จดหมายยังไม่มา? เด็กหนุ่มระงับความร้อนใจ เตรียมข้ามถนนไปรอฝั่งตรงข้ามอพาร์ตเมนต์สักพัก
แต่เพียงก้าวเท้าออกจากล็อบบี้ ลงจากขั้นบันได มาถึงริมถนน เขาก็เห็นรถม้าสี่ล้อสีน้ำตาลคันหนึ่ง ขับมาจากจุดไม่ไกลนัก จอดสนิทอยู่ตรงหน้าตน
คนขับรถม้ามีผมสีดำ ตาสีฟ้า สวมเสื้อผ้าสีแดงเข้ม กางเกงขายาวสีเหลือง สวมหมวกลงขี้ผึ้ง ผูกเนกไทสีขาว ไม่ใช่ใครนอกจากลูอิส·ลุนด์!
วินาทีถัดมา ประตูรถม้าสี่ล้อก็เปิดออกโดยไร้สุ้มเสียง ด้านในมีเงาของสุภาพสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่
…………………………………………………….