ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 179 อาหารมื้อใหญ่
ตอนที่ 179 อาหารมื้อใหญ่
มองเถ้าถ่านของกระดาษที่ลอยอยู่ตรงหน้า ลูเมี่ยนนึกถึงความกดดันที่มิสเตอร์ K มอบให้อีกครั้ง
“ที่แท้แก่นของ ‘คนเลี้ยงแกะ’ คือการ ‘ปล่อยแกะ’ … สื่อถึงการปลดปล่อยวิญญาณและตะกอนพลังของผู้วิเศษหรือสัตว์วิเศษออกมา เพื่อใช้ความสามารถของพวกเขา…”
“ด้วยเหตุนี้ ‘คนเลี้ยงแกะ’ เจนศึกจึงไม่มีจุดอ่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นการสู้ประชิดตัว ศึกระยะไกล หรือยุทธวิธีทางศาสตร์เร้นลับต่างๆ …”
“ว่ากันตามตรง ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ คล้ายกับเป็นรุ่นลดระดับของ ‘คนเลี้ยงแกะ’ โดยหนึ่งพันธสัญญาจะสอดคล้องกับพลังหนึ่งชนิดเท่านั้น เมื่ออยู่ในลำดับต่ำ จำนวนพันธสัญญาที่ทำได้ถือว่ายังน้อย อ้างอิงจากสัตว์ประหลาด ‘ปาก’ ตัวนั้น คงได้ไม่เกินสามพันธสัญญา อย่างมากก็ห้าพันธสัญญา หากเลือกความสามารถไม่ดีพอ อาจแพ้แม้กระทั่งคนธรรมดาที่ถืออาวุธ ไม่เหมือนกับ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ที่แค่ปลดปล่อยผู้วิเศษออกมาคนเดียว ก็สามารถใช้พลังได้หลายอย่างแล้ว… แทบไม่มีจุดบอดเลย…”
“แน่นอน เมื่อไปถึงระดับของหลวงพ่ออธิการโบสถ์ พันธสัญญาที่ทำได้อาจมากถึงหลักยี่สิบฉบับ ซึ่งจะมอบประสบการณ์ที่แตกต่าง อีกทั้ง คู่สัญญามักเป็นสัตว์โลกวิญญาณที่มีพลังพิสดารและหลากหลาย ย่อมทำให้ผู้วิเศษที่เพิ่งเคยสู้กัน จับทางได้ยากมาก…”
ยิ่งคิด ลูเมี่ยนก็ยิ่งรู้สึกว่ามิสเตอร์ K นั้นน่ากลัว
เด็กหนุ่มเริ่มสลัดความคิดที่รุมเร้า ลุกขึ้นยืนแล้วรำพันทอดถอนใจ
ไม่แปลกใจที่มาดามเมจิกเชี่ยนเชื่อว่ามิสเตอร์ K สามารถรับมือซูซานน่า·มาติสที่กลายเป็นวิญญาณมารได้…
เดินออกจากห้อง ลูเมี่ยนไปหยุดอยู่หน้าลูอิสกับซาโกตา พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ให้ครัวเตรียมอาหารเย็นเถอะ”
“ลูกพี่อยากกินอะไรครับ?” ลูอิสชิงถามตัดหน้าซาโกตา
ลูเมี่ยนไม่เคยนั่งจำเมนูในร้านกาแฟของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ครุ่นคิดสักพักแล้วจึงพูด
“เอาอาหารเซตมาชุดนึง พวกนายก็มากินด้วยกัน”
“ครับ” ลูอิสส่งสัญญาณบอกให้ซาโกตาไปแจ้งกับเด็กเสิร์ฟในร้านกาแฟ
ลูเมี่ยนนั่งลงที่โต๊ะประจำของบารอนบรินิแยร์ แล้วหยิบหนังสือพิมพ์รายวันขึ้นมา
วางไว้บนสุดคือ ‘ทรีอาร์เดลี่’ ตามด้วย ‘ปฏิรูปรายวัน’ ‘ปากเสียงประชา’ ‘จริต’ ‘อินทิสเดลี่’ ‘มิตรประชา’ และหนังสือพิมพ์หัวใหญ่อื่นๆ
ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะหันไปถามลูอิสด้วยความขบขัน
“บรินิแยร์อ่านพวกนี้เป็นประจำเลยหรือ?”
