ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 172 ผู้กำกับการตำรวจ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 172 ผู้กำกับการตำรวจ
ตอนที่ 172 ผู้กำกับการตำรวจ
หลังจากที่ลูอิสกับคนอื่นๆ ซ่อนศพเสร็จ บารอนบรินิแยร์ก็ถามลูเมี่ยนด้วยท่าทีสบายๆ
“ผมอยากฟังว่าคุณฆ่า ‘ค้อนเหล็ก’ ด้วยวิธีใด”
ลูเมี่ยนไม่ปิดบัง หยิบขวดโลหะใบเล็กที่ตอนนี้ว่างเปล่า ออกมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า
“นี่คือ?” บารอนบรินิแยร์จ้องมองอย่างถ้วนถี่สองสามวินาที
“ตอนบ่ายผมไปใต้ดินมาใช่ไหมล่ะ” ลูเมี่ยนเล่ายิ้มๆ “ไปเจอไอ้บ้าคนหนึ่ง บังเอิญฆ่ามันไป ก็เลยได้แก๊สยาสลบกับยาแก้มาจากศพ”
“หลังจากแอบเข้าไปในห้องน้ำของค้อนเหล็ก ผมก็อัดแก๊สยาสลบแล้วรอมันเข้ามา จากนั้นก็เปิดฝาขวดยาสลบ ต่อสู้กับมันด้วยหมัดมวย ยื้อยุดไว้ไม่ให้ออกจากห้องน้ำได้ จนกว่ายาสลบจะเริ่มออกฤทธิ์”
บารอนบรินิแยร์ใช้เวลาคิดไม่นานก็มั่นใจในความเป็นไปได้ของแผนการ จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ห้องน้ำไม่ใหญ่ แก๊สยาสลบคงกระจายเต็มได้ไม่ยากเย็น และในนั้นก็คงไม่มีท่อระบายอากาศ… ด้วยนิสัยของ ‘ค้อนเหล็ก’ ที่หวาดระแวงพรรคซาฟาห์เรา มันคงไม่ปล่อยให้มีใครแอบเข้าไปได้ง่ายๆ”
“พวกมือปืนข้างนอกก็คงไม่กล้ายิง เพราะกลัวจะพลาดไปโดนค้อนเหล็ก… พวกมันอาจจะเปิดประตูห้องน้ำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
บารอนบรินิแยร์คิดไปพูดไป ราวกับได้เห็นมากับตา
ลูอิสกับคนอื่นๆ ฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ
หลังจากฟังการวิเคราะห์ พวกเขาเริ่มพบว่า วีรกรรมการล่า ‘ค้อนเหล็ก’ ในเวลาสั้นๆ ของชาร์ล ฟังดูสมเหตุผลเพียงพอให้คล้อยตาม
เขาค้นพบหนทางที่จะบรรลุภารกิจ และใช้ประโยชน์สูงสุดจากทุกสิ่งที่มีในมือ
ด้วยแผนดังกล่าว ตราบใดที่ฝีมือหมัดมวยไม่ได้ด้อยกว่า ‘ค้อนเหล็ก’ มากนัก ก็มีโอกาสที่จะจัดการกับไอ้ทรยศนั่นได้หลายส่วน
แน่นอน ความสำเร็จในครั้งนี้ต้องพึ่งพาฝีมือ โชค การตัดสินใจ ความกล้า และการสืบข่าว จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้เลย
ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของชาร์ล แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขาคิดไว้ก่อนหน้านี้
สิ่งที่บารอนบรินิแยร์ชื่นชมมากกว่า คือสติปัญญาของลูเมี่ยน เพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยพอใจที่หลังจากเสร็จงาน อีกฝ่ายดันแบกศพ ‘ค้อนเหล็ก’ กลับมาที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย จนเกือบจะทำให้ตนต้องพลอยเดือดร้อน
หลังจากใจเย็นลง เขาพบว่าปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากตัวเอง
“ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเราทำตัวมั่นใจเกินไป ดูฉลาดเกินไป ราวกับไม่มีสิ่งใดทำให้เราพบเจอช่วงเวลาที่ลำบากได้ เขาจึงเชื่อว่าเราสามารถปกป้องได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเกรงกลัว ‘แมงป่องดำ’ …”
