ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 214 บังเอิญเจอ
ตอนที่ 214 บังเอิญเจอ
หลังด่าเทอร์มีโพลอสเสร็จ ลูเมี่ยนเห็นฟรังก้ารวบย่ามใส่ของที่ยึดมาได้เสร็จ แล้วสะพายไว้บนตัว
เด็กหนุ่มนึกถึงความสามารถหนึ่งของ ‘คนตระหนี่’ จึงเตือนว่า
“คุณไม่กลัวพวก ‘คนตระหนี่’ จะตามหาเราจากของที่พวกมันทำหายหรือ?”
ตอนที่เขาเล่าเรื่องโรงละครกรงพิราบเก่าให้ฟรังก้าฟัง ก็ได้อธิบายด้วยว่า พวกสาวกเทพมารมีพลังในการรับรู้ตำแหน่งสิ่งของที่เคยเป็นของตนแต่ทำหาย
ต่างจากเฮิดซ์ที่ก่อเรื่องขึ้นเอง ลุนทาสรับคำสั่งจากเบื้องบน จึงอาจพกพาสิ่งของของไมป์·ไมเออร์ เผื่อว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน จะได้ทราบตำแหน่งของลุนทาสและคนลงมือ
ฟรังก้าหัวเราะ
“พลังแบบนั้นต้องมีข้อจำกัดด้านเวลาและระยะทางอยู่แล้ว รอจนคนในโรงละครกรงพิราบเก่ารู้ว่าลุนทาสหายตัวไป ค่อยมาหาเรา คงยากที่จะสืบจนเจอ”
“นอกจากนั้น ชาร์ลียังอยู่กับเรา ถ้าพวกมันอยากหา จะหาเราเจอเมื่อไรก็ได้ ไม่ว่าจะนำของพวกนี้กลับไปหรือไม่ก็ตาม ชาร์ลีเปรียบดังสิ่งของที่ซูซานน่า·มาติสทำหาย ไม่สิ คนรักที่หายไปต่างหาก”
ชาร์ลีฟังอย่างงุนงงมาตลอด ไม่เข้าใจว่าชาร์ลกับ ‘บูตแดง’ กำลังคุยเรื่องใด จนกระทั่งชื่อของตนถูกเอ่ยจากปากฟรังก้า เขาจึงเริ่มเข้าใจ ‘สถานการณ์’ เบื้องต้นของตัวเอง ใบหน้าเศร้าหมองพูดว่า
“ผมกับเธอไม่ได้เป็นคู่รัก…”
“อย่าปฏิเสธเลย เธอมีพลังมากพอที่จะคิดแบบนั้นฝ่ายเดียว” ฟรังก้าปลอบใจชาร์ลีอย่างไม่ค่อยจริงใจนัก
ลูเมี่ยนถูกฟรังก้าโน้มน้าวจนปล่อยวาง เลิกสนใจพลังของ ‘คนตระหนี่’ เพียงชักกริชเงินพิธีกรรมออกจากตัว ทำแผลง่ายๆ ในเวลาอันสั้น
ถัดมา เด็กหนุ่มค้อมหลังลง คว้าศพของลุนทาสขึ้นมา พาดมันไว้กับปากถ้ำที่ถูกกองหินปิดกั้นทางเข้าออก ยัดเข้าไปในอุโมงค์ที่ ‘นักแสดง’ รายนี้ขุดออกมาเอง
ชาร์ลีมองด้วยสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง รู้สึกว่าชาร์ลคู่ควรกับการเป็นหัวหน้าหน่วยที่แก๊งหนามพิษต้องเกรงกลัว จากนั้นก็มองไปยังเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก กางเกงขายาว และรองเท้าบูตของลุนทาส
ฟรังก้าพยักหน้าอย่างชื่นชม
“ไม่เลว รู้จักเก็บกวาดที่เกิดเหตุ ยืดเวลาให้ศัตรูรู้ตัวช้าลง”
“ตอนนี้ฉันแค่กังวลว่าไมป์·ไมเออร์จะรอบคอบเกินไป ถ้าหลังเที่ยงคืนแล้วยังไม่เห็นลุนทาสกลับไป มันอาจจะพาคนมาหาที่นี่เลย จนกระทั่งพบศพ เมื่อถึงตอนนั้น ในเมื่อสรุปไม่ได้ว่าลุนทาสถูกสื่อวิญญาณไปหรือไม่ ไมป์·ไมเออร์อาจตัดสินใจละทิ้งโรงละครกรงพิราบเก่า พาสมาชิกที่เหลือของสมาคมเสียวซ่านหนีไป อา… บางทีอาจไม่ต้องรอเที่ยงคืนด้วยซ้ำ ถ้าซูซานน่า·มาติสหาชาร์ลีไม่เจอ เธอคงเร่งเร้ามัน ถ้าทางนั้นมีวิธีติดต่อระหว่างกันอยู่ล่ะนะ”
