ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 186 รอยเท้าประหลาด
ตอนที่ 186 รอยเท้าประหลาด
ฟรังก้าถือโคมไฟคาร์ไบด์สีเหล็ก มองไปยังถนนที่ถูกเสาหินขนาบสองฝั่ง รู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงถามกับแฟร์น็องเดซ นักลักลอบขนของเถื่อนที่กำลังเดินนำทางอยู่
“นี่มันทางไปเขตหอดูดาวไม่ใช่หรือไง?”
แม้จะไม่มีใครล่วงรู้โครงสร้างภาพรวมของใต้ดินทรีอาร์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่อุโมงค์ในชั้นนี้มีป้ายกำกับที่สอดคล้องกับถนนบนดิน ฟรังก้าพยายามนึกทบทวน แล้วพบว่าทิศทางดูจะไม่ถูกต้องนัก
การลักลอบนำเข้าสินค้า ต้องเกิดจากภายนอกสู่ภายในเมืองเท่านั้น แต่เขตหอดูดาวเมื่อเทียบกับเขตตลาดคนซื่อ จะอยู่ใกล้กับใจกลางกรุงทรีอาร์มากกว่า โดยมีเพียงแม่น้ำเซอเรนโซ่คั่นกลาง
แฟร์น็องเดซ นักลักลอบขนของเถื่อนในสังกัด ‘มุสิก’ คริสโต หันกายครึ่งหนึ่งมาอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“เส้นทางลับต้องไปที่เขตหอดูดาวก่อน พวกเราจะย้ายสินค้าไปที่โกดังในเขตนั้นทุกครั้ง”
“อย่างนี้นี่เอง” ฟรังก้าชะลอฝีเท้าลง เว้นระยะห่างจากแฟร์น็องเดซ ผู้สวมหมวกสักหลาดสีน้ำตาลให้มากขึ้น
เนื่องจากยังไม่เข้าสู่เส้นทางลักลอบขนสินค้า ตอนนี้จึงยังไม่ต้องทำอะไร เธอหันมาพูดคุยเสียงเบากับลูเมี่ยนข้างๆ
“ได้ยินว่าคุณนำตะกอนพลัง ‘กลาดิเอเตอร์’ ไปแลกกับเงิน 18,000 เฟลคินจากการ์ดเนอร์”
“คุณรู้ไหมว่านั่นคือตะกอนพลัง หรือพูดอีกอย่างก็คือ คุณเข้าใจความหมายที่แท้จริงของตะกอนพลังไหม?”
“พี่สาวเคยสอนแล้ว” ลูเมี่ยนโยนให้เป็นความดีความชอบของคำสอนโอลัวร์
ฟรังก้าที่ตัวค่อนข้างสูงและขายาว ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักก็เดินด้วยความเร็วเดียวกับเด็กหนุ่ม
เธอทอดถอนใจจากก้นบึ้ง
“การมีคนคอยสอนนี่ดีจริงๆ เมื่อก่อนพวกเราเป็นแค่ฝูงคนตาบอด ต้องคลำหาทางกันเอาเอง ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่เลือก…”
เสียงของเธอเบาลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เป็นเสียงถอนหายใจยาว
นี่ทำให้ลูเมี่ยนนึกถึงคำพูดที่ไม่แน่ใจว่าเป็นของโอลัวร์ หรือเป็นของโรซายล์ที่โอลัวร์นำมาเล่าต่อ
“เมื่อคนเราทำผิดพลาดร้ายแรง มันจะกลายเป็นสิ่งที่เราเกลียดชังไปตลอดชีวิต”
ฟรังก้าจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ในทันที หรี่เสียงเตือนลูเมี่ยนเบาๆ
“คุณเพิ่งเข้าสู่โลกของศาสตร์เร้นลับ นอกจากความรู้แล้ว คุณยังขาดอีกหลายอย่าง”
“คุณอย่างกกับเงินก้อนนั้น เอามันไปซื้อสมบัติวิเศษหรืออาวุธวิเศษสักชิ้นเพื่อชดเชยข้อบกพร่องด้านยุทธวิธีศาสตร์เร้นลับของ ‘นักล่า’ … ไม่อย่างนั้น ถ้า ‘แมงป่องดำ’ อยากแก้แค้นคุณจริงๆ หมอนั่นไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก แค่ส่งผีสักสองสามตัวมาหาก็จบแล้ว”
“ถ้าคุณสนใจ ฉันช่วยดูให้ได้นะ”
ลูเมี่ยนยิ้มทันที
“ผมซื้อมาแล้ว”
“ไวจัง?” ฟรังก้าแทบจะควบคุมเสียงไว้ไม่อยู่ ทำเอาแฟร์น็องเดซถึงกับสะดุ้งหันกลับมามอง
อีกฝ่ายยืนอยู่ค่อนข้างไกล แสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ยังทำให้เกิดเงาซ้อนทับ ลูเมี่ยนจึงดูไม่ออกว่าแฟร์น็องเดซกำลังทำหน้าแบบไหน และเข้าใจบทสนทนาไปในทิศทางใด
เด็กหนุ่มตอบอย่าง ‘ซื่อสัตย์’
“ก่อนที่ผมจะเข้าพรรคซาฟาห์ ก็ได้ลองค้นหาข้อมูลการชุมนุมของคนคลั่งไคล้ศาสตร์เร้นลับผ่านนิตยสาร ‘สื่อวิญญาณ’ จนได้พบกลุ่มที่มีพลังวิเศษจริงๆ จึงเอาเงินที่บอสให้มาไปซื้อสมบัติวิเศษจากที่นั่น”
“นึกแล้วเชียว…” ฟรังก้าทำหน้าเข้าใจ พร้อมกับชมลูเมี่ยนหนึ่งประโยค “คุณฉลาดกว่าที่ฉันคิดไว้มาก… อา… เป็นสมบัติวิเศษที่ช่วยเสริมยุทธวิธีทางศาสตร์เร้นลับใช่ไหม?”
