ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 2 “แกล้ง”
ตอนที่ 2 “แกล้ง”
“ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้” ไรอันพูดขอโทษลูเมี่ยนอย่างสุภาพ
ลูเมี่ยน ‘หึหึ’ ในลำคอ
“ชดเชยด้วยนางฟ้าหยกอีกสักแก้วไหมล่ะ”
โดยไม่รอให้ไรอันตอบ เขาเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณคนต่างถิ่น ทำไมถึงมาที่กอร์ตูล่ะ เพื่อซื้อขนแกะกับหนังสัตว์หรือ?”
มีชาวกอร์ตูไม่น้อยที่ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงแกะ
ไรอันถอนหายใจคล่องคอ ถือโอกาสนี้เปิดปากอธิบาย
“เรามาหาหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ นักบวชของโบสถ์สุริยันเจิดจรัสประจำหมู่บ้านพวกคุณ แต่ก็ไม่เจอทั้งที่บ้านและในโบสถ์”
“ไม่ต้องเจาะจงหรอก ในกอร์ตูมีโบสถ์หลังเดียว” ปิแยร์ที่ดื่มอัปแซ็งต์สมนาคุณจากไรอัน หวังดีช่วยเตือนความจำ
คนท้องถิ่นในผับต่างก้มหน้าดื่มเหล้าตัวเองทันที ไม่มีใครตอบคำถามไรอัน ราวกับมันเป็นชื่อต้องห้าม หรือไม่ก็คนใหญ่คนโตที่เอ่ยส่งเดชไม่ได้
ลูเมี่ยนจิบเหล้าพลางครุ่นคิดอยู่ราวหนึ่งอึดใจ
“ฉันพอจะเดาได้ว่าท่านนักบวชอยู่ที่ไหน ให้ช่วยพาไปไหม”
“ถ้างั้นก็รบกวนด้วย” ลีอาไม่เกรงใจ
ไรอันผงกศีรษะตาม
“ค่อยไปหลังจากเธอดื่มหมดแก้วนี้”
“ตกลง” ลูเมี่ยนยกแก้วแล้วเร่งซดของเหลวสีเขียวซีด
เขาวางแก้วลงแล้วลุกขึ้น
“ไปกันเถอะ”
“ขอบคุณมาก” ขณะกล่าวขอบคุณลูเมี่ยน ไรอันหันไปส่งภาษากายบอกให้วาเลนไทน์กับลีอาลุก
ลูเมี่ยนอมยิ้ม
“เรื่องแค่นี้เอง พวกคุณได้ฟังเรื่องราวของฉัน ส่วนฉันดื่มเหล้าของคุณ พวกเรากลายเป็นสหายกันแล้วนี่”
“ก็ใช่” ไรอันพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน
ลูเมี่ยนฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับยื่นแขนออกมาในท่าคล้ายเตรียมจะกอด
แล้วก็กล่าวอย่างกระตือรือร้น
“ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณทุกคน กะหล่ำปลีของฉัน”
ไรอันที่เตรียมสวมกอดพลันผงะ
“กะหล่ำปลี?”
สีหน้าของเขาทั้งดูว่างเปล่าและอ้ำอึ้ง
เช่นเดียวกันกับวาเลนไทน์และลีอา
“นี่คือคำที่พวกเราใช้เรียกสหายเพื่อแสดงความรัก ชาวแคว้นดาลีแอชต่างรู้กันดี มันเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีแล้ว” ลูเมี่ยนอธิบายอย่างไร้เดียงสา “เชื่อฉันสิ กะหล่ำปลีของฉัน”
ลีอาอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ จนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง
ปิแยร์และคนที่เหลือทยอยผงกศีรษะรับ บ่งบอกว่าครั้งนี้ลูเมี่ยนมิได้โกหก แต่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าพวกเขาชวนให้เข้าใจได้ว่า ทุกคนมีความสุขแค่ไหนที่ได้เห็นคนต่างถิ่นกระอักกระอ่วนกับฉายาที่มอบให้ด้วยความรัก
ลูเมี่ยนลูบคาง
“พวกคุณไม่ชอบหรือ”
“ถ้างั้นฉันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่ใช้เรียกสหายได้เหมือนกัน”
“กระต่ายของฉัน…ไก่ของฉัน…เป็ดของฉัน หรือแกะน้อยของฉัน…เอาอันไหนดีล่ะ”
