ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 174 รางวัล
ตอนที่ 174 รางวัล
สิบโมงครึ่งของวันรุ่งขึ้น บารอนบรินิแยร์พบกับลูเมี่ยนที่ชั้นสองของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
วันนี้ลูเมี่ยนแต่งตัวแสนจะเรียบง่าย เสื้อลินินหนึ่งตัวกับเสื้อกั๊กสีดำทับนอก กางเกงขายาวสีน้ำตาล แขนเสื้อพับสูงเหนือข้อศอก บนศีรษะสวมหมวกปีกกว้างทรงกลมสีน้ำตาลอ่อน
ทำให้เขาดูทั้งสบายๆ และหยาบกร้าน
บารอนบรินิแยร์มองอยู่สองสามวินาที ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่เตือนว่า
“เมื่อได้พบบอสแล้ว ถ้าไม่จำเป็นต้องพูด ก็พยายามไม่พูดจะดีกว่า”
“ครับ” ลูเมี่ยนยกมือกดหมวกปีกกว้างทรงกลมบนศีรษะ
คราวนี้บารอนบรินิแยร์มิได้พาลูอิสกับคนอื่นๆ ไปด้วย เขานำทางลูเมี่ยนลงมาชั้นล่าง ขึ้นรถม้าสี่ที่นั่งซึ่งจอดรอหน้าทางเข้าอยู่แล้ว
ไม่ถึงสิบห้านาที รถม้าเลี้ยวเข้าเขตหอรำลึก จอดริมถนนที่เงียบสงบอย่างยิ่ง
ภูมิประเทศแถวนี้สูงกว่าข้างเคียง บ้านเรือนเป็นบ้านเดียว ส่วนใหญ่สีขาวนวล สีครีม และสีฟ้าอมเทา มีสนามหญ้าด้านหน้า มีสวนด้านหลัง ล้อมรอบด้วยรั้วเหล็กที่มีหนามแหลมด้านบน
ลูเมี่ยนกวาดตามองป้ายถนน พบว่าที่นี่ถูกเรียกว่า ‘ถนนน้ำพุ’
บารอนบรินิแยร์พาลูเมี่ยนมายังบ้านเลขที่ 11 ถนนน้ำพุ ดึงเชือกที่แขวนอยู่ข้างประตูเหล็กบานใหญ่
ไม่นานนัก บุรุษรับใช้ผิวเข้มซึ่งน่าจะมีเชื้อสายทวีปใต้ เดินมาเปิดประตูเหล็ก
“มิสเตอร์มาร์ตินรอพวกคุณอยู่ในห้องทำงาน” บุรุษรับใช้ผิวสีน้ำตาลเข้มพูดค่อนข้างห้วน
ไม่เปิดโอกาสให้บารอนบรินิแยร์กับลูเมี่ยนตอบโต้ เขาหันหลังกลับ เดินไปตามพื้นซีเมนต์ที่กว้างพอให้รถม้าสามคันวิ่งเรียงหน้ากระดาน โดยมีสนามหญ้าสีเขียวสองแปลงขนาบข้าง
เดินพ้นสนามหญ้าไป ลูเมี่ยนกับบารอนบรินิแยร์มาถึงอาคารสูงสามชั้นสีขาวอมเทา
ประตูใหญ่ของตึกเปิดอ้าอยู่ก่อนแล้ว ชายสวมชุดสูทพ่อบ้านสีดำ ผู้เนกไทสีเข้ม กำลังยืนรออยู่ที่นั่น
บารอนบรินิแยร์เร่งฝีก้าว ยิ้มพลางทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ บรินิแยร์” ฟอสติโนวัยห้าสิบกว่ายิ้มตอบ
“นี่คือมิสเตอร์ฟอสติโน พ่อบ้านของมิสเตอร์มาร์ติน” บารอนบรินิแยร์แนะนำให้ลูเมี่ยนรู้จัก
ลูเมี่ยนทักทายตามปกติ มิได้ทำตัวแปลกประหลาดแต่อย่างใด
ฟอสติโนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงนำทั้งสองผ่านห้องโถงที่มีโคมระย้าคริสตัลสุดหรูหราแขวนอยู่ ดูแล้วสามารถใช้เป็นลานเต้นรำได้ จนกระทั่งมาถึงห้องที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือ
ระหว่างทาง ลูเมี่ยนคอยสังเกตสภาพแวดล้อมอยู่ตลอด แลเห็นว่านอกจากภาพวาดสีน้ำมันต่างๆ ที่แขวนตามผนังแล้ว ยังมีดาบมือเดียว ดาบสองมือเล่มเขื่อง ค้อนเหล็ก หอกยาว และธนูสั้น ส่วนแท่นไม้กึ่งสูงที่ควรไว้วางแจกันดอกไม้หรือรูปปั้น กลับมีเกราะเต็มตัวสีเงินวาว อานม้า และเกราะอกวางอยู่แทน