ลูเมี่ยนตอบ ‘เถรตรง’
“แว่นตาจาก ‘นักกฎหมาย’ แต่ดูเหมือนจะถูกปนเปื้อนด้วยพลังประหลาดบางชนิด”
เขาพูดไปพลางหยิบแว่นส่องความลับออกมาอวด
“มันช่วยให้ผมเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นในยามปกติ…”
“อันตรายนะนั่น” ฟรังก้าขมวดคิ้วสีน้ำตาลที่ลากยาวมาข้างขมับ ขัดจังหวะการเล่าของลูเมี่ยน
“ผมรู้” ลูเมี่ยนอธิบายด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าเลือกสถานที่ให้ดี ป้องกันตัวเองล่วงหน้า อันตรายก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น… มันช่วยในการปลอมตัว แถมยังมาพร้อมยุทธวิธีทางศาสตร์เร้นลับ…”
ลูเมี่ยนเล่าคร่าวๆ เกี่ยวกับ ‘แรงกระหายอยากวาดภาพ’ ที่เกิดขึ้นหลังจากสวมใส่แว่นส่องความลับ
หางม้าที่ถูกรวบไว้ด้านหลังศีรษะฟรังก้า ขยับตามจังหวะพยักหน้า
“มันมีประโยชน์จริงๆ นั่นแหละ ถ้าฉันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคุณ ก็คงจะเลือกมันเหมือนกัน…”
“โชคดีที่พวกหัวหน้าหน่วยแก๊งหนามพิษ กับพวกมือปืน ไม่เคยเห็นหน้าคุณชัดๆ มาก่อน จุดสังเกตเดียวมีแค่สีผมแปลกๆ เท่านั้น… ไม่อย่างนั้นพวกมันคงรู้ตัวจริงของคุณแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เพียงแค่ส่งข้อมูลพร้อมใบประกาศจับไปที่กองบัญชาการตำรวจและวิหารอีกสองแห่ง ก็สามารถบรรลุการแก้แค้นได้ง่ายๆ”
ลูเมี่ยนอมยิ้ม
“แต่ตอนนี้ผมเลือกเวลานัดดื่มกาแฟกับผกก. เอเวอเรตต์ได้แล้ว”
นัยน์ตาสีฟ้าทะเลสาบของฟรังก้าฉายแววยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณยอมเล่าหมดเปลือกเกี่ยวกับชุมนุมลับและไพ่ตายของตัวเอง… จินนาชอบพูดให้ฟังบ่อยๆ ว่า คุณน่ะเจ้าเล่ห์เพทุบาย ชอบหลอกปั่นหัวเธอ… ไหงตัวจริงซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาขนาดนี้? อา… คงเพราะความสัมพันธ์ของเราต่างจากคนอื่นๆ ด้วย…”
“ฉันยังเถียงเธอไปว่า น้องชายของ ‘มักเกิ้ล’ ไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นแน่!”