หมอนั่นเป็นหัวหน้าหน่วยที่สนใจการขับเคลื่อนประเทศด้วย?
มองไปทางซาโกตาข้างๆ ลูอิสตอบยิ้มๆ
“เขาไม่ได้อ่านหรอกครับ แค่บอกพวกเราว่าอย่าไปทำให้นักข่าวกับสำนักพิมพ์พวกนี้โกรธ หนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลก็สมัครสมาชิกไว้ บางครั้งบางคราวก็จ่ายเงินลงโฆษณาคาบาเร่ต์ลมเอื่อย เนื้อหาทำนองว่าที่นี่มีหางเครื่องสาวพราวเสน่ห์รอทุกคนอยู่…”
“ปกติเขาจะอ่านแค่สามฉบับล่างสุด ทั้งหนังสือพิมพ์และนิตยสาร”
อย่าไปทำให้สำนักพิมพ์กับนักข่าวพวกนี้โกรธสินะ… ก็จริง ถ้ามีข่าวแก๊งอันธพาลใหญ่แห่งเขตตลาดได้ขึ้นพาดหัวของ ‘ทรีอาร์เดลี่’ พรรคซาฟาห์คงถึงจุดจบในวันรุ่งขึ้น… คนใหญ่คนโตพวกนั้นยิ่งหน้าบางกันอยู่… ลูเมี่ยนได้เรียนรู้เพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง
เด็กหนุ่มดึงหนังสือพิมพ์กับนิตยสารฉบับล่างๆ ออกมา
ประกอบด้วย ‘บันเทิงคดีรายสัปดาห์’ ‘สุนทรียศิลป์ของบุรุษ’ และ ‘หน้าทะเล้น’ ซึ่งตีแผ่ข่าวลือกับมุกตลกใหม่ๆ ในกรุงทรีอาร์
น่าสนใจกว่า ‘ปฏิรูปรายวัน’ หรือ ‘จริต’ ตั้งเยอะ… ลูเมี่ยนหยิบบันเทิงคดีรายสัปดาห์ขึ้นมาอ่านตอนล่าสุดของนิยายชุด
พลางถามขึ้นมาลอยๆ
“เงินที่ใช้สมัครสมาชิกหนังสือพิมพ์พวกนี้ รวมถึงค่าโฆษณา ตัดจากบัญชีไหน?”
ลูอิสครุ่นคิดอยู่สักพัก คิดจนเหงื่อเย็นผุดขึ้นกลางหน้าผากก็ยังไม่ได้คำตอบ จนกระทั่งซาโกตาพูดขึ้น
“ตัดจากงบ 100,000 เฟลคินที่ใช้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับตำรวจครับ”
ลูเมี่ยนผงกหัวอย่างพึงพอใจ
ขอแค่ไม่กระทบกับบัญชีของหัวหน้าหน่วยคนใหม่อย่างตนก็พอ!
