ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 166 ตอบแทน
ตอนที่ 166 ตอบแทน
ก่อนหน้านี้ลูเมี่ยนยังคิดว่า อดีตผู้เช่าห้อง 504 ก็คงเหมือนกับชาร์ลี ฝันถึงซูซานน่า·มาติส ถูกสูบพลังชีวิตทีละนิดจนหัวใจวายตายในห้อง โดยที่เจ้าของโรงแรม มิสเตอร์เอฟฟ์ แอบขนย้ายศพไปไว้ที่ใดสักแห่งในโลกใต้ดินทรีอาร์ ใครจะไปคิดว่า อีกฝ่ายเป็นพวกวิตถารที่มีพลังวิเศษ ซ้ำยังเตร็ดเตร่อยู่ในเขตตลาดคนซื่อ โดยมุ่งเป้าไปยังสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม
คำนึงจากการที่ไม่มีตะกอนพลังออกจากตัวเฮิดซ์แม้จะตายนานแล้ว ลูเมี่ยนยืนยันได้ว่าพลังของเขามาจาก ‘พร’ และชัดเจนว่าคงมีต้นตอเดียวกับซูซานน่า·มาติสกับมิสเตอร์เอฟฟ์
หรือก็คือ หลังจากที่ติดภาพของซูซานน่า·มาติสในห้องได้ไม่นาน ด้วยเหตุผลบางอย่าง เฮิดซ์ก็กลายเป็นสาวกของ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ และภายในไม่กี่เดือน เขาได้รับพรสองถึงสามครั้งจนค่อนข้างแข็งแกร่ง มีอำนาจในเชิงศาสตร์เร้นลับหลายๆ ด้าน
สำหรับผู้วิเศษที่ต้องเลื่อนลำดับผ่านการกินโอสถ นี่เป็นความเร็วที่ยากจะจินตนาการถึง เว้นแต่ว่าจะถูกสอนให้สวมบทบาทและยังอยู่ในลำดับต่ำ
แน่นอน ในกรณีของเฮิดซ์ ผลเสียของพรถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน ผู้ที่ได้รับพรจะถูกอิทธิพลบางอย่างเปลี่ยนแปลงนิสัยจนไม่เป็นตัวเอง สุดโต่งในบางด้าน บ่อยครั้งมักทำตัวไม่เหมือนคนปกติ จนบางทีก็อาจนำพาไปสู่หายนะ
ความตระหนี่ของมิสเตอร์เอฟฟ์ กับอารมณ์ทางเพศของเฮิดซ์ ล้วนแต่อยู่ในประเภทนี้
ลูเมี่ยนตั้งข้อสังเกตว่าพลังที่ได้รับมาจากพร ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ล้วนแต่มีปัญหาที่คล้ายคลึงกัน สุดท้ายแล้วจะทำให้ผู้ได้รับพลังค่อยๆ เอนเอียงเข้าหา ‘ผู้ให้’ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงอันไม่ปกติ
เหตุผลที่เด็กหนุ่มยังไม่ได้รับอิทธิพลจากพลังของ ‘นักเต้น’ และ ‘ภิกษุบิณฑบาต’ ก็เพราะพวกมันมิได้มาจากองค์ซ่อนเร้นเจ้าของนามชะตากรรมโดยตรง แต่มาจากมลพิษในตัว ซ้ำยังผ่านการกรองจากผนึก แล้วอีกอย่าง ลูเมี่ยนคอยระวังในแง่นี้อยู่เสมอ ไม่เพียงแต่ไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบและกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ ‘นักเต้น’ และ ‘ภิกษุบิณฑบาต’ เพื่อให้ควบคุมพลังได้ดีขึ้น บางครั้งเขายังทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
เหนือสิ่งอื่นใด เขายังรอให้ตัวเองเพิ่มลำดับเสียก่อนจึงค่อยรับ ‘พร’ ใหม่ เพื่อรักษาความสมดุลของพลังในร่างกาย
“คุณรู้ได้ยังไง” ลูเมี่ยนก้มศีรษะลง ถามจินนาด้วยเสียงค่อย
จินนายังคงเต้นไปตามจังหวะเพลง พลางยกมุมปากพูดโดยอาศัยเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มช่วยกลบ
“ไอ้วิตถารนั่นน่ะ แค่ดูก็รู้แล้วว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้นอนกับผู้หญิง และมันก็ไม่มีทางจับผู้หญิงมัดมือมัดเท้าลากลงใต้ดินได้ทุกวัน ไม่อย่างนั้นคงถูกจับไปนานแล้ว… แต่ก่อนหน้านี้ก็คงเคยทำมาบ้างสักครั้งสองครั้ง… บัดซบ! ไอ้พวกสุนัขชุดดำไร้ประโยชน์นั่น ไม่เอะใจกันบ้างเลยหรือไง?”
