ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 17 ผู้ต้องสงสัย
ตอนที่ 17 ผู้ต้องสงสัย
“มันคืออะไร? ขยายความให้หน่อย” ลูเมี่ยนฟังด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนกังวล
หลังจากจิบเครื่องดื่มพิเศษ ‘น้ำมันมนตร์วีนัส’ หญิงสาวตอบกลับด้วยจังหวะการพูดไม่ช้าไม่เร็ว
“นั่นคือสิ่งที่เธอต้องถามกับตัวเอง”
กล่าวจบ หญิงสาวก้มหน้าลงไปสนใจอาหารเช้า ภาษากายบ่งบอกว่าจะไม่มีการพูดคุยหลังจากนี้อีก
ให้ตายสิ ทำไมถึงเอาแต่เล่ากั๊กๆ อยู่นั่น…เก็บไว้ตอบคราวหน้า? แบบนี้มันเสียเวลากับทุกฝ่ายไม่ใช่หรือไง…ในวินาทีนี้ ลูเมี่ยนพบว่าฝีมือการยั่วโมโหคนของตน ยังด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่หลายขุม
เด็กหนุ่มควบคุมจังหวะลมหายใจ ยิ้มให้ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ตลอดทั้งวันที่เหลือลูเมี่ยน อยู่บ้านเงียบๆ ไม่ออกมาเตร็ดเตร่นอกบ้าน
ไม่ใช่เพราะกลัวนกฮูกจนปอดแหก และไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรให้ทำ แต่นี่คือการเล่นละครให้ใครบางคนดู
ลูเมี่ยนกำลังสนใจจดหมายขอความช่วยเหลือในมือพวกลีอา อยากรู้ให้ได้ว่าข้างในเขียนอะไรไว้ ใครเป็นคนเขียน ซึ่งก้าวแรกที่ดีที่สุดในการสืบก็คือ มองหาโอกาสเปิดหนังสือเล็กปกฟ้าทุกเล่มในหมู่บ้าน เพื่อจำแนกว่าคำใดถูกตัดไปบ้าง ในฐานะคนท้องถิ่น ลูเมี่ยนมั่นใจว่าตนเหมาะกับงานนี้มากกว่าไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์ แต่เขากังวลว่าการเริ่มสืบทันทีหลังจากคุยกับคนต่างถิ่นทั้งสาม จะดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์จนกลายเป็นผลเสีย
ในเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย การดำรงอยู่และการดับสูญ ต่อให้มีโอลัวร์คอยคุ้มกะลาหัว ลูเมี่ยนก็รับประกันไม่ได้ว่าคนอื่นจะไม่เสี่ยงลงมือกับตน
ในช่วงสองปีหลัง เขาสามารถกะเกณฑ์เรื่องพวกนี้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการ ‘แกล้งคน’
นี่คือผลจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาเต็มถัง
เด็กหนุ่มมีแผนจะรออีกสักสองสามวัน จนกระทั่งมหาพรตเริ่มขึ้น จึงค่อยเริ่มอ้างเหตุผล ‘ไล่สืบตำนานที่เกี่ยวกับเทศกาล’ เพื่อ ‘เยี่ยม’ บ้านทุกหลัง
เมื่อตกกลางคืน หลังจากมื้อดึก โอลัวร์กลับห้องนอนเพื่อเขียนต้นฉบับที่ผัดวันมานาน
ลูเมี่ยน ในทางกลับกัน ไปที่ห้องอ่านหนังสือ เจตนาคือการค้นหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความฝัน’ โดยหวังว่าจะได้รับแรงบันดาลเกี่ยวกับ ‘ความพิเศษในฝันตัวเอง’
เนื่องจากบ้านหลังนี้มีโคมไฟแบตเตอรี่แค่ตัวเดียว ซึ่งโอลัวร์กำลังใช้อยู่ เขาจึงต้องอาศัยแสงจากตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ส่งกลิ่นฉุนและสว่างครึ่งๆ กลางๆ
มือข้างหนึ่งถือตะเกียงน้ำมันก๊าดส่องแสงสลัวๆ อีกข้างใช้เลื่อนผ่านสันของหนังสือหลายเล่ม นานๆ ทีจะดึงออกมาแล้วเหน็บไว้กับแขน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับหนังสือสามเล่มที่เลือก