ไม่นานนัก เด็กเสิร์ฟของร้านก็ยกจานอาหารมาวาง
นกพิราบผัดเนื้อบดกับหัวหอม ปูลายทองรมควัน พายไก่ยัดไส้แบบร้อน สมองแกะตุ๋น เนื้อลูกวัวฟิลเล หอยนางรมย่างสมุนไพร สลัดสองอย่าง ชีสแดง ซอสอัลมอนด์อบ พร้อมด้วยเครื่องดื่มลิเคอร์ (Liquour) สามสี แดง ขาว น้ำเงิน และไวน์กาแบร์เน·โซวีญงหนึ่งขวด
กลิ่นหอมนานาชนิดผสมปนเปกัน ลอยเข้าโพรงจมูกลูเมี่ยนจนน้ำลายสอ
“สมกับเป็นทรีอาร์จริงๆ ลำพังเซตอาหารในร้านกาแฟธรรมดาๆ ยังมีหลายจานขนาดนี้ ถ้าเป็นที่โลเอ็น คงมีแค่สเต๊กวัว หรือไม่ก็เนื้อแกะตุ๋นถั่วลันเตา เลือกได้แค่ไม่กี่อย่าง…” ในฐานะชาวอินทิสโดยกำเนิด ลูเมี่ยนแดกดันอาหารของโลเอ็นตามกระแส ซึ่งพบได้จากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และมุกตลกท้องถิ่นต่างๆ
เด็กหนุ่มยกแก้วลิเคอร์สามสีขึ้นจิบเบาๆ ชี้ไปยังเก้าอี้สองฝั่งโต๊ะแล้วพูด
“มากินด้วยกันสิ”
“เชิญลูกพี่กินให้อิ่มก่อนเลยครับ พวกผมค่อยกินทีหลัง” ลูอิสค้อมตัวเล็กน้อย พลางพูดอย่างยิ้มแย้ม
ลูเมี่ยนไม่เซ้าซี้ชักชวน เริ่มเพลิดเพลินกับอาหารมื้อใหญ่มื้อแรกนับตั้งแต่มาถึงทรีอาร์ ซ้ำยังไม่ต้องเสียเงินสักริกต์
ต้องยอมรับว่าฝีมือของพ่อครัวคาบาเร่ต์ลมเอื่อยนับว่าไม่เลว เขากินไปพยักหน้าไป
จากบรรดาทั้งหมด เขาพอใจกับสมองแกะตุ๋นที่สุด อาศัยเครื่องเทศหลายชนิด กลิ่นคาวกับกลิ่นสาบของสมองแกะถูกกลบเกลื่อนอย่างแนบเนียน เหลือเพียงเนื้อสัมผัสนุ่มละเอียดราวกับเต้าหู้โรซายล์ ตามมาด้วยกลิ่นหอมหวานอันน่าหลงใหล
เด็กหนุ่มดื่มลิเคอร์สีแดง ขาว น้ำเงินจนหมดแก้ว และไวน์กาแบร์เน·โซวีญงอีกหนึ่งในสามขวด แล้วเรียกให้ลูอิสกับซาโกตาเข้ามากิน
ตัวเขาหยิบบันเทิงคดีรายสัปดาห์กับนิตยสาร ‘หน้าทะเล้น’ ขึ้นมาอ่าน
ในนิตยสาร ‘หน้าทะเล้น’ ลูเมี่ยนเห็นชื่อที่คุ้นตา
ดีวาร์
เจ้าของร้านอาหารผู้คิดค้นซุปเนื้อดีวาร์ จนทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ และย้ายไปอยู่เขตโรงอุปรากร
นิตยสารหน้าทะเล้นเขียนถึงเรื่องเล่าที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
ดีวาร์คลั่งไคล้เพิร์ล—นักแสดงละครเวทีและผีเสื้อสังคมชาวโลเอ็นอย่างมาก ใช้เงินไปกับเธอไม่น้อย แต่อยู่มาวันหนึ่ง ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในบ้านส่วนตัวของเพิร์ล ต่อหน้าแขกเหรื่อนับสิบคน เพิร์ลนอนเปลือยกายบนถาดเงินแผ่นใหญ่ที่คนรับใช้ยกเข้ามา
นี่ทำให้หัวใจของดีวาร์แหลกสลาย เขาพยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ
บางครั้งพอเห็นข่าวที่ไม่น่าเชื่อพวกนี้ ลูเมี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า อาจมีผู้วิเศษแอบชักใยอยู่เบื้องหลัง หรือไม่ก็พวกสาวกเทพมารที่อดกลั้นไม่อยู่แล้ว
แน่นอนถ้า ตัวชาวทรีอาร์เองมิได้มีรสนิยมคล้ายๆ กัน จนหลายๆ เรื่องก็ดูจะ ‘รับได้’ คนพวกนั้นคงโดนจับไปนานแล้ว
รอจนกระทั่งลูอิสกับซาโกตากินมื้อเย็นเสร็จ ลูเมี่ยนก็พาพวกเขาเดินลงชั้นล่าง
ห้องเต้นรำตอนกลางคืนคึกคักยิ่ง จินนายืนบนเวทีกึ่งสูง ร้องเพลงจังหวะเบาสบายไปพร้อมกับดนตรีประกอบจากวง ด้านล่างมีผู้คนโอบกอดกันเป็นคู่ เต้นรำหมุนวนไม่จบสิ้น
ลูเมี่ยนชำเลืองครู่เดียวแล้วเบนสายตาไปยังประตูทางออก
“ลูกพี่ พวกเราจะไปไหนกันครับ?” ลูอิสถาม
ลูเมี่ยนหัวเราะหนึ่งที
“นายเป็นลูกพี่หรือฉันเป็นลูกพี่? ฉันจะไปไหนต้องคอยรายงานด้วยหรือไง?”