“คำถามก็คือ ปกติแล้วมันจัดการตัวเองยังไง? ชัดเจนว่าแค่การช่วยตัวเองไม่ทำให้มันสาแก่ใจได้แน่ ดังนั้น ฉันจึงบอกให้ฟรังก้าไปถามพวกหางเครื่องกับโสเภณีของพรรคซาฟาห์ แค่ครู่เดียวก็ได้คำตอบทันที…”
“ไอ้วิตถารที่ควรถูกลาเย็*จนก้นบานนั่น ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา… วันๆ หนึ่งสามารถทำเรื่องอย่างว่าได้ตั้งหลายหน!”
“ทำไมถึงไม่ไปเข้าหาพวกคุณนายรวยๆ กันนะ… ทั้งสองฝ่ายจะได้พึงพอใจกันทั้งคู่!”
จินนาเล่าขั้นตอนการสืบสวนอย่างภาคภูมิใจ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสมองอันชาญฉลาดของเธอ
เธอยังคาใจเรื่องที่เคยถูกลูเมี่ยนทำเหมือนเป็นคนโง่เมื่อตอนบ่าย
นั่นสินะ ก่อนที่จะเป็นสาวกของ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ และได้รับพร เฮิดซ์ก็เป็นลูกค้าประจำที่ถนนกำแพงเมือง ถนนเบรย์ดา และถนนไนติงเกลอยู่แล้ว หลังจากได้รับ ‘พร’ มา หัวของมันก็ยิ่งเต็มไปด้วยผู้หญิง… ลูเมี่ยนพบว่าในบางครั้งจินนาก็ฉลาดดี
เขาจึงตอบแทนข้อมูลด้วยข้อมูล
“ความวิตถารในระดับที่ไม่ปกติของมัน คงมาจากอิทธิพลของพลังวิเศษตัวเอง”
“พลังวิเศษ…” จินนาจ้องหน้าลูเมี่ยน
เธอนึกว่าอีกฝ่ายจะแสร้งโง่ต่อ ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ใต้ดิน ทั้งคู่ต่างเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องสื่อสาร ว่าเฮิดซ์นั้นมีพลังวิเศษ
ใครจะไปคิดว่า อยู่ดีๆ เด็กหนุ่มจะโพล่งออกมาเอง
จินนาที่เต้นพลางโน้มตัวเข้าหาลูเมี่ยน เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบถามด้วยความสงสัย
“ทำไมพลังวิเศษถึงทำให้หมอนั่นกลายเป็นพวกวิตถารไปได้?”