แบบนี้แล้ว การปราบปรามของผู้วิเศษทางการในภายหลัง จะลงเอยด้วยการคว้าน้ำเหลว ทิ้งภัยซ่อนเร้นเอาไว้
ฟรังก้ารีบเสริมอีกประโยคหนึ่ง
“โชคยังดี ตอนนี้ซูซานน่าออกจากแท่นบูชาไม่ได้ และแท่นบูชาก็ไม่มีขาเดินไปไหนเอง อย่างน้อยผู้วิเศษทางการก็คงสะสางปัญหาให้ชาร์ลีได้”
“ไม่แน่หรอก” ลูเมี่ยนโต้แย้ง “อย่าใช้ตรรกะปกติมาคาดเดาเรื่องแท่นบูชาเทพมารเลย เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดว่าผู้ชายจะท้องได้เหมือนกัน”
“หะ?” ชาร์ลียิ่งฟังยิ่งงง
เขาได้ยินทุกคำที่ชาร์ลกับ ‘บูตแดง’ คุยกัน แต่พอมารวมกันแล้วกลับไม่เข้าใจความหมาย
ฟรังก้านิ่งไปสองวินาที ก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ก็จริง ตัวตนที่แท้จริงของแท่นบูชานั่นเหมือนตอไม้ยักษ์ แล้วตอไม้ก็มีชีวิตได้ เผื่อตอนนั้น มันถอนตัวเองขึ้นมา กลายเป็นมนุษย์ต้นไม้ แล้วก็พาซูซานน่าวิ่งหนีไป”
พูดมาถึงตรงนี้ ฟรังก้าตบมือเบาๆ
“จริงด้วย… มารพฤกษา… ถ้าขาดต้นไม้ไป จะเรียกว่ามารพฤกษาได้ยังไง?”
ลูเมี่ยนรู้สึกว่าที่ฟรังก้าคาดเดา อาจใกล้เคียงความจริงอยู่หลายส่วน
เด็กหนุ่มยังไม่ลืม ตอนที่ตนสวม ‘แว่นส่องความลับ’ ในโรงแรมระกาทอง กลับมองเห็นระบบรากยักษ์สีน้ำตาลปนเขียวใต้พื้นดิน แผ่ขยายออกไปรอบทิศใต้ดิน
ซูซานน่า·มาติสคงเป็นส่วนหนึ่งของระบบรากสีน้ำตาลปนเขียวนั่น พอเผชิญอันตรายก็หดกลับได้ทุกเมื่อ… ขณะที่ความคิดผุดวาบขึ้นมา ลูเมี่ยนก็ปีนเข้าไปในอุโมงค์ ดันศพของลุนทาสเข้าไปในช่องว่างที่ถูกกองหินปิดกั้นอยู่
หลังจากกลับออกมา เด็กหนุ่มก็หยิบโคมไฟคาร์ไบด์ขึ้นมา คว้าตะเกียงของศัตรู สำรวจโครงสร้างของเพดานและผนังถ้ำตามทาง ระยะห่างพอให้ยื่นมือออกไปตบๆ ทุบๆ
“คุณคิดจะทำอะไร?” ฟรังก้าอยากรีบออกจากทรีอาร์ใต้ดิน จึงถามด้วยความสงสัย
ลูเมี่ยนพูดอย่างใจเย็น
“กำลังหาจุดเหมาะๆ วางระเบิดเพื่อฝังศพนั่นให้มิด แต่ต้องไม่ทำเสียงดังมากจนซูซานน่าที่อยู่ใต้ดินลึก หรือไมป์·ไมเออร์ในโรงละครกรงพิราบเก่าบนดินรู้ตัว”
พร้อมกันนั้น ก็ต้องไม่ทำให้พื้นดินถล่ม ไม่อย่างนั้นอาคารข้างบนจะพังลงมา
เห็นได้ชัดว่า ตอนที่เชื่อมถ้ำหินใต้ดิน ท่อระบายน้ำ และอุโมงค์ต่างๆ เข้าด้วยกัน คนงานเทศบาลได้เสริมความทนทานให้บริเวณพวกนี้ด้วย ซ้ำยังคอยซ่อมแซมเป็นประจำ การพังเล็กน้อยเป็นครั้งคราวย่อมไม่กระทบกับความปลอดภัยหรือการใช้สอย
ผ่านไปไม่นาน ลูเมี่ยนก็ใช้ความสามารถของ ‘นักล่า’ หาช่องเว้าด้านข้างอุโมงค์จนพบ แล้วยัดมัดระเบิดเข้าไปตรงนั้น