ลูอิสหน้าแข็งไปทันที รีบหันไปมองซาโกตาที่เอาแต่เงียบ พลางรู้สึกว่าการวางตัวแบบนี้ก็ไม่แย่นัก
“ผ…ผมแค่อยากรู้ว่าเราจะต้องทำอะไรต่อ” เขาพยายามอธิบาย
ลูเมี่ยนเดินออกจากคาบาเร่ต์ท่ามกลางคำทักทายของคนเฝ้าประตู พลางพูดยิ้มๆ
“เมื่อไรที่พวกนายต้องรู้ ฉันจะบอกเอง”
เด็กหนุ่มเดินกลับโรงแรมระกาทอง แต่มิได้เข้าห้อง 207 เพื่อเอานิ้วของมิสเตอร์ K และปืนลูกโม่ แต่หักเลี้ยวลงบาร์ใต้ดิน
ลูเมี่ยนยังไม่ทันได้กวาดตามองดูนั่นนี่ ก็ได้ยินเสียงกระตือรือร้นของชาร์ลี
“พวกนายต้องไม่เชื่อแน่! ตอนนี้ชาร์ลมีฉายาใหม่แล้วนะ… ‘ราชสีห์’ ชาร์ล!”
“นั่นเป็นฉายาที่ ‘กะหรี่น้อย’ จินนาตั้งให้ พวกนายเคยเห็นเธอหรือเปล่า? ฉันพนันได้เลยว่าพวกนายไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยขนาดนั้นมาก่อนในชีวิต รูปร่างร้อนแรง ใบหน้าสะสวย ทุกคนที่ได้ฟังเธอร้องเพลงต่างก็อยากเปลี่ยนศาสนามาเป็นเธอทันที และผู้หญิงแบบนั้นดันมาหลงรักชาร์ลของเรา! เธอเป็นฝ่ายเชื้อเชิญเขาเต้นรำก่อน! เอนกายแนบชิด ส่ายไปส่ายมา! วู้ฮู้ว! แสงไฟในคาบาเร่ต์น่ะโคตรสลัว พวกนายลองจินตนาการเอาก็แล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา…”
“…” ลูเมี่ยนรู้สึกแว่บหนึ่งว่าตนได้กลายเป็นพระเอกในข่าวซุบซิบของนิตยสาร ‘หน้าทะเล้น’
สิ่งที่พวกเขากระอักกระอ่วนคือ ไอ้คนที่กำลังพูดอยู่บนโต๊ะกลมตัวเล็กนั่น กำลังเอาลูกพี่ตนไปโม้ลับหลังจนฝุ่นตลบ ส่วนที่กังวลก็คือ ถ้าเรื่องนั้นเป็นความจริง ก็เท่ากับว่าลูกพี่ของตนไปสวมเขา ‘บูตแดง’ ฟรังก้าไม่ใช่หรือไง? นี่มันเรื่องใหญ่แล้ว ฟรังก้าไม่เพียงแข็งแกร่งด้วยตัวเอง แต่ยังเป็นคู่นอนของบอสใหญ่อีกต่างหาก!
ชาร์ลีที่กำลังถือเบียร์อยู่หนึ่งขวด พอเห็นลูเมี่ยนก็ชะงักรอยยิ้มในบันดล
เขารีบกระโดดลงจากโต๊ะกลมตัวเล็ก เดินมายืนหน้าลูเมี่ยน กระแอมแห้งแล้วถามอ้ำๆ อึ้งๆ
“ไง… ชาร์ล… ไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าฉันจะเล่าเรื่องกิ๊กของนาย?”