นี่ไม่เหมือนกับพลังวิเศษที่เธอเคยเข้าใจ — ยกเว้นตอนคลุ้มคลั่ง ก่อนหน้านั้นอย่างมากก็แค่มีผลกระทบเล็กๆ
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“พลังวิเศษที่ไม่ปกติยังไงล่ะ”
“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่ามันไม่ปกติ?” เป็นอีกครั้งที่จินนาหงุดหงิดกับคำพูดของเด็กหนุ่ม
ลูเมี่ยนหัวเราะเบาในคอ
“ถ้าสงสัยว่าไม่ปกติยังไง คุณกลับไปถามฟรังก้า ถ้าฟรังก้าไม่รู้ ก็ให้เธอไปถามบอส”
ที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้จินนาฟัง ก็เพราะกังวลว่าปัญหาเกี่ยวกับมิสเตอร์เอฟฟ์ ซูซานน่า·มาติส และเฮิดซ์อาจยังไม่จบ
หากผู้วิเศษทางการมิอาจสืบสาวหาความจริง ตนก็ต้องพึ่งพาอำนาจอื่นๆ นอกเหนือจากนิ้วของมิสเตอร์ K ซึ่งก็เหลือเพียงผู้วิเศษของพรรคซาฟาห์
จินนา ‘หึหึ’ หนึ่งชุดแล้วเลิกพูดถึงเรื่องเหล่านี้ เพียงตั้งอกตั้งใจเต้นรำกับลูเมี่ยน
เมื่อเพลงกำลังจะจบ หญิงสาวพลันยื่นมือออกไปลูบแผ่นอกลูเมี่ยน
“ฮุฮุ… ล่ำจังนะพ่อหนุ่ม!” จินนาหัวเราะแล้วผละออกไป หันหลังกลับ เดินไปยังเวทีไม้กึ่งสูงด้านหน้าลานเต้นรำ
ดูเหมือนว่าเธอจะบรรเทาความเครียดจากเหตุการณ์ใต้ดินได้แล้ว ภาษากายดูร่าเริงอย่างยิ่ง
ลูเมี่ยนหัวเราะเบาๆ แล้วเดินออกจากลานเต้น กลับไปหยิบแก้วเบียร์ไรย์ของตนกลับขึ้นมา
เด็กหนุ่มฟังเพลงไปพลาง โยกตัวไปพลาง ถือโอกาสนี้สำรวจสภาพแวดล้อมของคาบาเร่ต์โรงโม่
กวาดสายตามองเพียงรอบเดียว เขาก็พบกลุ่มคนที่แต่งตัวต่างจากพวก บุคลิกดูเหมือนพวกลูกน้องแก๊งอันธพาล กำลังยืนจับกลุ่มอยู่ฝั่งเดียวกับลูเมี่ยน แต่ใกล้เวทีมากกว่า
คนเหล่านั้นกำลังยืนล้อมชายฉกรรจ์ที่สูงเกือบหนึ่งเมตรเก้า ร่างกายกำยำ
ชายกำยำดูคล้ายกับ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ กล้ามใหญ่จนเสื้อเชิ้ตและแจ็กเกตสีดำตึงแน่น สวมกางเกงขายาวผ้าแคนวาสหนาๆ สีน้ำเงินเข้มกับรองเท้าหนังสีดำไร้เชือก เป็นการจับคู่ที่ดูไม่เข้ากันสักเท่าไร
ผมสีน้ำตาลหยักศกเป็นลอน ทั้งหนาและกระเซิง ดวงตาสีน้ำตาลค่อนข้างห่าง โครงหน้าดูธรรมดาแต่คมชัด สองมือสองขายาวกว่าสัดส่วนของคนทั่วไปเล็กน้อย
‘ค้อนเหล็ก’ แอต… ลูเมี่ยนดึงสายตากลับ เชื่อว่านี่คือหนึ่งในเป้าหมายของตน
ในทรีอาร์ คนที่สูงเกือบหนึ่งเมตรเก้ามีไม่มากนัก
ในระยะห่างประมาณนี้ ลูเมี่ยนไม่กังวลว่า ‘ค้อนเหล็ก’ แอตกับลูกน้องจะจำตนได้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมของลานเต้นรำค่อนข้างมืด แหล่งกำเนิดแสงมีเพียงโคมไฟแก๊สรอบๆ กับโคมไฟแขวนหนึ่งดวง ช่วยให้สะดวกแก่การ ‘พูดคุย’ ขณะเต้นรำ ตราบเท่าที่มิใช่คนรู้จักมักคุ้น คงเป็นเรื่องยากที่จะจำหน้ากันได้
ไม่เพียงเท่านั้น ลูเมี่ยนยังปลอมตัวมาในระดับหนึ่ง จึงไม่คาดคิดว่าจินนาจะจดจำตนได้ตั้งแต่แรกเห็น