นักสะสมยุทธภัณฑ์โบราณ? ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ ตามเข้าไปในห้องอ่านหนังสือ
ด้านหลังโต๊ะทำงาน ข้างหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน มีบุรุษตัวใหญ่สูงเกือบหนึ่งเมตรแปดยืนอยู่
เรือนผมสีดำซึ่งพบได้บ่อยในอินทิส ตรงขมับมีเส้นสีเงินแซมเล็กน้อย ดูจากภายนอกคงอายุสี่สิบตอนต้น ใบหน้าคมลึก นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ออกโทนแดงกว่าปกติ
ใบหน้าค่อนข้างอวบแต่เส้นสายคมชัด ยังไม่มีริ้วรอยโดดเด่น บุคลิกดูเป็นกันเอง เหมือนพวกพ่อค้าที่ยังไม่ทันจะพูดก็ชิงยิ้มก่อนแล้ว
ขณะนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สูทสีดำ ไม่ได้ติดหูกระต่ายหรือเนกไท
“อรุณสวัสดิ์ครับ มิสเตอร์มาร์ติน” สีหน้าของบารอนบรินิแยร์เผยความพินอบพิเทาอย่างยิ่ง
ลูเมี่ยนทักทายเสร็จ การ์ดเนอร์·มาร์ตินก็พูดพลางทอดถอนใจ
“อายุน้อยจังเลยนะ…”
“ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ถึงคำที่จักรพรรดิโรซายล์เคยพูดเอาไว้… วีรบุรุษมักแสดงความแตกต่างออกมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย”
“ผมควรเรียกคุณว่าลูเมี่ยนหรือชาร์ลดี?”
“ชาร์ลครับ” ลูเมี่ยนตอบอย่างนอบน้อม
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเดินจากหน้าต่างจรดเพดานกลับมายังกลางห้องทำงาน พลางชมเชยด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ คุณสังหารผู้วิเศษลำดับ 8 ไปถึงสองคน ทำร้ายลำดับ 9 สาหัส ตอนผมอายุเท่าคุณยังทำไม่ได้แบบนี้เลย…”
“ตอนนี้อยู่ลำดับที่เท่าไรล่ะ?”
“ลำดับ 8 ‘นักยั่วยุ’ ครับ” ลูเมี่ยนตอบเถรตรง
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพึงพอใจกับความซื่อตรงของเด็กหนุ่ม พูดพลางพยักหน้า
“คำพูดเมื่อครู่ของผมยังขาดความสมบูรณ์… ตอนผมอยู่ลำดับ 8 ก็ยังทำสิ่งที่คุณทำไม่ได้เลย”
“ยอดเยี่ยมมาก… พรรคซาฟาห์ของเราต้องการคนหนุ่มเก่งๆ แบบคุณ”
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบ เขาถามต่อ
“คุณพบสิ่งพิเศษบนตัว ‘ค้อนเหล็ก’ แอตหรือไม่?”
คนนี้รู้จัก ‘กฎการอนุรักษ์ตะกอนพลัง’ ด้วยหรือ? ต่อให้ไม่รู้องค์ประกอบทั้งหมด แต่เขามั่นใจว่าผู้วิเศษก็เหมือนกับสัตว์วิเศษ เมื่อตายจะคายตะกอนพลังออกมา หรือไม่ก็ทิ้งอวัยวะบางส่วนหรือวัตถุดิบบางอย่างที่นำไปปรุงเป็นโอสถได้… ลูเมี่ยนคิดสักพักแล้วตัดสินใจไม่ปิดบัง หยิบลูกบอลขนาดเท่ากำปั้นที่ดูเหมือนเมฆยามเข้าและแสงแดดยามเย็นออกจากกระเป๋ากางเกง
“สิ่งนี้ครับ”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินแสดงสีหน้าชื่นชม
“ดีมาก… คุณขายให้ผมสิ คุณเก็บไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์… 18,000 เฟลคินเป็นอย่างไร?”
ให้ราคาดีกว่าชุมนุมลับของมิสเตอร์ K ตั้งสามพันเฟลคินเลยหรือ… ลูเมี่ยนแสร้งทำเป็นไม่รู้จักว่านี่คือตะกอนพลัง และไม่แน่ใจราคาที่แน่ชัด
“ขายได้ตั้ง 18,000 เฟลคินเลยหรือครับ?”