“และนี่ก็เป็นงานที่เราเสนอเอง ถ้าเขาจะคิดว่าเราเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ระหว่างคุยกันเรื่อยเปื่อย นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป ไม่นานนัก นักเลงแก๊งซาฟาห์ที่เฝ้าทางเข้าชั้นหนึ่ง ก็ขึ้นมาแจ้งกับบารอนบรินิแยร์
“บารอนครับ ผู้กำกับฯ เอเวอเรตต์มาแล้วครับ”
“เชิญเขาขึ้นมาข้างบน” บารอนบรินิแยร์ลุกไปต้อนรับตรงบันได
ทราวิส·เอเวอเรตต์เป็นผกก. สถานีตำรวจเขตตลาดคนซื่อ เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ภาคสนามระดับสูง เหนือเขาขึ้นไปคือรองกรรมาธิการสองสามคนที่เป็นผู้บังคับการ รวมถึงกรรมาธิการตำรวจประจำเขตที่ควบคุมดูแลทุกอย่าง
บารอนบรินิแยร์ชอบติดต่อกับเอเวอเรตต์มาก เพราะถ้าจะให้อธิบายด้วยคำพูดของจักรพรรดิโรซายล์ นี่คือ ‘ขุนพลอยพยัก’ ตามแบบฉบับ ไม่ชอบสืบสวนหาความจริงของเรื่องราว แค่หวังให้ทุกคนปฏิบัติต่อกันด้วยความสงบ ไม่ก่อเรื่องราวใหญ่โต
ถนัดด้านการประสานความขัดแย้งระหว่างแก๊งอันธพาลในเขตตลาด
สิบกว่าวินาทีถัดมา นายตำรวจรายนี้ก็เดินเข้ามาในร้านกาแฟชั้นสองพร้อมกับลูกน้องสองคน
อายุหลักสามสิบ สูงเกือบ 1.75 เมตร ผมสีดำตัดสั้น นัยน์ตาสีน้ำเงินอยู่ใต้แว่นตากรอบดำอันใหญ่ คางค่อนข้างเหลี่ยม
ตอนนี้เขาสวมเครื่องแบบตำรวจสีดำ อินทรธนูมีพื้นสีดำ ฝังดอกโกฐสอเทศสีเงินห้ากลีบ
นี่แสดงถึงยศผู้กำกับการ (ผกก.)
หากมีเจ็ดกลีบคือผู้บังคับการ สูงกว่านั้นก็จะเพิ่มสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีครีม
ทราวิส·เอเวอเรตต์จ้องหน้าบารอนบรินิแยร์ที่ยิ้มต้อนรับตน ไถ่ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กๆ
“เมื่อกี้มันอะไร? มีเหตุระเบิดหน้าคาบาเร่ต์ลมเอื่อย อย่าทำเป็นไขสือตอบว่าไม่รู้เชียวล่ะ!”
“คุณผู้กำกับ นั่งก่อนสิครับ” บารอนบรินิแยร์พาทราวิส·เอเวอเรตต์มานั่งโต๊ะไม้ของตน ดึงเก้าอี้ด้วยตัวเอง เชื้อเชิญให้เขานั่ง
ลูเมี่ยนไม่อยากเผชิญหน้ากับตำรวจตรงๆ เพราะกลัวจะถูกจำได้ว่าเป็นผู้ต้องหา จึงแฝงตัวเป็นนักเลงเหมือนกับลูอิสและคนอื่นๆ ด้านหลังบารอนบรินิแยร์
บารอนบรินิแยร์หยิบกล้องยาสูบสีไม้ท้อออกมา มองทราวิส·เอเวอเรตต์ฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าค่อนข้างเครียด
“‘ค้อนเหล็ก’ แอตตายแล้ว ผมเป็นห่วงว่า ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์จะอาละวาด ก็เลยโยนระเบิดเพื่อเรียกทุกคนมา… ท่านผู้กำกับได้โปรดวางใจ ผมเลือกจุดขว้างเป็นอย่างดี จะไม่มีใครเสียชีวิต แม้แต่บาดเจ็บสาหัสก็ไม่”
ทราวิส·เอเวอเรตต์ยกมือขวาขึ้น ดันแว่นกรอบดำบนสันจมูก ชี้ไปทางบารอนบรินิแยร์แล้วพูด
“พวกคุณนี่มัน…! จะก่อเรื่องหาพระแสงอะไร! สัปดาห์หน้าก็จะมีการเลือกตั้งสส. แล้ว คิดจะให้พวกเราอับอายต่อหน้าเจ้านายในอีกห้าปีข้างหน้าหรือไง?”
