ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 196 กวาดล้าง
ตอนที่ 196 กวาดล้าง
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์? ลูเมี่ยนไม่คาดคิดกับคำตอบ
พรรคซาฟาห์และแก๊งหนามพิษที่เป็นคู่แข่งกัน กลับสนับสนุนผู้สมัครคนเดียวกัน?
ถ้าฮิวจ์·อาร์ทัวส์ชนะการเลือกตั้ง เขาจะช่วยแก๊งหนามพิษจัดการพรรคซาฟาห์ หรือช่วยพรรคซาฟาห์ขจัดแก๊งหนามพิษ หรืออยากให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสงบ?
ยิ่งลูเมี่ยนคิด ก็ยิ่งพบความไม่ปกติ
ถ้าพรรคซาฟาห์และแก๊งหนามพิษอยู่ภายใต้ผู้มีอิทธิพลเดียวกัน คือฮิวจ์·อาร์ทัวส์ ทั้งสองฝ่ายคงไม่ห้ำหั่นกันเลือดสาดขนาดนี้แน่!
ถึงแม้ลูเมี่ยนจะมีส่วนทำให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าว แต่เขาก็แค่ทำตามที่บอสกับบารอนบรินิแยร์สั่งมามิใช่เหรอ?
เหนือสิ่งอื่นใด ก่อนหน้านี้ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ยังไม่เคยเป็นแม้แต่สมาชิกสภาเทศบาล ปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับเลือกเป็นสส. แล้วจะเอาอำนาจอะไรมาคุ้มครองพรรคซาฟาห์กับแก๊งหนามพิษ?
คำอธิบายเดียวคือ นี่เป็นอิทธิพลจากพรรคหัวก้าวหน้า แต่พรรคหัวก้าวหน้าก็คงไม่ถึงกับเลี้ยงสองแก๊งอันธพาล แล้วปล่อยให้พวกมันสู้กันจนตายไปข้างหรอกกระมัง?
ลูเมี่ยนขาดประสบการณ์ด้านนี้ จึงใช้เวลาคิดนานพอสมควร แต่คิดเท่าไรก็หาคำตอบไม่ได้ จึงถอนหายใจพลางตัดพ้อ:
คงสั่งให้คนของพรรคซาฟาห์ไปข่มขู่มิให้ชาวบ้านเลือกฮิวส์·อาร์ทัวร์ไม่ได้แล้ว!
เด็กหนุ่มมองหน้าลูอิส ถามอย่างสงสัย
“ทำไมฉันถึงไม่รู้มาก่อนว่าพรรคซาฟาห์เราสนับสนุนฮิวจ์·อาร์ทัวส์?”
ลูอิสทำหน้าเครียดทันที
“ผมนึกว่าบารอนบอกลูกพี่แล้ว”
การส่งไม้ต่อเขาทำกันแบบนี้หรือ?
บารอนบรินิแยร์หงุดหงิดเพราะเสียไข่ทองคำอย่างคาบาเร่ต์ลมเอื่อยไป จึงไม่มีอารมณ์เตือนในหลายเรื่อง ยังไงพอถึงตอนที่ควรรู้เดี๋ยวก็ได้รู้เอง? ลูเมี่ยนรำพันในใจ แล้วออกจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อย เดินทางกลับโรงแรมระกาทอง
เขาขึ้นไปชั้นสาม ตรงไปยังห้องหมายเลข 5 ของอ็องโตนี·รีด นักค้าข่าว ยกมือเคาะประตูไม้
เสียงก๊อกๆ ดังก้องไปทั่ว แต่ไม่มีใครตอบ
ไม่อยู่สินะ… แหงสิ นักค้าข่าวที่ไหนจะอยู่บ้านทุกวัน… ลูเมี่ยนหยิบกระดาษโน้ตและปากกาซึมหมึกที่พกติดตัวออกมา ใช้ประตูห้องหมายเลข 5 เป็นโต๊ะ ขีดเขียนข้อความไวๆ
“ผมได้รับข่าวว่าลูอิส·ลุนด์จะมาที่ถนนใหญ่ตลาดในวันเสาร์ถึงวันอาทิตย์นี้ ช่วยจับตาดูความเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วย ถ้าเจอเขาให้รีบแจ้งผมทันที ผมจะอยู่ที่ห้อง 207 หรือไม่ก็คาบาเร่ต์ลมเอื่อย เงินส่วนที่เหลือจะจ่ายตามที่ตกลงกัน”
“ชาร์ล”
ยัดกระดาษโน้ตนั่นเข้าไปในรูใต้ประตูห้อง 305 แล้ว ลูเมี่ยนกลับไปที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยอีกครั้ง นั่งรอความเคลื่อนไหวอยู่ในร้านกาแฟ
เมื่อใกล้พลบค่ำ ลูกน้องหนึ่งคนที่คอยเฝ้าอยู่แถว 126 ถนนใหญ่ตลาด รีบวิ่งกลับมาที่คาบาเร่ต์แล้วตรงขึ้นชั้นสอง
เจอลูอิส·ลุนด์แล้ว? ลูเมี่ยนลุกพรวดทันที จ้องหน้าลูกน้องคนนั้น
ลูกน้องพลันสั่นสะท้านอย่างมิอาจอธิบาย รู้สึกเหมือนถูกสิงโตหิวโหยจ้องตา
ลูกน้องรีบพูดอย่างตะกุกตะกักโดยไม่รอให้ลูเมี่ยนถาม
“ลูกพี่… ท่าไม่ดีแล้วครับ!”