เมื่อวางสิ่งของในมือลง สายตาลูเมี่ยนสะดุดเข้ากับหนังสือเล็กปกฟ้าของบ้านหลังนี้
มันนอนนิ่งๆ ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะเหมือนทุกที หน้าปกสีน้ำเงินอมเทาดูคล้ายกับมีฝุ่นและสิ่งสกปรกจับ
เห็นหนังสือเล็กปกฟ้าเล่มดังกล่าว ลูเมี่ยนพลันนึกถึงเล่มที่พบในซากปรักหักพังแห่งความฝัน รวมถึงเล่มที่ถูกตัดคำออกไปแปะจดหมายขอความช่วยเหลือ
เขารีบเหยียดแขนออกไป หยิบหนังสือเล็กปกฟ้าตรงหน้า หวังเปิดอ่านเนื้อหาผ่านๆ เพื่อดูว่าคำใดเหมาะแก่การตัดออกไปแปะเป็นประโยค
เปิดไปได้สองสามหน้า ดวงตาของลูเมี่ยนพลันแข็งค้าง
บนกระดาษที่แนบไว้ด้านหลังปฏิทินหน้าปัจจุบัน มีรูโหว่อยู่ตามข้อความอธิบาย
บางคำถูกตัดออกไป!
“ไม่มีทาง…” ลูเมี่ยนถึงกับตะลึง
เด็กหนุ่มรีบเปิดผ่านๆ หนังสือเล็กปกฟ้าในมือ และพบร่องรอยการตัดคำออกไปราวๆ สิบถึงยี่สิบคำ
“ไม่มีทาง…” ลูเมี่ยนพึมพำอีกครั้ง อากัปกิริยาแทบจะเหมือนเดิม
หนังสือเล็กปกฟ้าที่พวกไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์ ตามหาเพื่อเชื่อมโยงกับจดหมายขอความช่วยเหลือ แท้จริงแล้วอยู่ในบ้านของเขาเอง!
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย กระทั่งลูเมี่ยนเองก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้!
ไม่เคยมีอยู่ในหัวเลยสักนิด!
ท่ามกลางวังวนอารมณ์อันซับซ้อน ลูเมี่ยนย่นคิ้วเข้าหากัน
“โอลัวร์เป็นคนเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือจริงๆ หรือ?”
“ทำไมเธอถึงขอความช่วยเหลือ แถมยังจากเจ้าหน้าที่? ทำไมถึงไม่บอกเรา?”
เดิมที เด็กหนุ่มอนุมานจากพฤติกรรมของพวกลีอา ทั้งการเข้าไปปรึกษากับอธิการโบสถ์ทันทีที่มาถึง และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนได้ข้อสรุปว่า พวกเขาคงเป็นเจ้าหน้าที่ อาจทำงานให้กับทางการ หรืออาจสังกัดศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสหรือเทพจักรกลไอน้ำในมุขมณฑลดาลีแอช
ลูเมี่ยนสองจิตสองใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ในท้ายที่สุด เด็กหนุ่มตัดสินใจถือหนังสือเล็กปกฟ้าออกจากห้อง เดินมายืนหน้าห้องนอนโอลัวร์
เขาคิดจะถามตรงๆ
เขาเลือกที่จะเชื่อใจโอลัวร์
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ลูเมี่ยนงอนิ้วเคาะลงบนประตู
“เข้ามา” เสียงของโอลัวร์ดังจากด้านใน
ลูเมี่ยนหมุนลูกบิด ผลักประตูเปิด และเห็นโอลัวร์สวมชุดนอนผ้าฝ้ายสองชิ้น ผมสีบลอนด์ถูกรั้งไปด้านหลังด้วยที่คาด เธอจดจ่ออยู่กับการเขียนเรื่องราวใต้แสงไฟจากโคมตั้งโต๊ะ
“พี่เป็นคนตัดพวกนี้หรือ” โดยไม่รอให้พี่สาวถาม ลูเมี่ยนเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา
“หือ?” โอลัวร์หันกลับมา ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนปนเหม่อลอย คล้ายยังจมอยู่กับเรื่องราวที่เขียน
ลูเมี่ยนยื่นหนังสือเล็กปกฟ้าเข้าไปใกล้ๆ พลิกไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง และมองเข้าไปในตาโอลัวร์
“ฝีมือพี่สินะ?”