“ผมไม่สนใจว่าพวกคุณคิดอะไร ไม่อยากรู้ด้วยว่าหวังผลแบบไหน ผมแค่อยากเห็นเขตตลาดที่สงบสุข”
“ถ้าเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นอีก ผมจะเสนอให้มิสเตอร์ไอเมิร์คตั้งทีมสอบสวนร่วมขึ้นมา ผนึกกำลังกับหน่วยแปดและสองศาสนจักร เพื่อจัดการกับพรรคซาฟาห์ของคุณ!”
ไอเมิร์คคือหนึ่งในกรรมาธิการตำรวจของกรุงทรีอาร์ รับผิดชอบเขตตลาดคนซื่อ
แต่ละประโยคของทราวิส·เอเวอเรตต์มิได้เอ่ยถึงการตายของ ‘ค้อนเหล็ก’ แอตเลย มีเพียงการข่มขู่บารอนบรินิแยร์เท่านั้น
ฝ่ายหลังตอบยิ้มๆ
“ท่านผู้กำกับวางใจได้ครับ ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า พวกเราจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ตอนนี้ผมแค่เป็นห่วงฝั่งแก๊งหนามพิษ…”
ทราวิส·เอเวอเรตต์พยักหน้า พูดพลางถอนหายใจ
“จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า หากทุกคนทำดีต่อกัน วาสนาดีๆ ก็จะเข้ามาหาเอง… ถ้าพวกคุณขัดแย้งอะไรกันรุนแรงนัก ก็มาให้ผมช่วยไกล่เกลี่ยสิ”
จากนั้น เขาหันไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจยศต่ำสองคนข้างๆ
“เรากลับกันเถอะ… ส่งเจ้าหน้าที่สักสองสามคนไปคอยจับตาดูพวกหัวหน้าหน่วยแก๊งหนามพิษด้วย ถ้ามีโอกาสก็ลองคุยดู ให้พวกเขาอยู่นิ่งๆ ไว้ก่อน”
พูดจบผู้กำกับก็ลุกขึ้นยืน กางแขนทั้งสองข้าง
“สุริยันจงเจริญ!”
“สุริยันจงเจริญ!” บารอนบรินิแยร์ลุกทำตาม
หลังส่งทราวิส·เอเวอเรตต์กับลูกน้องเดินลงบันได ลูเมี่ยนรำพันเงียบในใจ
“พวกที่มีสถานะทางสังคมหน่อยๆ ชอบอ้างคำพูดจักรพรรดิโรซายล์กันทุกคนเลยหรือ?”
“ไม่เหมือนกับเราชนชั้นต่ำ จะด่าก็ด่าเลย จะใช้ภาษาชาวบ้านก็ใช้เลย ประโยคไหนจะสมเหตุสมผลก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครพูด…”
รออีกเกือบครึ่งชั่วโมง บารอนบรินิแยร์หันมาพูดกับลูเมี่ยน
“ตำรวจน่าจะจับตาพวก ‘แมงป่องดำ’ ไว้หมดแล้ว ตอนนี้คงไม่ค่อยอันตรายแล้วล่ะ”
“คุณกลับไปที่โรงแรมระกาทองเถอะ พรุ่งนี้เช้าสิบโมงครึ่งมาที่นี่ เดี๋ยวผมพาไปพบบอสของเรา”
“ตกลง” ลูเมี่ยนยิ้ม “ขอบคุณครับบารอน”
เด็กหนุ่มเสริมต่อทันที
“ตามกฎแล้ว ‘ค้อนเหล็ก’ ถูกผมล่า ข้าวของบนตัวมันก็ควรเป็นของผมใช่ไหม?”
“ถูกต้อง” บารอนบรินิแยร์ค่อนข้างใจกว้างในแง่นี้
เขาส่งสัญญาณบอกให้ลูอิสนำปืนลูกโม่สีดำ ซองกระสุน มีดสามคม และเอกสารข้อมูลที่เตรียมไว้มาวาง
“พวกนี้ก็ของคุณเหมือนกัน”
ลูเมี่ยนสะพานซองปืนไว้ใต้รักแร้ซ้ายซ่อนสิ่งของอื่นๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องที่วางศพ ‘ค้อนเหล็ก’ แอต
หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครตามมา เด็กหนุ่มนั่งยองลง ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตศพออก
เผยให้เห็นวัตถุทรงกลมสีทองแดงคล้ายเมฆยามเช้า หรือแสงสีแดงคล้ายเมฆยามเย็น ด้านในเหมือนมีแสงเล็กๆ กะพริบและลอยไปมา
ตะกอนพลัง ‘กลาดิเอเตอร์’ !