สีหน้าไรอันแข็งกระด้างขึ้นเรื่อยๆ ส่วนวาเลนไทน์ขมวดคิ้ว
ลีอาตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเจือประชดประชัน
“กะหล่ำปลีก็ได้ อย่างน้อยมันก็ฟังดูปกติที่สุด”
ฟู่…ไรอันแอบถอนหายใจโล่งอก รีบกดศอกวาเลนไทน์ไว้แล้วผงกศีรษะรับ
“ก็ฟังดูเหมือน…ของมีค่าในครัวเรือน”
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบ เขาบิดตัวไปพูดกับบาร์เทนเดอร์
“คิดเงินเลย”
“สองเฟลคิน” บาร์เทนเดอร์ชำเลืองนับแก้วบนเคาน์เตอร์
ขณะไรอันควักจ่ายค่าเสียหาย ลีอาเปลี่ยนเรื่องคุย
“ลูเมี่ยน…ไม่ค่อยได้ยินชื่อนี้เท่าไร”
“อย่างน้อยก็ดีว่าปิแยร์กับกิโยมล่ะนะ” ลูเมี่ยนยิ้มซุกซน “ถ้าเรียกชื่อปิแยร์ที่นี่ หนึ่งในสามของร้านจะหันมามอง แล้วถ้าเรียกกิโยมต่อ อีกหนึ่งในสามก็จะหันมา…ส่วนหมอนี่”
เขาชี้ไปยังชายวัยกลางคนร่างผอมบาง ผู้กำลังดื่มด่ำกับนางฟ้าหยกแก้วฟรี
“ชื่อเต็มของเขาคือปิแยร์·กิโยม”
ลีอายิ้มอย่างสงวนกิริยา ดูเหมือนจะหลุดพ้นจากหัวข้อกะหล่ำปลีแล้ว
ก่อนจะเดินพ้นประตูร้าน ลูเมี่ยนชำเลืองกลับหลัง
“มีอะไรหรือ” ลีอาถามอย่างใคร่รู้
ลูเมี่ยนตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“วันนี้น่ะ คนต่างถิ่นที่แวะมาผับไม่ได้มีแค่พวกคุณสามคน ก่อนหน้านี้ยังมีอีกหนึ่ง แต่ฉันไม่ทันสังเกตว่าออกไปตอนไหน”
“หน้าตาเป็นยังไง” ไรอันถามเสียงจริงจัง
ลูเมี่ยนระลึกชาติ
“เป็นสุภาพสตรี ดูมีชาติตระกูลมาก มองแวบแรกก็รู้ทันทีว่าเป็นคนเมืองใหญ่ อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าหน้าตาเป็นยังไง ขอวาดแทนได้ไหม”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ไม่เป็น”
“ถ้างั้นก็ไปหานักบวชกันก่อน” ไรอันหยุดหัวข้อสนทนาไว้ที่ตรงนี้
หมู่บ้านกอร์ตูไม่มีโคมไฟส่องทางเดินในยามวิกาล แต่บรรยากาศก็มิได้มืดสนิท หมู่ดาวพร่างพราวด้านบนคอยสาดแสงอย่างอ่อนโยน เมื่อผนวกกับแสงสีเหลืองจากหน้าต่างบ้านเรือนสองฝั่งทางเดิน ทั้งสี่สามารถย่ำเท้าตรงไปอย่างราบรื่น
ผ่านไปไม่นาน พวกเขามาถึงโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ที่ตั้งอยู่ถัดจากจัตุรัสหมู่บ้าน
ในยามรัตติกาลสีดำ สิ่งปลูกสร้างที่โอ่อ่าที่สุดในหมู่บ้านหลังนี้ ดูขมุกขมัวราวกับหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับความมืด
“เราเคยมาที่นี่แล้ว แต่ก็ไม่เจอใคร” วาเลนไทน์ผู้วางมาดเฉยเมยและเงียบขรึม กล่าวพลางขมวดคิ้ว
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ทางเข้าหลักไม่มีใครอยู่ก็จริง แต่ใช่ว่าส่วนอื่นจะไม่มี”
ขณะพูด เขานำทางกลุ่มสามคนของไรอัน อ้อมผ่านทางเข้าหลักไปยังตำแหน่งใกล้กับสุสาน
ตรงหน้าทุกคนคือประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม
ยังไม่ทันที่ไรอันจะเคาะประตู ลูเมี่ยนเอื้อมมือไปจัดการกับรูกุญแจ
จากนั้น เด็กหนุ่มผลักเปิดประตูฝั่งด้านข้างโบสถ์ จนเกิดเสียงบานพับเสียดสี
“แต่แบบนี้มันเสียมารยาท…” ไรอันย่นคิ้วชนกัน
ลีอาพยักหน้ารับจนกระดิ่งสั่น