โอลัวร์ตรวจสอบอย่างละเอียดสองสามวินาที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยร่องรอยความขี้เล่น
“คิดว่าฉันขี้เบื่อและนิสัยเด็กน้อยขนาดนั้นเชียว?”
“พี่สาวของนายคนนี้น่ะ ทั้งมั่นคง เป็นผู้ใหญ่ และใจกว้าง ไม่เหมือนกับนายหรอกนะ”
การตอบสนองของโอลัวร์ดูเป็นธรรมชาติมาก ไม่มีความประหลาดใจหรือตื่นตระหนกที่มักจะเกิดกับคนถูกแฉความลับ…ลูเมี่ยนถามกลับโดยไม่เก็บซ่อนความสับสน
“แล้วจะเป็นฝีมือใครได้อีก?”
“ก็นายไง?” โอลัวร์มองหน้าน้องชาย “หลังจากอ่านนิยายของฉัน นายตัดสินใจเลียนแบบเนื้อหา ตัดคำออกจากหนังสือและหนังสือพิมพ์ เพื่อนำไปเรียงเป็นจดหมายลักพาตัว จากนั้นก็ลงมือแกล้งชาวบ้านแบบพิเรนทร์ๆ สินะ? แต่ก่อนจะลงมือ นายคงอยากทดสอบว่าจะหลอกฉันได้ไหม…กำลังท้าทายฝีมือการอนุมานของพี่สาวอยู่หรือไง?”
ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นฝีมือโอลัวร์จริงๆ …สายตาของลูเมี่ยนยังคงตรึงอยู่กับใบหน้าโอลัวร์ ไม่พลาดความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น แต่ดูยังไงก็ไม่พบปัญหาในตัวพี่สาว
“ไม่ใช่ฉัน” ลูเมี่ยนกล่าวพลางขมวดคิ้ว “ถ้างั้นเป็นฝีมือใคร?”
โอลัวร์ยิ้ม
“นายออกไปเล่นเกมนักสืบของนายเถอะ ฉันต้องเขียนต้นฉบับให้เสร็จ”
“ถ้าพรุ่งนี้ฉันว่าง จะช่วยค้นหาความจริงอีกแรงนะ”
ด้วยวิธีเหนือธรรมชาติ? ลูเมี่ยนอืมในลำคอ ไม่คิดรบกวนการทำงานของพี่สาว
เด็กหนุ่มนำหนังสือเล็กปกฟ้ากลับไปยังห้องของตนซึ่งไม่เปิดไฟ นั่งลงบนเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะ
“แล้วจะเป็นใครได้อีก…”
ใต้แสงสลัวจากพระจันทร์สีแดง ลูเมี่ยนไตร่ตรองอีกครั้ง
เด็กหนุ่มพยายามไล่เรียงเหตุผล
“บ้านหลังนี้อยู่กันแค่เราสองคน และโอลัวร์เป็นจอมเวทที่มีพลังวิเศษ เธอไม่มีทางปล่อยให้ใครเข้ามาสร้างปัญหาในบ้านแน่…”
“หากไม่ใช่เธอจริงๆ อาศัยตรรกะที่พี่ใช้บ่อยๆ …ให้ตัดความเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดออกไป ตัวเลือกที่เหลืออยู่ ไม่ว่ามันจะน่าเหลือเชื่อแค่ไหน แต่ก็จะเป็นความจริงแน่นอน”
“ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างสองข้อนี้…หรือว่าเราเป็นคนทำจริงๆ?”