ลูเมี่ยนเก็บมันด้วยความยินดีปรีดา แล้วเริ่มรื้อค้นกระเป๋าต่างๆ ของค้อนเหล็ก พบธนบัตรและเหรียญมูลค่ารวม 116 เฟลคิน 17 โกเปต์ รวมถึงสนับมือเหล็กสองข้างติดหนามแหลมสองสามกิ่ง
สำหรับเด็กหนุ่ม นี่คือการเก็บเกี่ยวที่เป็นกอบเป็นกำยิ่งกว่าเมื่อครั้งล่ามาร์โกต์ มากกว่าหลายเท่านัก
ระหว่างทางกลับโรงแรมระกาทอง ต้นเสาไฟแก๊สตั้งห่างกันมาก ลูเมี่ยนเดินผ่านแนวแสงเงาที่ทับซ้อนกัน พลันรู้สึกคล้ายกับมีสายตาคู่แล้วคู่เล่าแอบจ้องมอง
“แมงป่องดำกำลังใช้วิญญาณหรือพลังวิเศษจับตามองเราอยู่ หรือเราจิตตกจนหลอนไปเอง?” ลูเมี่ยนรำพันพลางยกมือขวาขึ้นมา ถ่างนิ้วบีบขมับทั้งสองข้าง
เด็กหนุ่มเปิดเนตรวิญญาณ แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลย
ความรู้สึกถูกจ้องมองค่อยๆ จางหายไป
…
ถนนใหญ่ตลาด ในอาคารสามชั้นพร้อมสวนเลขที่ 126
‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินเย็นลึก กับ ‘หัวล้าน’ ฮาร์มัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเอาการ เดินกลับเข้ามาจากข้างนอก
นักเลงแก๊งหนามพิษสิบคนที่รออยู่ด้านใน ต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนระคนหวาดผวา ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับพายุที่ตั้งเค้า
ผ่านไปราวสิบกว่าวินาที ‘หัวล้าน’ ฮาร์มันพูดพลางกัดฟันกรอด
“ไอ้ชาร์ลนั่นไม่เห็นหัวเราเลย พรรคซาฟาห์ก็ท้าทายเราอยู่นั่น ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้พวกมันชดใช้ค่าเสียหาย!”
‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์เองก็รู้สึกถูกชาร์ลลูบคม จึงพูดเสียงเข้ม
“เรื่องนี้เราปล่อยผ่านไปไม่ได้!”
ฟู่… เขาถอนหายใจยาว ส่งภาษากายบอกให้นักเลงแก๊งหนามพิษทุกคนออกไป
เมื่อเหลือแค่ ‘หัวล้าน’ ฮาร์มัน โรเจอร์จึงพูดต่อ
“แต่ตอนนี้ตำรวจกำลังจับตาเราอยู่ คงมีผู้วิเศษทางการปะปนอยู่ด้วย ไม่เหมาะที่จะลงมือแก้แค้น”
“บรินิแยร์ไม่ธรรมดาจริงๆ … พอจะมีสมองอยู่บ้าง”
“รอให้มิสเตอร์อาทัวร์ได้รับเลือกเป็นส.ส. ก่อน ‘คุณนายจันทรา’ จะมอบพรใหม่ให้เรา เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะควักสมองของบรินิแยร์ออกมา โยนให้หมาจรจัดกิน!”
“ช่วงนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลย พอคนที่คอยจับตามองเราเผลอ ก็หาโอกาสลอบสังหารชาร์ลซะ!”
“พรรคซาฟาห์ลอบสังหารคนของเราได้ เราก็ลอบสังหารคนของมันได้เหมือนกัน!”
…
โรงแรมระกาทอง, ลูเมี่ยนเดินมาถึงประตูห้อง 207 ก็พลันสังเกตเห็นบางอย่าง จึงหันไปทางระเบียงฝั่งใกล้ๆ
“ออกมาเถอะ” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “มาดามจินนา”
……………………………………………………..