ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 176 อุตสาหกรรม
ตอนที่ 176 อุตสาหกรรม
หลังจากส่ง ‘บูตแดง’ ฟรังก้ากลับไป ลูเมี่ยนพาลูอิสกับซาโกตา สองลูกน้องใหม่ กลับมายังร้านกาแฟ นั่งลงในตำแหน่งประจำของบารอนบรินิแยร์
เรเน ผู้จัดการคาบาเร่ต์ลมเอื่อย รออยู่ที่นั่นแล้ว
อายุราวสี่สิบกว่า ใบหน้าซูบผอม ไม่รู้ว่าเกิดจากทำงานหนักเกินไปหรือเป็นแบบนั้นโดยกำเนิด ผมสีเหลืองอ่อนถอยร่นคล้ายชาวโลเอ็น
เป็นผู้จัดการร้านที่ถูกแต่งตั้งโดยตัวการ์ดเนอร์·มาร์ตินเอง แต่ท่าทีที่มีต่อลูเมี่ยนยังคงนอบน้อม คอยยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ
“มิสเตอร์ชาร์ล อยากฟังสถานการณ์ของคาบาเร่ต์สักหน่อยไหมครับ?”
“เอาสิ” ลูเมี่ยนยื่นมือรับรายงานที่เรเนส่งมา พลิกดูอย่างจริงจัง
เป็นอีกครั้งที่ลูอิสกับซาโกตาที่ยืนด้านหลัง รู้สึกว่าพวกตนยังไม่รู้จักหัวหน้าหน่วยคนนี้ดีพอ
เด็กหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่ง กลับอ่านรายงานการเงินที่ซับซ้อนขนาดนั้นออก!
ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขาสองคน คงจะปวดหัวตาลาย อยากจะนอนให้รู้แล้วรู้รอด
ได้ทั้งบู๊และบุ๋น? ลูอิสละสายตาจากรายงานที่มาพร้อม ‘อิทธิพลเหนือธรรมชาติ’ กองนั้น
เรเนถือโอกาสแนะนำ เพื่อช่วยให้ ‘เจ้านาย’ คนใหม่เข้าใจการดำเนินธุรกิจของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยได้ดียิ่งขึ้น
“วันธรรมดา เรามีรายได้ 1,200 ถึง 1,800 เฟลคิน แต่ถ้าเป็นสุดสัปดาห์ ตัวเลขนี้อาจสูงถึง 5,000 เฟลคิน โดยที่ปกติคือ 4,000…”
“รายได้รวมปีที่แล้วคือ 645,425 เฟลคิน 37 โกเปต์ สำหรับปีนี้ ดูจากแนวโน้มปัจจุบัน มีการเติบโตอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก…”
“ต้องใช้เงินเลี้ยงชายฉกรรจ์ 12 คน บาร์เทนเดอร์ 4 คน เด็กเสิร์ฟ 6 คน พ่อครัว 3 คน ผู้ช่วยพ่อครัว 6 คน คนงานจิปาถะ 3 คน สาวล้างจาน 3 คน คนทำความสะอาด 4 คน หัวหน้าเด็กเสิร์ฟ 1 คน เจ้าหน้าที่การเงิน 3 คน ผู้จัดซื้อเครื่องดื่มกับวัตถุดิบอาหาร 3 คน คนรับรถม้า 1 คน… ค่าจ้างเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 1,000 เฟลคิน เรายังจัดหาอาหารมื้อกลางวันกับมื้อเย็นให้ฟรี รวมค่าใช้จ่าย 53,000 เฟลคิน”
“ในฐานะผู้จัดการ ผมมีค่าจ้างพร้อมโบนัสช่วงสิ้นปีประมาณ 7,000 เฟลคิน”
“ตามข้อตกลงของเรากับ ‘บูตแดง’ ทางเราต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้หางเครื่องทุกคน วันละ 1 เฟลคิน… เมื่อพวกเธอ ‘ดีล’ กับลูกค้า เราจะเก็บค่าธรรมเนียม 30%… โดยปกติแล้ว การจ่ายเงินจะเกิดขึ้นในห้องบนชั้นสองของคาบาเร่ต์ แต่ถ้าจะออกไปข้างนอก ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมล่วงหน้ากับชายฉกรรจ์ หรือหัวหน้าเด็กเสิร์ฟที่ประตู…”