ชั่วขณะหนึ่ง ลูเมี่ยนพบว่าความคิดนี้ทั้งเหลวไหลและน่าขบขัน
‘คนร้าย’ คือเราเอง?
แล้วทำไมเราถึงไม่รู้ล่ะ?
เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันร่างกายไปทางกระจกเงาเต็มตัวที่ติดกับตู้เสื้อผ้า
ท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงเข้ม ภาพสะท้อนของลูเมี่ยน สวมเสื้อลินินและกางเกงขายาวสีน้ำตาล เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาปราศจากรอยยิ้ม แววตาดูหมองหม่นกว่าทุกที
เขามั่นใจมากๆ ว่าตนไม่เคยทำเรื่องจำพวก ‘ตัดเนื้อหาออกจากหนังสือเล็กปกฟ้า’
ลองทำแม้กระทั่งระลึกถึงความทรงจำตลอดหลายเดือนหลัง
แม้รายละเอียดไม่น้อยจะพร่าเลือน แต่เด็กหนุ่มค่อนข้างมั่นใจกับเรื่องสำคัญๆ ที่เคยทำ
อาบแสงจันทร์สีแดงที่ซึมผ่านหน้าต่าง ลูเมี่ยนพึมพำกับตัวเอง
“หรือจะเป็นสิ่งที่เราทำตอนไม่มีสติ?”
“เราละเมอระหว่างเกิดความฝันนั่น?”
“ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้…โอลัวร์บอกว่าคอยจับตาดูเราอยู่ ถ้าเคยละเมอไปตัดหนังสือเล็กปกฟ้าจริง เมื่อครู่เธอก็ต้องพูดแล้ว นอกจากนั้น การส่งจดหมายต้องทำตอนกลางวัน แต่ช่วงนั้นเราตื่นตัวสุดขีด”
ลูเมี่ยนตัดตัวเองออก และเริ่มคำนึงถึงความเป็นไปได้อื่น
“หรือจะเป็นคนที่แวะมาบ้าน?”
แม้บ้านของพวกเขาจะไม่ค่อยมีแขก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย
ประเภทแรก เพื่อนบ้านยากจนที่เข้ามายืมเตาหรือเตาอบเพื่อรมควันเนื้อหรืออบขนมปัง
ประเภทสอง เพื่อนของลูเมี่ยนที่แวะมาเป็นครั้งคราว เพื่อหานิยายง่ายๆ ไปอ่านในห้องหนังสือ หรือไม่ก็ฟังเรื่องเล่าจากเขา
ประเภทสุดท้าย ผู้หญิงไม่กี่คน เช่นนาไรซากับคุณนายปัวริส มักแวะมาเยี่ยมที่บ้านบ่อยๆ เพื่อคุยเล่นกับโอลัวร์ ในบรรดาพวกเธอ คุณนายปัวริสแวะมาบ่อยที่สุด แถมยังให้โอลัวร์ยืมม้าน้อยไปขี่เล่นบนภูเขา ความสัมพันธ์ของพวกเธอค่อนข้างดีทีเดียว
นั่นมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ในแถบชนบทอย่างหมู่บ้านกอร์ตู นักเขียนอย่างโอลัวร์เป็นเพียงคนเดียวที่คู่ควรแก่การผูกมิตรกับคนระดับคุณนายปัวริส
แต่ในความเป็นจริง คุณนายปัวริสมีนิสัยเป็นกันเองมาก คนทั้งหมู่บ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอใจดี มักไปนั่งคุยกับนาโรคากับเพื่อนๆ กลางแดดและถึงกับช่วยจับเหา มีชื่อเสียงในด้านดีพอสมควร
แม้คุณนายปัวริสจะค่อนข้างเป็นมิตรกับโอลัวร์ แต่ลูเมี่ยนกลับไม่ชอบหน้าเอาเสียเลย หลักๆ เป็นเพราะเธอมักแนะนำญาติๆ ให้โอลัวร์รู้จัก รบเร้าให้แต่งงานและมีลูกเร็วๆ