หลังจากจินนาร้องจบไปอีกหนึ่งเพลง ‘ค้อนเหล็ก’ แอตก็พากลุ่มลูกน้องเดินออกจากลานเต้นไปยังชั้นสอง
ลูเมี่ยนยังคอยเฝ้าสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นบุคคลที่คุ้นเคยเดินมาจากประตู
เจ้าของโรงแรมระกาทอง ผู้สวมแจ็กเกตสีซีดจนเกือบขาว มิสเตอร์เอฟฟ์
ดวงตาสีครามของเขากวาดมองอย่างเร่งรีบเจือกังวล
“กำลังมองหาเฮิดซ์หรือไง? ไอ้วิตถารนั่นหายตัวไปตอนบ่าย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นอีกเลย… ทางนี้เริ่มกังวลว่าอาจเกิดเรื่อง จึงตระเวนไปตามคาบาเร่ต์และจุดที่มีหญิงขายตัวเพื่อหาเบาะแส?” ลูเมี่ยนครุ่นคิดพลางดึงสายตากลับ มองไปยังเหล่านักเต้นบนลานแทน
คำนึงจากท่าทีของวิญญาณเฮิดซ์ ‘ความสุดโต่งทางอารมณ์’ ของมิสเตอร์เอฟฟ์ดูจะเบากว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย คงมีพรในลำดับเทียบเท่า 9 โดยเน้นความโลภ หรืออาจรวมถึงความอยากอาหาร
ส่วนทางเฮิดซ์มีโอกาสสูงที่จะเทียบเท่าลำดับ 8 มีโอกาสน้อยที่จะเป็นลำดับ 7 ลูเมี่ยนเอนเอียงไปทาง 8 มากกว่า เพราะลำดับ 7 ที่เขาเคยเจอจะมีความรัดกุมมากกว่า ไม่หลงกลง่ายๆ และถูกเชือดในพริบตา
แน่นอน หากมิใช่เพราะลูเมี่ยนเฝ้าสังเกตอย่างอดทน จนพบว่าเฮิดซ์มีพลังในการกระตุ้นกำหนัด แล้วเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า ฝ่ายที่ถูก ‘เชือดในพริบตา’ คงจะเป็นเขาเสียมากกว่า
ในสถานการณ์ดังกล่าว หากไม่มีจินนา เขาอาจจะพึ่งพารสนิยมส่วนตัวเพื่อต่อต้านอิทธิพลได้บางส่วน ไม่ถึงกับลืมการมีอยู่ของศัตรูโดยสิ้นเชิง แต่พอเห็น ‘นางพญา’ นอนอยู่ ก็ยิ่งยากที่จะควบคุมตัวเอง ต้องพึ่งพาความเจ็บปวดเพื่อปลุกสติเท่านั้น
ลูเมี่ยนใช้หางตาเหล่มองมิสเตอร์เอฟฟ์ เห็นอีกฝ่ายกำลังคุยกับหางเครื่องที่รับงานขายบริการด้วย แต่ไม่นานก็ถูกพวกเธอไล่ตะเพิดด้วยท่าทีเหยียดหยาม ในใจเด็กหนุ่มจึงรู้สึกขบขันขึ้นมา
“ทำทีเป็นเจรจาเพื่อสอบถามข่าวคราวของเฮิดซ์?”
“แต่ด้วยความที่ตระหนี่หนักข้อเกินไป จึงมักจะต่อราคากว่าครึ่งหรือต่ำกว่านั้น ทำให้โดนด่าเข้า?”
“หึหึ… ก่อนหน้านี้ชาร์ลีเคยบอกว่า มิสเตอร์เอฟฟ์ที่เป็นพ่อหม้ายวัยกลางคน ไม่ยอมนอนกับโสเภณีถูกกฎหมายเพราะกลัวจะติดโรค… ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น เพราะแม้แต่โสเภณีผิดกฎหมายที่ราคาถูกกว่า เขาก็ยังเสียดายเงินที่จะซื้อบริการ!”
“ผลข้างเคียงของพรรุนแรงเกินไปจริงๆ …”
“หืม… ถ้าในกลุ่มนั้นมีผู้หญิง และอยู่ลำดับเดียวกับเฮิดซ์ มีพรแบบเดียวกัน เธอก็คง ‘หิวผู้ชาย’ ตลอดเวลาเช่นกัน มิสเตอร์เอฟฟ์ก็ไม่ต้องไปหาหญิงขายบริการที่ไหนแล้ว หึหึ… แต่พอผ่านไปสักพัก เขาจะเริ่มเกลียดที่ตัวเองเป็นผู้ชาย เพราะต่อให้แทบไม่เหลือเรี่ยวแรง แต่ก็ต้องถูกบังคับให้ทำเรื่องอย่างว่า”
“ถ้าผู้หญิงแบบนั้นจะปลอมตัว ก็ต้องมาทำงานหางเครื่อง หรือไม่ก็โสเภณีริมถนน?”