“ต้นทุนไวน์ แชมเปญ เบียร์ บรั่นดี ไวน์น้ำตาล อัปแซ็งต์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ รวมถึงน้ำอัดลมหลากรส น้ำแข็ง และวัตถุดิบอื่นๆ จะตกประมาณ 120,000 เฟลคินต่อปี…”
“อาคารหลังนี้พวกเราซื้อขาดแล้ว ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่ม…”
“รวมค่าเลี้ยงดูม้า ค่าบำรุงรักษาสถานที่ ค่าแก๊ส ค่าน้ำประปา ค่านักร้อง วงดนตรี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ต้นทุนรวมต่อปีตกประมาณ 230,000 เฟลคิน…”
“จาก 410,000 เฟลคินที่เหลือ ต้องส่งให้บอสใหญ่ 200,000 เฟลคิน ต้องใช้ 100,000 เฟลคินเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับกองบัญชาการตำรวจ… มิสเตอร์ชาร์ลสามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระราวๆ 110,000 เฟลคิน แต่ต้องเผื่อไว้สำหรับเติมอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ตกรางวัลให้ลูกน้อง ค่าทำขวัญให้ผู้ตายและคนเจ็บ…”
“น่าเสียดายที่คนในเขตตลาดรายได้ไม่ค่อยสูง ไม่อย่างนั้นเราคงได้เงินจากเครื่องดื่มมึนเมามากกว่านี้…”
ลูเมี่ยนอ่านรายงานไปพลาง ฟังเรเนเล่าไปพลาง ในใจค่อยๆ มีภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
เด็กหนุ่มอดคิดในใจไม่ได้
หัวหน้าหน่วยของแก๊งอันธพาลที่คุมธุรกิจใหญ่หน่อย เงินทองไหลมาเทมาดีจริงๆ!
อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และเอกสารต่างๆ ที่โอลัวร์รวบรวมมาซึ่งเขาเคยอ่าน
ในอินทิสปัจจุบัน พวกรัฐมนตรีจะได้รับค่าจ้างปีละเพียง 100,000 เฟลคิน แม้รัฐบาลจะจัดหาที่พักให้ มีเครื่องนุ่งห่มให้ มีภาชนะเงินให้ และมีรถม้าประจำตัวสองคัน แต่พวกเขาก็ต้องจ้างคนใช้เอง และออกค่าจัดงานเลี้ยงเอง
แน่นอน ลูเมี่ยนก็ต้องคอยตกรางวัลลูกน้องเป็นครั้งคราว สำรองเงินค่าทำขวัญ หมั่นเติมอาวุธเพื่อรับมือการปะทะที่อาจเกิดขึ้น เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องกินหรูอยู่สบาย ไม่ต้องจ้างคนใช้ และไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานเลี้ยง
ตีไปหยาบๆ ตอนนี้เขามีรายได้เทียบเท่ารัฐมนตรีคนหนึ่งแล้ว
ปัญหาเดียวก็คือ รัฐมนตรีมีรายได้มากกว่าที่ตาเห็นแน่นอน
กรรมกรจะมีรายได้ต่อปีราวๆ 700 เฟลคิน สาวใช้ที่กินอยู่ในบ้านนายจ้างได้ประมาณ 480 เฟลคิน คนงานก่อสร้างได้ประมาณ 1,000 เฟลคิน ช่างเฉพาะทางได้ประมาณ 2,500 เฟลคิน วิศวกรอาวุโสได้ประมาณ 10,000 ถึง 20,000 เฟลคิน
อย่างที่คิด… ‘ทางลัด’ ในการหาเงินถูกเขียนไว้ในประมวลกฎหมาย… ไม่แปลกใจที่บารอนบรินิแยร์ไม่อยากปล่อยคาบาเร่ต์นี้ไป… ลูเมี่ยนนึกถึงคำพูดเก่าๆ ของพี่สาว
ตราบใดที่ตนใช้เงินอย่างประหยัด ดูแลลูกน้องได้ค่อนข้างดี ไม่ปล่อยให้พวกเขาถูกโจมตี ไม่สั่งให้ไปโจมตีใคร เงินคงเหลือในแต่ละปีก็เพียงพอที่จะซื้อสูตรโอสถลำดับ 6 หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบหลัก!