“น่าเสียดาย ยังขาดเครื่องมือและวัสดุที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้น ผมจะวางระเบิดแบบกระตุ้นสั่งงานไว้ใต้ศพ รอให้ไมป์·ไมเออร์มาหา ขณะอารามร้อนใจอยากรีบยกศพ ก็บึ้มใส่หน้ามันเลย!” ลูเมี่ยนย่อตัวลง พูดอย่างเสียดายไม่น้อย
นับตั้งแต่ดื่มโอสถแรกจนถึงวันนี้ เขายังไม่มีโอกาสได้วางกับดักระเบิดของ ‘นักล่า’ เสียที อดแสดงสุนทรียะการระเบิดของตน
ชาร์ลีฟังแล้วใจสั่น รู้สึกว่าเหมาะสมแล้วที่ชาร์ลเป็นหัวหน้าหน่วยผู้โด่งดังที่สุดในพักหลัง
“สมแล้วที่เป็น ‘นักล่า’” ฟรังก้าชมเปาะหนึ่ง
ลูเมี่ยนหยิบไม้ขีดไฟออกมา จุดชนวนทันที
จากนั้น เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน เดินไปหาฟรังก้าและชาร์ลีอย่างไม่เร่งร้อน ระหว่างทางที่ผ่านกองหิน ยังว่างหยิบตะเกียงโยนเข้าไปในอุโมงค์ที่ขุดออกมา
“เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย!” ชาร์ลีเห็นชนวนใกล้จะไหม้หมด รีบเตือนลูเมี่ยน
ตัวเขาเริ่มเกร็งกล้ามเนื้อขา เตรียมกระโดดไปหลบหลังผนังหินด้านข้าง ไม่อยากรับระเบิดที่ใกล้จะกล้ำกราย
ลูเมี่ยนในชุดแจ็กเกตเรียบง่ายกับกางเกงผ้าใบ เพิ่งเดินออกมาได้สักเจ็ดแปดเมตรเท่านั้น ขณะก้าวพ้นเขตด้านหน้าของโพรงว่าง ระเบิดก็ดังสนั่นขึ้นจากด้านหลัง
ทั้งอุโมงค์สั่นเล็กน้อย ผนังหินฝั่งข้างอุโมงค์พังถล่มจนเกิดเสียงอึกทึก ลากอุโมงค์ที่เดิมทีก็ไม่มั่นคงไปด้วยกันเกือบทั้งหมด
แสงไฟลุกโชน หินปลิวกระจาย แต่ทั้งหมดมิได้พุ่งมาทางเงาหลังของลูเมี่ยน เพียงกระทบในจุดห่างจากเด็กหนุ่มสักสองสามเมตร รวมถึงอีกฝั่งของอุโมงค์เท่านั้น
ลูเมี่ยนไม่หันกลับไปมอง ไม่ได้หลบหลีก เดินมาหยุดข้างฟรังก้าที่ยิ้มกว้างและชาร์ลีที่ยืนนิ่งค้าง
ฟรังก้าชูนิ้วโป้งขวาขึ้น
“ไปกันเถอะ”
พูดจบ เธอก็หมุนตัวกลับอย่างคล่องแคล่ว เดินไปทางทางออกอุโมงค์ทรีอาร์ใต้ดินที่เพิ่งเข้ามา
ด้านหลังหญิงสาว เปลวไฟสีดำพวยพุ่งขึ้นเงียบงัน แผดเผาเลือดบนพื้น แผดเผากลิ่นในอากาศ แผดเผาสิ่งของสีแดงและขาวเหล่านั้น
ชาร์ลีมองจนตาค้าง ราวกับหลงอยู่ในฝันเพ้อเจ้อ
จนกระทั่งลูเมี่ยนตบไหล่อีกฝ่ายแผ่วเบา ชาร์ลีจึงทำตัวเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง หันตามกลับไป
ระหว่างทางที่เดินขึ้นผิวดิน ฟรังก้ายิ้มแล้วพูด
“อีกวันสองวัน แค่พวกเราดูสถานการณ์ของชาร์ลี ก็จะทราบได้ว่าซูซานน่า·มาติสกับแท่นบูชานั่น ถูกกำจัดจนสิ้นซากหรือยัง”
“ดูว่าซูซานน่า·มาติสจะมาหาเขาหรือเปล่า?” ลูเมี่ยนถือโคมไฟคาร์ไบด์ ขู่ชาร์ลีเล่นๆ ประโยคหนึ่ง
ถ้ากะเกณฑ์ด้วยวิธีดังกล่าวจริง ฟรังก้าต้องพูดว่าอีกสองวัน ไม่ใช่วันสองวันแน่นอน
ชาร์ลีสั่นเทิ้ม ถามตะกุกตะกักว่า
“จ…จะดูยังไง?”