“ผมเห็น… เห็นตำรวจไปที่ลานเก็บของกันเพียบเลย!”
ลานเก็บของ? อสังหาฯ ของบอสสินะ? หืม… ข้างๆ ลานเก็บกองมีโกดังของ ‘มุสิก’ คริสโต… นี่คือผลจากการ ‘แจ้งข่าว’ ของฟรังก้า? ลูเมี่ยนนึกความน่าจะเป็นออกในทันที
ซึ่งนั่นทำให้เขาผิดหวังมาก
ช่างคนในกระจกมันสิ! ช่างอันตรายซ่อนเร้นมันสิ! ในสายตาของเด็กหนุ่ม เรื่องนี้ไม่อาจเทียบได้แม้แต่ผมสักเส้นของลูอิส·ลุนด์!
ลูเมี่ยนฝืนข่มอารมณ์และความตื่นเต้นที่คุกรุ่นอยู่ในกาย เพียงพูดกับลูกน้องคนนั้น
“เข้าใจแล้ว เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”
“ตอนนี้นายกลับไปที่ตำแหน่งเดิม เฝ้าดูคนบนประกาศจับต่อไป อีกสักครึ่งชั่วโมง ฉันจะส่งอีกสี่คนไปเปลี่ยนกับพวกนาย”
“ครับ ลูกพี่” ลูกน้องถอนหายใจ หมุนตัวเดินลงบันได
มันยังคงสั่นเทิ้ม
นี่เกิดจากความตื่นเต้นและปลาบปลื้ม เพียงเพราะคิดว่าลูกน้องจะนำข่าวของลูอิส·ลุนด์มาบอก
อารมณ์ของเรายังไม่มั่นคงสินะ… ไม่เป็นไร วันอาทิตย์นี้ก็จะเข้ารับการบำบัดแล้ว… ลูเมี่ยนถอนใจเงียบ แล้วนั่งลงจิบกาแฟ
เพื่อต้อนรับลูอิส·ลุนด์ด้วยสภาพที่ดีที่สุด เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะสั่งเหล้า
…………
ด้านนอกโกดังของ ‘มุสิก’ คริสโต
ตัวเขากับลูกน้องส่วนใหญ่ รวมถึงคนยกของ กำลังยืนรวมตัวกันพร้อมหน้า รายล้อมด้วยตำรวจชุดดำราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบนายที่ล้วนถือปืน
คริสโตแสร้งยิ้มประจบประแจงต่อหน้าผู้กำกับทราวิส·เอเวอเรตต์ที่ตนรู้จัก
“ท่านผู้กำกับ… ทำไมถึงมาล้อมโกดังกะทันหันแบบนี้?”
“ผมทำธุรกิจถูกกฎหมายนะครับ!”
เอเวอเรตต์ผู้มีอายุราวๆ สามสิบ สวมแว่นดำ คางค่อนข้างเหลี่ยม มองคริสโตอย่างเคร่งขรึม
“อย่าคิดว่าเราไม่รู้ฉากหลังของคุณ ที่ตำรวจไม่เคยทำอะไร เพราะคุณยังพอรู้กฎอยู่บ้าง รู้ว่าอะไรควรไม่ควร… ทางออกเดียวของคุณในตอนนี้ก็คือ ให้ความร่วมมือกับเรา รีบสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
จากคำพูดของผกก. เอเวอเรตต์ คริสโตฉลาดพอจะเข้าใจว่ายังมีหวัง จึงรีบพยักหน้าตอบ
“ได้ครับ… ได้ครับ ไม่มีปัญหา!”
เขากระจายสินค้ารอบก่อนออกไปหมดแล้ว ตราบใดที่ยังไม่เจอบัญชีจริง ก็ไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรมมาดำเนินคดีได้
เอเวอเรตต์เจ้าของผมดำตัดสั้น หันข้างไปคุยกับชายอีกคน
“เชิญรองผู้ช่วยผบ.ตร. เริ่มได้เลยครับ”
ชายคนดังกล่าวหน้าตาหยาบกร้าน ผมบลอนด์ฟูฟ่อง คิ้วและหนวดสีบลอนด์ สวมชุดตำรวจสีดำค่อนข้างรัดรูป กระดุมทำจากทองคำทั้งหมด
อินทรธนูบนไหล่มีดอกโกฐสอเทศสีเงินเจ็ดกลีบ ข้างๆ มีรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเล็กๆ สีขาวนวล
นี่แสดงถึงตำแหน่งรองผู้ช่วยผบ.ตร.