เมื่อเรเนพูดจบ ลูเมี่ยนถามพลางพยักหน้า
“ทำไมต้องจ่ายค่าแรงขั้นต่ำให้หางเครื่อง?”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจ่าย แค่สงสัยเฉยๆ
“หางเครื่องของพรรคซาฟาห์ทุกคนอยู่ใต้การดูแลของ ‘บูตแดง’ เธอกำหนดให้เราต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ และห้ามบังคับให้หางเครื่องรับงานเด็ดขาด ถ้าพวกเธออยากได้เงินน้อยก็ได้น้อย อยากอดตายก็อดตาย” เรเนอธิบาย “นอกจากหางเครื่องในสังกัด ‘บูตแดง’ ก็ยังมีผู้หญิงที่ธุรกิจเงินกู้ควบคุมอยู่ พวกนี้เดิมอยู่ในความดูแลของบารอนบรินิแยร์โดยไม่ขัดแย้งกัน… ตอนนี้เราควรจัดการอย่างไรดีครับ?”
ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองลูเมี่ยน จนในที่สุดก็นึกออกว่า ‘บูตแดง’ ฟรังก้ากับโอลัวร์พี่สาวตน มีความคล้ายคลึงในบางจุด
เป็นเพราะพวกเธอสังกัดองค์กรลับเดียวกัน? แต่ถ้าเป็นโอลัวร์ เธอคงไม่เลือกวิธีนี้แน่ แต่จะวางระบบให้พวกหางเครื่องต่อต้าน แอบตั้งโรงเรียนใต้ดิน ถ่ายทอดความรู้ให้พวกเธอเพื่อหาทางออกใหม่ๆ ในชีวิต… แล้วถ้าเป็นเราล่ะ จะทำยังไง? ครุ่นคิดอยู่สักพัก ลูเมี่ยนเงยหน้าขึ้น พูดกับเรเน ลูอิส และคนที่เหลือ
“ตอนนี้ทำแบบเดิมไปก่อน ยังไม่ต้องเปลี่ยนอะไร”
“เรเนช่วงนี้คุณช่วยผมประสานงานกับตำรวจไปก่อน ไว้ผมคุ้นเคยกับตำแหน่งเมื่อไร จะคุยดีๆ กับพวกเขาได้”
…………
หลังเปลี่ยนรหัสตู้นิรภัยกลไกสองตู้ และบอกรหัสหนึ่งในนั้นให้เรเนตามระเบียบเดิม ลูเมี่ยนก็กลับไปยังโรงแรมระกาทองก่อนมื้อกลางวัน
เขาเดินตรงขึ้นไปชั้นห้า เคาะประตูห้องชาร์ลี
ชาร์ลีเพิ่งขบขนมปังแท่งยาวแกล้มเบียร์อ่อน ก็เห็นชาร์ลโผล่ที่หน้าประตู
เขาถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“สองวันนี้นายหายไปไหนมา? ไม่เห็นไปดื่มที่บาร์เลย”
ลูเมี่ยนไม่ตอบ เพียงถามกลับ
“มีงานว่าง สนใจไหม”
“งานอะไร?” ชาร์ลีกำลังเครียดกับเรื่องที่เงินเก็บร่อยหรอไปทุกวัน แต่ยังไม่เห็นความหวังที่จะได้งานใหม่
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“เด็กเสิร์ฟที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย ไม่ต้องเข้าพรรคซาฟาห์ รายได้ราวๆ 70 เฟลคินต่อเดือน ทิปเป็นของนาย แต่คงรู้อยู่แล้วว่าลูกค้าในเขตตลาดไม่เคยทิป เว้นแต่นายจะเป็นผู้หญิงและยอมนอนกับพวกเขา”
“หืม… แต่ก็มีลูกค้าผู้หญิงบางคน ชักชวนเด็กเสิร์ฟผู้ชายไปทำเรื่องอย่างว่าอยู่เหมือนกัน… นายมีประสบการณ์ด้านนี้ดีกว่าฉันนี่นะ”
“คาบาเร่ต์ลมเอื่อย?” ชาร์ลีตาโต “นายได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากบารอนบรินิแยร์แล้วหรือ?”
ถึงกับจัดคนไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยได้ แถมไม่ต้องเข้าพรรคซาฟาห์!
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“ไม่ต้องให้บารอนบรินิแยร์อนุญาตหรอก คาบาเร่ต์ลมเอื่อยตอนนี้เป็นของฉัน”
“หา?” ชาร์ลีแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ลูเมี่ยนอธิบายยิ้มๆ
“ฉันฆ่า ‘ค้อนเหล็ก’ แอตไปแล้ว บอสใหญ่พรรคซาฟาห์เลยยกคาบาเร่ต์ลมเอื่อยให้”
“อย่างนี้นี่เอง…” ชาร์ลีทำหน้ากระจ่าง ก่อนจะโพล่งด้วยความตกใจ “นายฆ่า ‘ค้อนเหล็ก’ แอตด้วยหรือ?”
ลูเมี่ยนพยักหน้า
“อย่าไปบอกใครล่ะ ฉันกลัวพวกตำรวจมายุ่มย่าม”
“…” ชาร์ลีพูดไม่ออกชั่วขณะ
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา เขาพึมพำ
“พวกแก๊งหนามพิษควรไปสวดมนต์ที่วิหารใกล้ๆ นะ เผื่อว่าจะเปลี่ยนดวงชะตาได้บ้าง นับตั้งแต่ที่นายมาถึงเขตตลาด หัวหน้าหน่วยของพวกมันก็ตายไปทีละคน ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนนี้พวกมันรู้สึกยังไง”
“ความคิดดีนี่” ลูเมี่ยนชมเชย
ถ้าพวกหัวหน้าหน่วยแก๊งหนามพิษกล้าไปสวดมนต์ที่วิหารสุริยันเจิดจรัสหรือเทพจักรกลไอน้ำจริง แก๊งอันธพาลนั่นคงสิ้นซากไปนานแล้ว
แน่นอน ก่อนที่ลูอิส·ลุนด์จะแวะมาใหม่ ลูเมี่ยนภาวนาให้พวกเขาไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้น
ชาร์ลีคิดสักพักแล้วจึงพูด
“ตกลง ฉันจะไปคาบาเร่ต์ลมเอื่อยตอนบ่าย ต้องติดต่อใคร?”
“ฮ่าๆ ฉันแทบไม่เคยไปคาบาเร่ต์เลย เพราะไม่มีเงิน ตอนนี้ได้ไปทุกวันแล้ว”
“ไปหาผู้จัดการร้านที่ชื่อเรเน แค่บอกว่านายเป็นผู้เช่าของโรงแรมระกาทองก็พอ” ลูเมี่ยนตอบสั้นๆ พลางชำเลืองไปด้านข้าง
ตรงนั้นมีแม่บ้านสองคนกำลังทำความสะอาด คนหนึ่งทีแรกดูเหมือนอายุห้าสิบกว่า แต่ถ้าสังเกตให้ดีกลับจะคิดว่าอายุสี่สิบกว่าปีเองเท่านั้น ผมจริงของเธอสีป่าน แต่ใส่วิกสีบลอนด์สว่าง แต่งหน้าทาปากอยู่บ้าง ซึ่งช่วยปกปิดริ้วรอยเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง แต่ไม่อาจซ่อนความอิดโรย
“นี่ใคร?” ลูเมี่ยนถามชาร์ลี
ชาร์ลีเดาะลิ้นพลางอธิบาย
“นายยังไม่รู้หรือ? เจ้าของโรงแรมสุดตระหนี่ของเราเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ไม่ได้จ้างคนมาทำความสะอาดแค่สัปดาห์ละครั้ง แต่เปลี่ยนมาจ้างแม่บ้านสองคนทำงานทุกเช้าแทน”
“คิดเหมือนกันไหม? นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะ! แพ้ตอนที่ฉันเปลี่ยนดวงชะตาแค่นิดเดียวเอง!”