หากญาติๆ ของคุณนายปัวริสเป็นคนดี มันก็คงไม่มีปัญหา แต่ทุกครั้งที่ลูเมี่ยนไปสืบข่าวในดาลีแอช ก็จะพบว่าพวกเขาหากไม่นิสัยแย่ ก็เป็นพวกไม่เอาถ่าน แทบจะอยู่ในชนชั้นยากจนอยู่แล้ว ไม่มีใครเป็นตัวเลือกที่ดี
ถ้าแค่ครั้งเดียวอาจเป็นความบังเอิญ แต่ยิ่งบ่อยเข้า ลูเมี่ยนก็ยิ่งเกลียดขี้หน้าคุณนายปัวริส
“ตัดคนที่มารมควันเนื้อหรืออบขนมปังไปได้เลย เพราะทุกครั้งจะมีคนคอยจับตาดูอยู่ และไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นชั้นสอง…แรมงด์ เอวา และคนอื่นๆ ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เราประกบพวกเขาแทบจะตลอด…แต่ถ้าเป็นคุณนายปัวริส นาไรซา และพวกหญิงชราก็พอมีโอกาส ทุกครั้งที่พวกเธอแวะมา โอลัวร์จะให้รอในห้องหนังสือแล้วไปเตรียมของกิน…”
“หากคุณนายปัวริสเป็นแม่มดจริง ก็สมเหตุสมผลที่จะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่โดยไม่เปิดเผยตัวตน มิหนำซ้ำ เธอรอบคอบถึงขนาดใช้หนังสือเล็กปกฟ้าบ้านคนอื่นเพื่อเลี่ยงการถูกสาวมาถึงตัว…”
“หรือว่าคุณนายเจออะไรเข้าระหว่างเป็นชู้กับหลวงพ่อ ก็เลยปกป้องตัวเองด้วยวิธีนี้?”
ยิ่งลูเมี่ยนครุ่นคิดก็ยิ่งตื่นเต้น รู้สึกเหมือนกำลังเข้าใกล้คนร้าย
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน เดินสองสามก้าว และรีบวิ่งลงชั้นล่าง
เขาไม่คิดจะเผชิญหน้ากับคุณนายปัวริส หรือสอดแนมการเคลื่อนไหวของเธอ กลับกัน ตอนนี้เด็กหนุ่มเตรียมจะไปหาแรมงด์หรือไม่ก็กิโยมน้อยแห่งบ้านแบรีเพื่อยืมหนังสือเล็กปกฟ้า สิ่งนี้จะช่วยให้เขาเปรียบเทียบและรวบรวมตัวหนังสือที่ถูกตัดไป นำมาคาดเดาเป็นประโยคเต็มๆ
ด้วยวิธีนี้ มีโอกาสสูงที่ลูเมี่ยนจะได้ทราบเนื้อหาของจดหมาย
เด็กหนุ่มย่ำเท้าลงบนพื้นชั้นล่าง เดินผ่านครัวและเปิดประตูหน้า
ความมืดเจือสีแดงด้านนอกหลั่งไหลเข้ามา ช่วยสงบสติเด็กหนุ่มในทันที
“…พี่บอกว่าอย่าออกนอกบ้านหลังจากฟ้ามืด จนกว่าเราจะเข้าใจสถานการณ์เกี่ยวกับนกฮูกตัวนั้น…” ลูเมี่ยนพึมพำกับตัวเอง ก้าวถอยหลังแล้วปิดประตู
ยังไงเสีย การยืมหนังสือเล็กปกฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน มันจะดูเป็นธรรมชาติกว่าถ้าเลื่อนไปทำพรุ่งนี้
ลูเมี่ยนยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย แล้วจึงตรงไปที่บันได
ติ๊งริงริง ติ๊งริงริง
กระดิ่งหน้าประตูดังขึ้น เสียงดังสะท้อนไปทั่วบ้าน
“ใคร?” ลูเมี่ยนหันหลังกลับ เดินไปทางประตูพลางถามเสียงดัง
จากด้านนอกประตู เสียงสตรีที่นุ่มนวลและน่าดึงดูดตอบกลับมา
“ฉันเอง ปัวริส·เดอ·โร้คฟอร์”
…………………………………………………….