เหนือผู้กำกับขึ้นไป กรมตำรวจทรีอาร์ยังมีอีกสี่ระดับ จากต่ำถึงสูงคือ ผู้บังคับการ รองผู้ช่วยผบ.ตร. ผู้ช่วยผบ.ตร. และรองผบ.ตร.
โดยตำแหน่งแล้ว รองผบ.ตร. ในกรุงทรีอาร์จะมีแค่คนเดียว นั่นคืออธิบดีกรมตำรวจทรีอาร์ ทั่วทั้งสาธารณรัฐอินทิสมีเพียงอธิบดีกรมตำรวจแห่งชาติเท่านั้นที่ยศสูงกว่า
ผู้ช่วยผบ.ตร. และรองผู้ช่วยผบ.ตร. จะมีตำแหน่งเป็น ‘กรรมาธิการตำรวจ’ และ ‘รองกรรมาธิการตำรวจ’ แห่งกรมตำรวจทรีอาร์ บนอินทรธนูจะติดรูป ‘สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด’ สีขาวนวลข้างๆ ดอกโกฐสอเทศเจ็ดกลีบ โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะมีสี่อัน รองผบ.ตร. มีสามอัน ผู้ช่วยผบ.ตร. มีสองอัน รองผู้ช่วยผบ.ตร. มีหนึ่งอัน ส่วนผู้บังคับการไม่มี
นั่นหมายความว่า ชายผมบลอนด์หนวดบลอนด์หน้าตาหยาบกร้านผู้นี้ มีตำแหน่งเทียบเท่ากรรมาธิการไอเมิร์ค ผู้ดูแลเขตตลาดคนซื่อทั้งหมด แต่คริสโตไม่รู้จักเขาเลย
“เรียกผมว่าอ็องกูแลมก็พอ” รองผู้ช่วยผบ.ตร. หน้าตาหยาบกร้านตอบสั้นๆ
สายตาของเขากวาดผ่านไปที่คริสโต เออร์เคน และพวกที่เหลือ ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาด คล้ายมองเห็นแสงแดดจ้าจนต้องรีบก้มหน้าลงต่ำ
อ็องกูแลมถอนสายตากลับ พูดกับลูกทีมในชุดไปรเวตที่อยู่ด้านหลัง
“เอาสิ่งนั้นออกมา”
ลูกทีมสองคนเดินไปที่รถม้าสี่ล้อที่จอดอยู่ไม่ไกล ยกของชิ้นหนึ่งที่กว้าง แบน และใหญ่ คลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำลงมา
จากนั้น พวกเขาตั้งสิ่งนั้นไว้ด้านข้างอ็องกูแลม
อ็องกูแลมมองไปยัง ‘มุสิก’ คริสโตและพวกพ้อง พูดพลางเชิดคางเล็กน้อย
“พวกคุณมาเข้าแถวเรียงหนึ่งตรงหน้าผม”
คริสโตสัมผัสได้ว่า วัตถุชิ้นเล็กในกระเป๋าเสื้อของตนกำลังสั่นระริก จึงเดาว่าอ็องกูแลมคงเป็นผู้วิเศษของทางการ และต้องแข็งแกร่งมาก
หลังจากชั่งใจสักครู่ เขาไม่กล้าขัดขืน จึงก้าวไปยืนหน้าอ็องกูแลมด้วยอาการสั่นกลัว
อ็องกูแลมเปิดผ้ากำมะหยี่สีดำออก เผยให้เห็นวัตถุด้านในอย่างชัดแจ้ง
มันคือกระจกเงาเต็มตัว ลวดลายโบราณ ติดตั้งบนขาตั้งเหล็กสีดำขึ้นสนิม
ภาพของคริสโตปรากฏบนผิวกระจกทันที เผยให้เห็นทุกรายละเอียดอย่างคมชัด
คริสโตไม่พบความผิดปกติ แต่เออร์เคนที่อยู่ข้างหลังเขา สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน
เออร์เคนรีบเบี่ยงซ้าย พยายามวิ่งหนี
พวกพ้องอีกร่วมยี่สิบชีวิตก็ทำแบบเดียวกัน รวมถึงกรรมกรยกของบางส่วน
ปังปังปัง!