ฟรังก้าหัวเราะในคอ
“ถ้าผู้วิเศษทางการไม่มาหาคุณ ก็แสดงว่าคุณหลุดพ้นจากฝันร้ายของซูซานน่าอย่างแท้จริงแล้ว”
“แต่ถ้าพวกเขาจงใจมาหาคุณ เสนองานดีๆ ให้ทำ… ขอแสดงความยินดีด้วย หวังว่าจะได้ร่วมเต้นรำกับอันตรายนะ”
“ม…หมายความว่ายังไง?” ชาร์ลีไม่ค่อยเข้าใจ
ฟรังก้าไม่ได้อธิบาย แต่ย้อนถามไปว่า
“ถ้าให้คุณไปเป็นตำรวจถ้ำหิน เงินเดือน 300 เฟลคิน แต่ทุกวันมีโอกาสเผชิญหน้ากับพวกลักลอบค้าของเถื่อน นักผจญภัยถ้ำ นักล่าเงินรางวัล และเสี่ยงตายในระดับหนึ่ง คุณเอาไหม?”
“เอาสิ!” ชาร์ลีพูดออกไปทันที
ตำรวจถ้ำหินถึงแม้จะอันตราย แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังมีชีวิตอยู่!
ถ้าซูซานน่า·มาติสยังไม่ถูกชำระล้างจนสิ้นซาก ผู้วิเศษทางการคงเสนองานที่ใกล้มือใกล้เท้าพวกเขาให้ชาร์ลี โดยที่งานพวกนั้นจ่ายค่อนข้างดี? ลูเมี่ยนพอจะเข้าใจสิ่งที่ฟรังก้าหมายถึง
ทั้งสามออกจากทรีอาร์ใต้ดิน เลี้ยวตามตรอก ข้ามเครื่องกีดขวาง จากถนนเล็กเงียบเหงาไร้ผู้คนมาถึงถนนเสื้อนอกขาว เข้าไปในห้องชุดของฟรังก้าที่ชั้น 6
ฟรังก้าดึงฮู้ดลง โยนย่ามใส่ของที่ยึดมาไว้ข้างโต๊ะกาแฟ เอนหลังลงบนเก้าอี้เอนหลัง ใช้คางชี้ไปยังโซฟาและเก้าอี้พิงหลังฝั่งตรงข้าม
“ต่อไปก็แค่อดทนรอจนรุ่งเช้า”
หลังจากที่ลูเมี่ยนและชาร์ลีต่างนั่งลง บรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็เงียบสงบอย่างยิ่ง
ชาร์ลีรู้สึกอึดอัดใจ เหลือบมองชาร์ลแวบหนึ่งแล้วถาม
“นายมีพลังวิเศษพวกนั้นด้วยหรือ”
“ถ้าไม่มี ฉันจะไปมีปัญญาฆ่ามาร์โกต์กับแอตได้ยังไง แล้วจะมาเป็นคนคุมคาบาเร่ต์ลมเอื่อยกับโรงแรมระกาทองได้ยังไง” ลูเมี่ยนหัวเราะหนึ่งเสียง
“ก็จริง” ชาร์ลีคิดแล้วรู้สึกว่าแบบนี้ตัวเองยอมรับได้ง่ายขึ้น
ทั้งสามคุยกันเป็นช่วงๆ เข็มยาวและเข็มสั้นของนาฬิกากาเหว่าค่อยๆ เคลื่อนไปชี้เที่ยงคืน
ความมืดด้านนอกหน้าต่างเงียบสงบตลอดมา
ตอนนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากด้านนอกประตู มาจากข้างล่าง รวดเร็วใกล้เข้ามา
“จินนา… ฉันลืมไปเลยว่าคืนนี้เธอจะมา!” ฟรังก้าลุกขึ้นนั่งฉับพลัน
เธอมองลูเมี่ยน แล้วก็มองชาร์ลี ลังเลอยู่สองสามวินาที หลับตาลง รอให้จินนาเปิดประตูเข้ามาเอง
ในเสียงกระแทก จินนาในเสื้อตัวสั้นสีขาวและกระโปรงสั้นฟูฟ่องสีครีม ดึงกุญแจสำรองออก เดินเข้ามาในห้องชุด
เธอเห็นลูเมี่ยนทันที จากนั้นก็สังเกตเห็นชาร์ลี
“พวกคุณ… หืม… กำลังทำอะไรกันอยู่?” จินนาไม่ได้ปิดบังความสงสัย สายตาเคลื่อนไปมาระหว่างลูเมี่ยน ชาร์ลี และฟรังก้าอยู่ตลอด
ฟรังก้าฝืนยิ้ม
“พอดีเบื่อๆ น่ะ ก็เลยชวนพวกนี้มาเล่น ‘พิชิตจอมมาร’ อยากเล่นด้วยกันไหม แบบสองสำรับ?”