“นายไปได้ยินมาจากไหน?” ลูเมี่ยนถามกลับแทนที่จะตอบ
ชาร์ลีตอบยิ้มๆ
“ข้างนอกคนเค้ารู้กันหมดแล้ว เห็นว่าแพร่มาจากคาบาเร่ต์โรงโม่นะ”
หรือก็คือ คนของแก๊งหนามพิษรู้ว่าเราเต้นรำกับจินนาสองครั้งก่อนไปลอบสังหาร ‘ค้อนเหล็ก’ สินะ? ก็เข้าใจได้… ตอนนั้นเราแค่ปลอมตัวง่ายๆ แม้แต่สีผมก็ไม่ได้เปลี่ยน แถมยังไปยั่วยุคนในลานเต้นอีก พอพวกนั้นกลับไปคิดทบทวน ประกอบกับการตายของ ‘ค้อนเหล็ก’ เป็นธรรมดาที่จะจำเราได้… จินนาในฐานะคนรักของ ‘บูตแดง’ น่าจะถูกพวกมันสงสัยด้วยเหมือนกัน อาจพลอยตกเป็นเป้าการแก้แค้นในอนาคต… แต่เราไม่จำเป็นต้องห่วงเธอมากนัก ทางนั้นยังมี ‘บูตแดง’ คอยปกป้อง ในฐานะผู้วิเศษมากประสบการณ์ แถมยังเป็นเส้นทางนางมารสุดแกร่ง ฟรังก้าคงไม่ประมาทเรื่องพวกนี้แน่… ลูเมี่ยนผงกหัวอย่างเข้าใจ
เขายิ้มแล้วพูดกับชาร์ลี
“เล่าไปเถอะ”
ยิ่งข่าวนี้แพร่สะพัดเพียงใด ก็ยิ่งทำให้ชื่อของ ‘บูตแดง’ เด่นขึ้นมา ได้แต่ภาวนาให้เธอโชคดีกับการแก้แค้นของแก๊งหนามพิษ
ลูเมี่ยนหันไปถามชาร์ลี
“ทำไมนายไม่ไปคาบาเร่ต์ลมเอื่อยล่ะ”
ชาร์ลีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างๆ
“ผู้จัดการที่ชื่อเรเนบอกให้ฉันเริ่มงานอย่างเป็นทางการวันพรุ่งนี้ ค่าจ้างเดือนละ 80 เฟลคิน”
ระหว่างที่ทั้งสองคุยเล่นกัน ลูเมี่ยนเหลือบไปเห็นเพื่อนข้างห้องนั่งอยู่ตรงบาร์
นั่นคือกาเบรียล นักเขียนบทละครที่กำลังตกอับ
เขายังคงมีผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงและมันเยิ้ม สวมแว่นตากรอบดำที่ใหญ่กว่าปกติ เสื้อลินินสีขาวและกางเกงเอี๊ยมสีดำ
“มีอะไรหนักใจหรือไง” ลูเมี่ยนอำลาชาร์ลี แล้วเดินเข้าไปถาม
กาเบรียลที่กำลังดื่มอัปแซ็งต์สีเขียวอ่อน เหล่มามองแวบหนึ่งแล้วยิ้มขื่นขม
“บทละครของผมถูกปฏิเสธอีกแล้ว… พวกผู้จัดการไม่ได้อ่านมันด้วยซ้ำ!”
“ผมส่งไปหลายสิบโรงละคร แต่ไม่มีสักคนเดียวที่ยอมอ่าน”
หลายสิบเลยหรือ… ลูเมี่ยนฉุกคิดบางอย่างได้ จึงแสร้งถามผ่านๆ
“เอาบทไปส่งที่โรงละครกรงพิราบเก่าในเขตตลาดของเราหรือยัง?”
“ส่งแล้ว” กาเบรียลถอนหายใจ “ผู้จัดการที่นั่นก็ปฏิเสธเหมือนกัน บอกว่าโรงละครพวกเขาเขียนบทเอง หรือไม่ก็จ้างคนมาแต่งตามเค้าโครง”
ลูเมี่ยนนั่งลงพลางถาม
“ผู้จัดการของพวกนั้นเป็นใคร”
……………………………………………………..