บารอนบรินิแยร์ที่ยืนข้างๆ ลูเมี่ยน ก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าลูกบอลรูปทรงประหลาดนั่นคืออะไร และเหตุใดบอสถึงยอมจ่าย 18,000 เฟลคินเพื่อมัน
สิ่งที่อยู่บนตัว ‘ค้อนเหล็ก’ แอต…? วัสดุที่เขาใช้เพื่อเลื่อนลำดับ? หรือว่า… ผู้วิเศษก็เหมือนกับสัตว์วิเศษ? บารอนบรินิแยร์คาดเดาหลายสิ่งในเวลาอันสั้น
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เมื่อคืน เพื่อรักษาหน้าตา ตนยอมยกทุกอย่างบนตัว ‘ค้อนเหล็ก’ ให้ชาร์ลไปทั้งหมด
“ฮ่าๆ” การ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวเราะอย่างองอาจ “มันมีมูลค่าสูงก็จริง แต่ผมเสนอให้คุณสูงกว่าปกติเล็กน้อย เป็นรางวัลที่คุณสมควรได้รับ”
เขาหันข้างไปพูดกับพ่อบ้านฟอสติโน
“เตรียมเงินสดมา 18,000 เฟลคิน แต่อย่าใช้แบงก์ใหญ่ล่ะ”
ลูเมี่ยนไม่ถือสาที่จะขายตะกอนพลัง ‘กลาดิเอเตอร์’ ให้มาร์ติน เขาตั้งใจจะนำไปขายในชุมนุมลับของมิสเตอร์ K อยู่แล้ว
เด็กหนุ่มอยากได้เงินมาซื้อสมบัติวิเศษสักชิ้นที่ตนสามารถรับมือกับผลข้างเคียงไหว เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องที่ตัวเองยังขาด ‘ยุทธวิธี’ ด้านศาสตร์เร้นลับหรือการปลอมตัว
หลังจากรับตะกอนพลัง ‘กลาดิเอเตอร์’ จากชาร์ลไปโยนเล่นอยู่สองสามวินาที การ์ดเนอร์·มาร์ตินก็พูดกับบารอนบรินิแยร์
“แม้ชาร์ลจะอายุยังน้อย แต่เขาก็สร้างคุณประโยชน์ให้พรรคซาฟาห์ของเราได้มากพอ ซ้ำยังเป็นคนเก่ง ถึงเวลาที่เขาจะต้องรับหน้าที่สำคัญกว่าเดิมแล้ว”
“อา… ตอนนี้คุณดูแลธุรกิจปล่อยกู้กับร้านค้าอีกสองสามแห่งบนถนนใหญ่ตลาดอยู่สินะ? คงจะเหนื่อยแย่เลย… ให้ชาร์ลช่วยดูแลคาบาเร่ต์ลมเอื่อยไปก็แล้วกัน อย่าลืมแบ่งคนมาให้ด้วย เขาจะได้ไม่ต้องตัวคนเดียว”
กล้ามเนื้อใบหน้าบารอนบรินิแยร์กระตุกแผ่วเบา แต่ต้องข่มความไม่พอใจและผิดหวังเอาไว้
“ครับ มิสเตอร์มาร์ติน”
คาบาเร่ต์ลมเอื่อยเปรียบดังไก่ที่ออกไข่ทองคำ เขาไม่อยากส่งมอบให้ใคร
ถ้ามิใช่เพราะมิสเตอร์มาร์ตินสั่งโดยตรง เขาคงจะเลือกโยนธุรกิจอื่นบนถนนใหญ่ตลาดให้ชาร์ล และแนะนำให้โยกย้ายนักเลงบางส่วนจาก ‘คนยักษ์’ ซิมงต์กับ ‘หัตถ์โลหิต’ เบลคมาแทน
ลูเมี่ยนสัมผัสได้ว่าบารอนบรินิแยร์กำลังขุ่นเคืองใจ เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของตนกับอีกฝ่ายมีรอยร้าวแล้ว หลังจากนี้คงทำตัวอวดดีทีเล่นทีจริงต่อหน้าเขาไม่ได้อีก
ไม่อย่างนั้นอาจขัดแย้งกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ!