ลูเมี่ยนที่เพิ่งดูงบการเงินของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยมา นึกถึงเงินเดือนแม่บ้านตามความเคยชิน
เดือนละ 70 ถึง 80 เฟลคิน
แต่นั่นคือการทำงานเต็มวัน ถ้าครึ่งวันแบบนี้จ่ายอย่างมากก็แค่ 45 เฟลคินต่อเดือน
“แม่บ้านสองคนที่ทำงานแค่ครึ่งวัน เดือนหนึ่งต้องจ่ายไม่เกิน 100 เฟลคิน… ส่วนการจ้างแม่บ้านทำความสะอาดใหญ่ทุกสัปดาห์ จะตกครั้งละ 18 เฟลคิน ซึ่งมิสเตอร์เอฟฟ์เคยสัญญากับเราว่าจะเพิ่มเป็นสองครั้งต่อสัปดาห์ ก็คือต้องจ่ายเดือนละ 150 เฟลคิน…”
“นี่ไม่ใช่การตระหนี่แล้ว แต่มันคือการคิดบัญชีแบบละเอียดยิบ!” ลูเมี่ยนยิ้มเยาะ
เด็กหนุ่มสงสัยว่า หากมิใช่เพราะแม่บ้านหนึ่งคนไม่มีทางทำความสะอาดทั้งโรงแรมเสร็จภายในครึ่งวัน และคงไม่มีแม่บ้านคนไหนบ้าจี้รับงานแน่ มิสเตอร์เอฟฟ์คงไม่ลงทุนจ้างถึงสองคน
“จริงหรือ?” ชาร์ลีเกาหัวแกร่กๆ
สมองในการคำนวณของเขา ตามคำพูดของลูเมี่ยนไม่ทันเลย
เมื่อแม่บ้านสองคนเดินเข้าไปในห้องที่ไม่มีคนเช่า แล้วไล่ตบตัวเรือด ลูเมี่ยนใช้คางชี้ไปหาพวกเธอ
“ทำไมถึงมีคนหนึ่งใส่วิกแล้วเขียนตาด้วยล่ะ?”
แม่บ้านที่ไหนเขาทำกันแบบนี้?
ชาร์ลีหรี่เสียงให้ต่ำ
“ฉันเคยถามแล้ว เธอชื่อเอโลดี เคยเป็นนักแสดงละครเวที ติดนิสัยแต่งตัวแบบนี้ ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่”
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอพูดจริงไหม… สมัยที่ฉันเป็นเด็กเสิร์ฟในโรงแรมหงส์ขาว เคยได้ยินพ่อครัวเล่าว่า โสเภณีหลายคนพอแก่ตัวลงก็ถูกลูกค้ารังเกียจ ก็ได้แต่มาทำงานเป็นคนล้างจาน เป็นแม่บ้าน…”
ลูเมี่ยนลองไตร่ตรองรูปร่างหน้าตาของเอโลดีดู รู้สึกว่าตอนเธอยังสาวน่าจะพอใช้ได้ ส่วนเรื่องที่เคยเป็นนักแสดงหรือหญิงขายตัวมาก่อน ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับงานแม่บ้านตอนนี้
หลังจากอำลาชาร์ลี ลูเมี่ยนก็ลงไปที่ห้องอาหารชั้นล่าง หาอะไรกินรองท้องเรื่อยเปื่อย แล้วนั่งรถม้าสาธารณะไปยังเขตถนนหลวง
เขาจะไปแจ้งกับมิสเตอร์ K ว่า ภารกิจที่มอบหมายลุล่วงแล้ว!
……………………………………………………..