“เรามาหาหลวงพ่อเพื่อพูดคุยนะ ไม่ใช่วางมวย”
“ก็ได้” ลูเมี่ยนเป็นพวกเปิดใจยอมรับความเห็นด้านดีจากผู้อื่นอยู่แล้ว
เขาปิดประตูไม้กลับไปใหม่ ขยับมือเคาะประตูอย่างทะนุถนอม
“นี่… มีใครอยู่ไหม ถ้าไม่ตอบจะเข้าไปล่ะนะ” เสียงพูดของเด็กหนุ่มเบาจนไม่ต่างอะไรกับคุยคนเดียว
ในโบสถ์มีเพียงความเงียบสงัด
วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนผลักประตูเปิดอีกครั้งแล้วชี้เข้าไป
“เข้าไปกันเถอะ”
ไรอันอยากปฏิเสธ แต่พอลองมองเข้าไปในความมืดสนิทหลังกรอบประตู เขาครุ่นคิดหนึ่งอึดใจแล้วหันไปหาพวกพ้อง
“ตกลง” ไรอันก้าวเข้าไป เชื่องช้าแต่หนักแน่น
ลีอากับวาเลนไทน์คอยตามหลังไม่ห่าง
ในเวลาเช่นนี้ กระดิ่งเล็กสีเงินสี่ใบ ผ้าคลุมหน้าสอง รองเท้าสอง ไม่แม้แต่จะส่งเสียงสักแอะ
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมมืดสลัว สี่ชีวิตย่างกรายตรงไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งไรอันชะงักฝีเท้า หรี่เสียงกระซิบกระซาบ
“ได้ยินเสียงอะไรกันไหม”
“อื้อ!” ลูเมี่ยนเห็นด้วยอย่างหนักแน่น
วินาทีที่สิ้นคำ เขาออกแรงกระแทกไปด้านข้าง จนเกิดเสียงประตูเปิดดังโครม
ภายในดูคล้ายกับห้องสารภาพบาปประจำโบสถ์ แสงดาวเจือจางส่องเข้ามาได้ เผยให้เห็นเตียงต่ำเรียบง่ายและชายฉกรรจ์เปลือยกาย
ชายฉกรรจ์นั่นกำลังกดทับร่างของหญิงสาวผิวดีนางหนึ่ง
ทุกคนเผยสีหน้าตกตะลึงทันที ไม่เว้นแม้แต่ชายฉกรรจ์กับหญิงสาวใต้ร่างเขา
ไม่กี่อึดใจถัดมา ชายฉกรรจ์กวาดสายตาจนทั่ว แล้วตวาดใส่กลุ่มของไรอัน
“ไอ้ชาติสุนัข! กล้าดียังไงถึงเข้ามาขัดจังหวะพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์!”
ท่ามกลางเสียงสะท้อน ลูเมี่ยนที่หลบอยู่หลังกลุ่มไรอัน โผล่หน้าออกมาโบกไม้โบกมือพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ได้เจอหลวงพ่อกันแล้วนะ กะหล่ำปลีของฉัน ไว้เจอกันพรุ่งนี้!”
ระหว่างพูด เด็กหนุ่มหันหลังกลับแล้ววิ่งตัวปลิวออกไปทางประตูฝั่งด้านข้างโบสถ์ น้ำเสียงที่ลอยมาตามลมสั่นเครือและเบาลงทุกขณะ
วินาทีนี้ ทั้งลีอา ไรอัน และวาเลนไทน์ ต่างผุดประโยคหนึ่งในใจพร้อมกัน
เป็นคำพูดของชายวัยกลางคนนามปิแยร์·กิโยม
“เด็กคนนี้คือตัวปัญหาอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน อยู่ให้ห่างเข้าไว้ดีกว่านะ…”
…
ใต้แสงดาวพราวพราย ลูเมี่ยนผิวปาก
เด็กหนุ่มกรีดกรายสบายใจเฉิบไปตามถนนชนบทในท่าสองมือยัดกระเป๋ากางเกง
“หลวงพ่อของเราแอบเสพสังวาสกับคุณนายปัวริสจริงๆ”
“คนต่างถิ่นกลุ่มนี้น่ะ แค่มองผิวเผินก็ดูออกว่ามีชาติตระกูล หลวงพ่อคงไม่กล้าทำอะไรพวกเขาแน่ มีแต่ต้องยอมจ่ายหนักเพื่อไม่ให้เรื่องฉาวโฉ่อย่างการเล่นชู้ในโบสถ์รั่วไหลออกไป”
“ฮึ! ใครสั่งใครสอนให้จ้องจะงาบโอลัวร์กันล่ะ! รอโอกาสแบบนี้มานานแล้ว…”
ขณะพึมพำ ลูเมี่ยนกลับถึงบ้านที่อยู่ชายขอบหมู่บ้าน
เป็นบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน ชั้นล่างใช้เป็นห้องรับแขกสลับกับห้องครัวตามโอกาส ติดตั้งเตาอบกับเตาแก๊สขนาดใหญ่