ลูกทีมที่ติดตามอ็องกูแลมมา ต่างเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว พากันยกแขนขึ้น กดไกปืนอย่างเลือดเย็น
กระสุนปืนถูกระดมยิง พุ่งเข้าหากลุ่มคนที่พยายามหนีอย่างแม่นยำ แต่กลับกลายเป็นคล้ายยิงใส่ภาพลวงตา ผ่านทะลุไปเลย ตกกระทบในตำแหน่งห่างไกล
อ็องกูแลมยื่นมือซ้ายออกไปอย่างเฉยเมย ปรับทิศทางของกระจกเงาข้างลำตัว
กระจกบานดังกล่าวสะท้อนร่างเออร์เคนทันที แต่พื้นหลังกลับมืดสนิท
เออร์เคนพลันชะงักงัน อิริยาบถค้างไว้ในท่าวิ่งหนี
จากนั้น ใบหน้าของเขาท่วมท้นไปด้วยความหวาดผวา สุดท้ายก็ถูกกระจกเงาดูดเข้าไปอย่างมิอาจขัดขืน
เมื่อร่างคนชนกับกระจก ร่างของเออร์เคนก็หายวับไปกับตา
ไม่นานก็โผล่ขึ้นบนกระจก ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบเลือด สีหน้ากลายเป็นดุร้าย เปี่ยมด้วยความพยาบาทเคียดแค้น
เขาอ้าปากกว้าง คล้ายกำลังตะโกนเสียงดัง แต่ก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นเริ่มฉุดกระชาก ค่อยๆ หายเข้าไปในพื้นหลังอันมืดมิดผิดธรรมชาติ จนกระทั่งลับสายตาไป
คริสโตที่เห็นเหตุการณ์ทำได้เพียงตะลึงงัน ลืมการช่วยน้องชายตัวเอง
ในหัวมีเพียงความคิดเดียวดังก้อง
“พวกเขามีปัญหาจริงๆ …”
ขณะเดียวกัน ลูกทีมของอ็องกูแลมช่วยกันควบคุมคนที่วิ่งหนี พลังวิเศษต่างๆ นานาคอยกำราบคนธรรมดาจนตัวสั่นงันงก คุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะต่ำ
…………
ในคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ลูเมี่ยนนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ ฟังจินนาร้องเพลง
สองชั่วโมงถัดมา เขาได้รับข่าวว่า ‘มุสิก’ คริสโตปลอดภัยดี แต่ลูกน้องตายไปส่วนหนึ่ง
งานไวเอาเรื่อง… เด็กหนุ่มนึกชื่นชมผู้วิเศษทางการประจำเขตตลาด
เมื่อเพลงลามกจบลง ผู้หญิงคนหนึ่งที่รอข้างเวทีมาได้สักพักแล้ว รีบวิ่งขึ้นเวที เป้าหมายคือนักดนตรีหนุ่มคนหนึ่ง เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นสองสามทีแล้วจึงพูด
ดูเหมือนเธอจะพูดว่า มีใครบางคนเสียชีวิต
สมาชิกวงดนตรีคนดังกล่าวแน่นิ่งไปทันที หน้าตางุนงงสุดขีด ราวกับข่าวที่เพิ่งได้ยิน สะเทือนขวัญเกินไป ยังทำตัวไม่ถูกในช่วงแรก
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาโยนกีตาร์โรซายล์หกสายที่สะพายอยู่ทิ้ง แล้ววิ่งพรวดลงเวที
วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็สะดุดล้มหน้าคะมำ พยายามดิ้นรนสองสามหน แต่สุดท้ายก็ลุกไม่ไหว
จากนั้นก็ปล่อยโฮ
จินนาในชุดราตรีสีแดงประดับเลื่อม จ้องมองอยู่สักพัก เม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็มิได้เดินไปปลอบใจ ปล่อยให้นักดนตรีคนดังกล่าวและผู้หญิงที่มาแจ้งข่าว กอดกันพลางร่ำไห้
เธอเดินลงเวทีโดยไม่พูดไม่จา สวนกับลูเมี่ยนที่ลุกออกจากเคาน์เตอร์บาร์
“เกิดอะไรขึ้น” ลูเมี่ยนถาม
จินนาถอนหายใจไร้เสียง แล้วจึงเล่า
“เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พ่อของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต”
“ฉันรู้จักเขา รู้ว่ากว่าเขาจะได้มาเรียนดนตรีไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อเป็นกรรมกรยกของ แม่เป็นคนล้างจาน ถ้ามิใช่เพราะพวกท่านทุ่มเททุกอย่างทั้งกายและใจ ป่านนี้เขาคงได้ไปเป็นแค่กรรมกร…”
อุบัติเหตุเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน… กรรมกรยกของ… ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจสาเหตุอย่างคร่าวแล้ว
เด็กหนุ่มมองไปทางเวทีอย่างเงียบงัน
…………………………………………………….