ลูเมี่ยนเกิดรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ
“อา… เธอเข้าใจผมผิดไปไกลเลยล่ะ”
ทั้งสองคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมาถึงใต้ดินเขตหอดูดาว ก่อนจะเลี้ยวเข้าอุโมงค์ที่ทอดยาวไปทางทิศใต้
ผ่านไปสักพัก แฟร์น็องเดซก็หยุดอยู่หน้า ‘บ่อทางเดินสำรอง’ ภายในเหมืองหินโพรงหนึ่ง
เขาวางโคมไฟคาร์ไบด์จ่อกับปากบ่อ ชี้ลงไปแล้วพูด
“ลงข้างล่างครับ”
ท่ามกลางแสงสีน้ำเงิน ลูเมี่ยนมองลงไปยังก้นบ่อ พบว่าบ่อนี้ถูกทิ้งร้างมานาน ดูเหมือนจะถูกเศษหินอุดตันไปหมดแล้ว
อาศัยร่องบนผนังบ่อ เชือกที่ซ่อนอยู่ในเงามืด และบันไดเหล็กหยาบๆ ที่ตอกอยู่ข้างตะไคร่ ทั้งสามปีนลงไปถึงก้นบ่ออย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินพ้นอุโมงค์ที่มีอากาศค่อนข้างแย่ ทางด้านหน้าก็กว้างขึ้นกะทันหัน เหมือนเข้าไปอยู่ในโพรงเหมืองหินอีกแห่งหนึ่ง
ที่นี่ทั้งเงียบและมืดยิ่งกว่าเดิม เพดานโถงชื้นมาก รอบๆ แทบไม่เห็นตะไคร่เลย
ลูเมี่ยนกับฟรังก้าต่างก็ถือโคมไฟคาร์ไบด์คนละดวง ทั้งสองเดินช้าลง สอดส่ายสายตาสำรวจหาร่องรอยตามเส้นทางลักลอบขนของเถื่อน
พวกเขาเดินไปอีกพักใหญ่ จนกระทั่งแฟร์น็องเดซชี้ไปยังอุโมงค์ที่ไม่ไกลนักพร้อมกับพูด
“ลูกพี่ของเรากับบารอนบรินิแยร์ก็มิได้คว้าน้ำเหลวเสียทีเดียว พวกเขาพบว่ารอยเท้าของกองคาราวานหายไปเฉยๆ ตรงนั้น”
ตรงนั้นเป็นทางเดินที่เชื่อมระหว่างโพรงเหมืองหินสองโพรง เต็มไปด้วยเศษหินกับหลุมบ่อ ไกลออกไปเป็นความมืดสนิท ปราศจากแสงโดยสิ้นเชิง
ลูเมี่ยนกับฟรังก้ารีบตามไปดูจุดที่รอยเท้าล่าสุดขาดหายไปอย่างกะทันหัน แล้วนั่งยองลง ตรวจสอบอย่างพิถีพิถัน
“มีแต่รอยเท้าขาออก ส่วนรอยเท้าขาเข้าหายไปอย่างกะทันหันตรงนี้…”
“ส่วนใหญ่ขาเข้าจะต้องแบกของหนัก รอยเท้าย่อมลึกกว่า ดูแตกต่างจากรอยเท้าขาออกอย่างชัดเจน… เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเดินถอยหลังทับรอยเท้าเดิมเป๊ะๆ ทีละก้าว…” ลูเมี่ยนสรุปอย่างรวดเร็ว
ฟรังก้ามองกวาดไปรอบๆ ก่อนจะลุกแล้วพูด
“ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ด้วย”
“ช่างน่าพิศวงจริงๆ!”
จากนั้น เธอส่งสัญญาณบอกให้แฟร์น็องเดซออกไปก่อน รอที่โพรงเหมืองหินที่เพิ่งเดินผ่านกันมา
รอจนกระทั่งโคมไฟคาร์ไบด์ของแฟร์น็องเดซหายไปในระยะไกล ฟรังก้าหยิบกล่องเครื่องสำอางเล็กๆ กับผ้าเช็ดหน้าลายตารางสีฟ้าพื้นขาวออกมา
ผ้าเช็ดหน้าเป็นของใช้ประจำตัวของเออร์เคน น้องชาย ‘มุสิก’ คริสโต ซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อที่หายตัวไป
ฟรังก้าวางโคมไฟคาร์ไบด์ลง เปิดฝากล่องสีทองอ่อน ยื่นมือไปลูบกระจกด้านใน
ขณะเดียวกันก็กำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้ พลางท่องประโยคภาษาเฮอร์มิสซ้ำๆ
“ตำแหน่งปัจจุบันของเออร์เคน ตำแหน่งปัจจุบันของเออร์เคน…”
อุโมงค์ที่มืดอยู่แล้ว ยิ่งมีบรรยากาศน่าอึดอัด แสงจากโคมไฟคาร์ไบด์สองดวงถูกพลังลึกลับบรรเทาความสว่าง กระจกขนาดเท่าฝ่ามือเริ่มกระเพื่อมวารี ดุจดังกำลังฉายภาพเหตุการณ์จากก้นแม่น้ำอันมืดมิด