“โอลัวร์! โอลัวร์!” ลูเมี่ยนตะโกนขณะเดินขึ้นบันได
ไม่มีการตอบรับ
ชั้นสองของตัวบ้านประกอบด้วยสามห้องกับอีกหนึ่งห้องน้ำ ตอนนี้ประตูทุกบานกำลังเปิดอ้า
ลูเมี่ยนรีบกวาดสายตาผ่านๆ จนทั่ว แต่ก็ไม่พบพี่สาวของตน
ขบคิดอยู่สักพัก เขาตรงไปยังสุดทางเดิน แล้วปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา
หลังคาสีส้มแดงของบ้านถูกฉาบด้วยความมืดยามราตรี โดยมีร่างหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ใจกลาง พลางเงยคอมองท้องฟ้าอย่างเงียบงัน
อีกฝ่ายคือสตรีรูปงามอย่างแท้จริง ผมยาวสีทองดกหนา นัยน์ตาฟ้าอ่อน ใบหน้าเปล่งปลั่งสดใส
หญิงสาวกำลังจดจ่ออยู่กับแสงกะพริบวิบวับบนผืนนภา ไม่ไหวติงราวกับชิ้นงานประติมากรรม
ลูเมี่ยนไม่พูดไม่จา เพียงเดินเข้าหาสตรีคนดังกล่าวแล้วหย่อนก้นลง
เด็กหนุ่มแหงนหน้าเล็กน้อย ทอดสายตาไปทางภูเขาชอุ่ม พลางนั่งฟังเสียงลมพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ หญิงสาวยกแขนบิดขี้เกียจอย่างไม่แยแสสายตาใคร
“โอลัวร์ ฉันไม่ยักจะเข้าใจว่าทิวทัศน์เช่นนี้มีเสน่ห์ตรงไหน คุ้มกันหรือกับที่เธอต้องถ่อขึ้นมาชมบนหลังคาอยู่เนืองนิจ” ลูเมี่ยนเปิดปาก
“เรียกว่าพี่สิ!” โอลัวร์งอนิ้วแล้วมะเหงกใส่หัวลูเมี่ยนอย่างอ่อนโยน
ตามด้วยถอนหายใจ สีหน้าเริ่มดำคล้ำ
“นักปราชญ์ผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้…โลกของเรามีสองสิ่งที่ต้องเกรงกลัว หนึ่งคือศีลธรรมในจิตใจ และอีกหนึ่งคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหนือศีรษะของเรา”
ลูเมี่ยนจ้องใบหน้าเจือความโศกของพี่สาว ตามด้วยอมยิ้ม
“อันนี้ฉันตอบได้…คำกล่าวของจักรพรรดิโรซายล์ผู้ยิ่งใหญ่!”
“อุ๊บ…” โอลัวร์หลุดขำ
ทันใดนั้น หญิงสาวฟุดฟิดจมูกพร้อมกับเลิกคิ้วสีทองเงางาม
“ไปดื่มมาอีกแล้วใช่ไหม!”
“เรียกว่าการเข้าสังคมดีกว่า” ลูเมี่ยนถือโอกาสเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง “ฉันได้เจอกับคนต่างถิ่นสามคน…”
โอลัวร์อดขำไม่ได้
“ฉันล่ะกลัวหลวงพ่อของเราขวัญผวาจนจับไข้จริงๆ”
วินาทีถัดมา ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ลูเมี่ยน เลิกสร้างปัญหาให้หลวงพ่อเถิด เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก การหานักบวชคนใหม่นั้นยุ่งยากยิ่งกว่า”
“แต่ฉันเกลียดขี้หน้าเขา…” ยังไม่ทันที่ลูเมี่ยนจะพูดจบ โอลัวร์ลุกขึ้นยืน
เธอยิ้มพลางก้มมองน้องชาย
“เอาล่ะ! ได้เวลาเข้านอนแล้ว เจ้าน้องชายขี้เมา”
ระหว่างพูด โอลัวร์โปรยผงสีเงินหนึ่งหยิบมือ
จากนั้น ร่างของหญิงสาวลอยขึ้นประหนึ่งนก แล้วบรรจงร่อนลงจากหลังคา วกเลี้ยวกลับเข้าหน้าต่างชั้นสอง
ลูเมี่ยนมองอย่างตั้งใจอยู่สักพัก ตามด้วยตะโกนไล่หลัง
“แล้วฉันล่ะ!”
“ปีนลงมาเองสิ!” โอลัวร์ตอบจากในบ้านอย่างไร้เยื่อใย
มุมปากลูเมี่ยนสั่นกระตุก รอยยิ้มจางลงทุกขณะ
ดวงตาเด็กหนุ่มจดจ้องประกายแสงสีเงินที่อันตรธานหายอย่างรวดเร็วในความมืด ก่อนจะถอนหายใจพลางพึมพำ
“เมื่อไรเราจะมีพลังวิเศษแบบนี้บ้างนะ…”
…………………………………………………….