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเสริมกับลูเมี่ยน
“คุณดูแลคาบาเร่ต์ลมเอื่อยให้ดี ถ้าไปได้สวย ผมจะยกธุรกิจสำคัญให้อีก”
“ขอบคุณครับ มิสเตอร์มาร์ติน” ลูเมี่ยนก้มศีรษะลง แสร้งทำเป็นยินดีปรีดา
ระหว่างทางกลับเขตตลาดคนซื่อ ดูเหมือนบารอนบรินิแยร์จะกลับเป็นปกติแล้ว บางคราวก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องพรรคซาฟาห์ ด้วยท่าทีเป็นมิตรและสุภาพ
สิ่งที่ลูเมี่ยนสนใจมากกว่าก็คือเงิน 18,000 เฟลคินในถุงผ้าใบเล็ก
จำนวนนี้เกือบจะซื้อห้องขนาดไม่ใหญ่ในเขตหอดูดาวได้เลย!
และถ้าเป็นแถบดาลีแอช จะซื้อได้แม้กระทั่งคฤหาสน์ที่มีทำเลค่อนข้างดี
เข้าไปในคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ลูอิสกับคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาทัก
ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร บารอนบรินิแยร์สูบกล้องไม้ท้อพลางกล่าว
“ลูอิส ซาโกตา ตั้งแต่วันนี้ไป พวกนายคอยติดตามชาร์ล คาบาเร่ต์ลมเอื่อยก็ให้เขาคุม”
ลูอิสที่รอยช้ำบนหน้าผากจางไปเกือบหมดแล้ว กับซาโกตาที่ผมหยักศกเป็นลอนธรรมชาติ สีน้ำตาลอมแดง ต่างเผยสีหน้าตกตะลึงปนสับสน
พวกเขาทราบว่าชาร์ลจะได้รับรางวัล แต่ไม่คิดว่าจะได้คุมคาบาเร่ต์ลมเอื่อย แถมพวกตนต้องตามไปรับใช้
เขาได้เป็นหัวหน้าหน่วยของพรรคซาฟาห์อย่างแท้จริงแล้ว!
บารอนบรินิแยร์ไม่แยแสปฏิกิริยาของลูกน้อง เพียงพูดกับลูเมี่ยนด้วยรอยยิ้ม
“เก็บห้องทำงานชั้นสองไว้ให้ผมสักห้องนะ จำเป็นสำหรับธุรกิจปล่อยกู้”
“ได้ครับ” ลูเมี่ยนไม่สนใจ
หลังจากส่งมอบงานง่ายๆ เสร็จ บารอนบรินิแยร์ก็พานักเลงสองคนไปจัดการปัญหาของธุรกิจปล่อยกู้ ส่วนลูเมี่ยนเดินขึ้นชั้นสอง ตั้งใจจะถามเกี่ยวกับกิจการคาบาเร่ต์ลมเอื่อยอย่างละเอียด
ลูอิสเดินเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงต่ำ
“ชาร์ล… เอ่อ… ลูกพี่… ‘บูตแดง’ อยู่ในห้องทำงานของคุณ”
“ผมไม่รู้ว่าเธอมาหาคุณหรือบารอน จะไปเจอไหมครับ?”
‘บูตแดง’ ฟรังก้า? ลูเมี่ยนผงกหัวรับ
“ห้องทำงานฉันอยู่ไหน?”
ลูอิสรีบนำทางเจ้านายใหม่เดินผ่านร้านกาแฟ เข้าไปในทางเดินชั้นสอง จนมาถึงห้องหนึ่งซึ่งอยู่ลึกด้านใน
“ห้องนั้นครับ” เขาชี้ไปที่ประตูไม้สีแดงเข้ม
ลูเมี่ยนพยักหน้า หมุนลูกบิดแล้วผลักประตูเปิด
สิ่งแรกที่สะดุดตาเด็กหนุ่มคือรองเท้าบูตสีแดงฉูดฉาด มันถูกเหยียดอยู่บนโต๊ะทำงานไม้สีน้ำตาล
ถัดจากรองเท้าบูตคือกางเกงขี่ม้าสีขาวนวล ถัดไปอีกคือเสื้อเชิ้ตสตรีสีขาว ปักลายดอกไม้และเถาวัลย์หนาแน่นตรงชายแขนเสื้อและคอเสื้อ ทับนอกด้วยเสื้อทวีดลายตารางสีขาวบนพื้นดำ
‘บูตแดง’ ฟรังก้านั่งบนเก้าอี้เอนหลังซึ่งแต่เดิมเป็นของบารอนบรินิแยร์ เหยียดขาพาดกับขอบโต๊ะ ราวกับว่าที่นี่เป็นถิ่นของเธอ
……………………………………………………..