ลูเมี่ยนยังนับเลขในใจไม่ถึงสาม ภาพบนผิวกระจกก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เหล่ากรรมกรที่แบกหีบไม้ทีละใบ กับกลุ่มนักลักลอบขนสินค้าที่บ้างก็ถือปืนพก บ้างก็ถือปืนยาว กำลังเดินไปตามทางเดินในอุโมงค์อย่างเชื่องช้า ยิ่งพวกเขาเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ความมืดก็ค่อยๆ คลานตามมาด้านหลังในจุดที่แสงสว่างส่องไม่ถึง จนกระทั่งแสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ลับสายตาไป บนกระจกเงาก็เหลือเพียงสีดำสนิท
“พวกเขาหายตัวไปแถวนี้จริงๆ” ฟรังก้าหยุดการทำนายเม้มปากแดงเรื่อเบาๆ “แต่ก็มองอะไรไม่ออกเลย”
ลูเมี่ยนไม่คิดจะลองใช้ ‘แว่นส่องความลับ’ ส่องดู ตามความคิดของเขา ใต้ดินกรุงทรีอาร์เต็มไปด้วยอันตราย ซุกซ่อนสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย ทั้งมรดกจากยุคสมัยที่สี่ กระดูกเน่าเหม็นสกปรก สุสานใต้ดินที่ต้องปฏิบัติตามกฎเฉพาะ วิญญาณมงต์ซูรีที่ยังคงวนเวียนมานานหลายปีโดยไม่ถูกกำจัด ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าสืบหาความจริง หากเขามองผ่านแว่นส่องความลับ เกรงว่ามันคงจะระเบิดคามือ
และเมื่อถึงตอนนั้น ใต้ดินกรุงทรีอาร์ก็จะมีตำนานเกี่ยวกับเทพมารเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง
ดังนั้น ลูเมี่ยนจะช่วยเหลือเท่าที่ทำไหวเพราะเห็นแก่หน้าของบอสใหญ่พรรคซาฟาห์ แต่จะไม่ทุ่มเทเต็มร้อยหรือเอาตัวเองไปเสี่ยง
อย่าลืมว่าคนที่เสียหายในคราวนี้คือ ‘หนู’ คริสโต ไม่ได้เกี่ยวกับ ‘ราชสีห์’ ชาร์ลสักหน่อยนี่?
คลังเก็บเหล้าของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยยังแน่นขนัดอยู่มาก!
ฟรังก้ามองเขาปราดหนึ่ง ไม่มีท่าทีจะโยนความกดดัน
‘บูตแดง’ เก็บผ้าเช็ดหน้าของเออร์เคนกลับไป หยิบโคมไฟคาร์ไบด์ขึ้นมาและพูดกับลูเมี่ยน
“กลับไปหาแฟร์น็องเดซกันเถอะ ให้เขาพาเราเดินต่อ บางทีอาจจะมีเบาะแสหลงเหลืออยู่ที่อื่นบ้าง”
“ตกลง” ลูเมี่ยนรู้สึกว่าฟรังก้าก็ไม่ได้ต่างจากตน แค่ทำตามหน้าที่ของสมาชิกพรรคซาฟาห์คนหนึ่งเท่านั้น
ทั้งสองหันหลังกลับ ถือโคมไฟของตัวเองเดินกลับไป จุดหมายคือโพรงหินก่อนหน้าที่อยู่หลังความมืดไกลลิบๆ
เดินไปได้สิบกว่าก้าว ลูเมี่ยนก็หยุดกะทันหันแล้วทำหน้าเครียด
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟรังก้าถามอย่างสงสัย
ลูเมี่ยนชี้ไปบนพื้นที่มีเพียงเศษหินกับหลุมบ่อ ก่อนจะพูดเสียงเข้ม
“รอยเท้าหายไปแล้ว…”
“รอยเท้าขาออกพวกลักลอบ กับรอยเท้าใหม่ของเราที่เพิ่งเดินเข้ามา… หายไปหมดแล้ว!”
“แต่กลับมีรอยเท้าหนักๆ ของกลุ่มที่ขนของเพิ่มมาแทน!”
ฟรังก้าพลันตื่นตระหนก รีบก้มมองพื้นและพบความยุ่งเหยิงเต็มไปหมด รอยเท้าของเธอ ลูเมี่ยน และแฟร์น็องเดซที่เพิ่งเข้ามาในอุโมงค์ไม่เหลืออยู่แล้ว แต่รอยเท้าหนักๆ ของคาราวานที่หายตัวไปอย่างกะทันหัน ได้กลับมาปรากฏอีกครั้งอย่างเป็นปริศนา!
…………………………………………………….