“ไม่สิ… ถ้ามีผู้หญิงแบบนั้นอยู่จริง เฮิดซ์ก็ไม่จำเป็นต้องออกมาคุกคามคนอื่น… หรือว่าผู้หญิงที่อยู่ลำดับใกล้เคียงกัน ล้วนเลื่อนขั้นหรือตายไปหมดแล้ว ปัจจุบันยังไม่มีคนใหม่เข้ามาแทนที่? หรือว่า… อัตราส่วนของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ทำให้เฮิดซ์กลายเป็นส่วนเกิน?”
ขณะลูเมี่ยนครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย วงดนตรีก็บรรเลงจังหวะอันเร้าใจอีกครั้ง
จินนาที่ร้องจบไปอีกเพลง กระโดดลงจากเวทีไม้กึ่งสูง ตรงมาหาลูเมี่ยนและชวนเขาเต้นอีกรอบ
ทำให้มีเสียงโห่ดังขึ้นรอบๆ ทันที
ลูเมี่ยนดูออกว่าจินนาคงมีเรื่องคุย จึงจงใจเหลียวซ้ายแลขวาเป็นครึ่งวงกลม เพื่อยั่วยุเหล่าบุรุษที่กำลังโห่ใส่
เด็กหนุ่มเดินเข้าลานเต้นรำ แนบชิดกับจินนาแล้วเริ่มเต้นทวิสต์ (Twist Dance)
จินนาเงยหน้ามองเขา ถามด้วยรอยยิ้ม
“คนของพรรคซาฟาห์อย่างคุณ… มาทำอะไรที่คาบาเร่ต์โรงโม่กันแน่?”
ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ
“ไม่คิดบ้างหรือว่าผมชอบคุณ? มาเพื่อฟังคุณร้องเพลงไง”
จินนากล่าวด้วยสีหน้าดูแคลน
“เป้าหมายของคุณคือ ‘ค้อนเหล็ก’ แอตสินะ?”
“จะทำแบบเดียวกับมาร์โกต์หรือ?”
“ฉลาดไม่เบา” ลูเมี่ยนชมด้วยน้ำเสียงยียวน
จินนายิ้มอย่างพึงพอใจ
“ฉันช่วยคุณได้นะ… ด้วยการบอกข้อมูลสำคัญ”
ลูเมี่ยนเปลี่ยนจากสีหน้าเรียบเฉยไปเป็นครุ่นคิด
“คุณอยากได้อะไรตอบแทน?”
จินนาพ่นจมูกพร้อมกับด่า
“คิดจะดูถูกกันหรือไง?”
“แม้ช่วงบ่ายฉันจะไม่ได้พูดขอบคุณ แต่ก็ยังไม่ลืมหรอกนะว่าคุณช่วยฉันไว้… ช่างบังเอิญ ฉันรู้จักกับทุกคาบาเร่ต์ในเขตตลาด และเพิ่งไปคุยกับแอตเรื่องงานร้องเพลงมา เลยคิดว่าอาจมีประโยชน์กับคุณบ้าง”
ไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบกลับ หญิงสาวเล่าไปพลางบดฟัน
“‘ค้อนเหล็ก’ อยู่ในห้องในสุดของชั้นสอง หันหน้าเข้าหาโรงแรมระกาทอง มีลูกน้องสิบคน สี่คนเฝ้าประตู ครึ่งหนึ่งด้านใน ครึ่งหนึ่งด้านนอก สองคนเฝ้าหน้าต่าง สองคนอยู่ตรงโซฟา และสองคนติดตามเขาตลอดเวลา ทุกคนพกปืน”
“ก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้มงวดหรือมีคนมากขนาดนี้ จนกระทั่งคุณฆ่ามาร์โกต์”
“ในห้องมีห้องน้ำในตัว ไม่มีใครเฝ้าข้างใน หน้าต่างถ้าเปิดออกจนสุด ก็พอจะให้คนคลานผ่านไปได้”
“คุณสามารถปีนท่อระบายอากาศในครัวของคาบาเร่ต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง หลีกเลี่ยงการปะทะกับคนเฝ้าบันได จากนั้นก็แอบเข้าห้องที่ติดกับห้องแอต กระโดดจากระเบียงหน้าต่างไปยังส่วนที่ยื่นออกจากห้องน้ำ แต่มันแคบมาก ต้องมีทักษะทางร่างกายที่ดีจึงจะสำเร็จ”
……………………………………………………..