จินนาจ้องมองด้วยสายตากังขาอยู่สองสามวินาที รู้สึกว่าฟรังก้าคงไม่อยากอธิบายเหตุผลที่แท้จริงต่อหน้าชาร์ล จึงชี้ไปที่ห้องนอน
“จะบ้าหรือไง ดึกป่านนี้ใครจะไปมีอารมณ์เล่นไพ่ พรุ่งนี้ฉันต้องยุ่งยันดึกเลย ตอนนี้ต้องเข้านอนแล้ว!”
เธอโบกมือให้ลูเมี่ยนกับชาร์ลี แล้วหันหลังเดินเข้าห้องนอน
ลูเมี่ยนมองหน้าฟรังก้า ถามอย่างใจเย็น
“ทำไมไม่บอกตรงๆ ไปว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่?”
จินนาเองก็เป็นเหยื่อของปัญหาในโรงละครกรงพิราบเก่า เธอเกือบโดนไอ้วิตถารเฮิดซ์ข่มขืน
ฟรังก้าชะงักไปครู่หนึ่ง
“นั่นสิ ทำไมฉันถึงไม่บอกตรงๆ ไปนะ…”
เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบังเลย!
เธอมองประตูห้องนอนที่ปิดสนิท ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะบอกความจริงกับจินนา
ลูเมี่ยนเปรยถาม
“จินนาดูยุ่งๆ ผิดปกตินะ เธอกำลังติดงานอะไร?”
“คุณไม่รู้หรือ?” สีหน้าของฟรังก้าค่อยๆ เปี่ยมไปด้วยความยินดีและภูมิใจ “เธอเป็นนักแสดงฝึกหัดน่ะ กำลังเรียนการละคร อา… ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว ฉันได้ยินมาว่าในยุคก่อน ถ้าอยากเป็นเด็กฝึกก็แค่เซ็นสัญญาระยะยาว ก็จะได้เรียนฟรี ที่พักกับอาหารก็มีให้ด้วย ตอนนี้ไม่ใช่แค่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นก้อน แต่ยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง”
พูดไปพูดมา ฟรังก้าเห็นสีหน้าของลูเมี่ยนเริ่มจริงจังขึ้น
ลูเมี่ยนขมวดคิ้วถาม
“เธอเป็นเด็กฝึกของโรงละครไหน?”
“ฉันไม่เคยถาม…” ฟรังก้าตอบเสียงเบา ในใจก็คิดไปด้วย
พอดีกับที่จินนาเปิดประตูห้องนอนออกมา กอดข้าวของกองหนึ่ง เตรียมจะไปห้องน้ำ
“เธอเป็นเด็กฝึกของโรงละครไหน?” ฟรังก้าลุกขึ้นยืนถาม
จินนายอกย้อนอย่างสงสัย
“ถามไปทำไม ทุกทีไม่เห็นจะอยากรู้”
พอเห็นลูเมี่ยนกับชาร์ลีก็มองมาทางตน เธออดด่าไม่ได้
“มองหน้ามีอะไร?”
“แม่ง! ฉันอยู่โรงละครไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ?”
เมื่อเห็นว่าทั้งฟรังก้าและลูเมี่ยนต่างทำหน้าจริงจัง เธอชะงักไปครู่หนึ่ง พึมพำพูดว่า
“แม่ง! นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังสักหน่อย!”
“ฉันอยู่โรงละครกรงพิราบเก่า”
…………………………………………………….