ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 165 พบจินนาอีกครั้ง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 165 พบจินนาอีกครั้ง
ตอนที่ 165 พบจินนาอีกครั้ง
ลูอิสตกใจจนพูดออกมา
“แล้วถ้าชาร์ลล้มเหลว ถูกพวกแก๊งหนามพิษฆ่าตายล่ะครับ?”
บารอนบรินิแยร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“พรรคซาฟาห์ของเรา… มีปีไหนบ้างที่ไม่มีคนตาย?”
…
ระหว่างทางกลับโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนหน้านี้เขาวางแผนว่าจะจับตัวเป้งๆ ของแก๊งหนามพิษมาสักคน เพื่อสอบถามแหล่งที่มาของพลัง รวมถึงความสัมพันธ์กับเทพมารที่คุณนายปัวริสศรัทธา ผลลัพธ์ก็คือ ตอนนี้พรรคซาฟาห์มอบหมายให้เขาทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน สอดคล้องกับความต้องการอย่างสมบูรณ์แบบ
ด้วยวิธีนี้ เด็กหนุ่มไม่เพียงแต่ได้รับข้อมูลของเป้าหมายอย่างละเอียดในเวลาอันสั้น ช่วยประหยัดเวลาได้มากโข แต่ยังสามารถผลาญทรัพยากรของพรรคซาฟาห์ได้เต็มที่ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงอาวุธ กำลังคน และเส้นสาย
เมื่อสักครู่ลูเมี่ยนอยากขอเบิกระเบิดจากบารอนบรินิแยร์ เพื่อลองไตร่ตรองดูว่า จะมีวิธีวางกับดักเพื่อส่งหัวหน้าหน่วยแก๊งหนามพิษไปสวรรค์ได้หรือไม่
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขอมา เหตุผลแรก เขาคิดว่ามันดูบ้าบิ่นเกินไป อาจถูกตำรวจเพ่งเล็งเอาได้ ตัวเขาเป็นอาชญากรติดหมายจับอยู่แล้ว ถ้าถูกสอบปากคำก็เป็นอันจบเห่ เหตุผลที่สอง ถ้าตนระเบิดเป้าหมายเป็นจุณ เช่นนั้นแล้วจะเค้นข้อมูลจากใคร?
แน่นอนเขาสามารถใช้ ‘ระบำเรียกสถิต’ รวมถึง ‘กำแพงวิญญาณ’ เพื่อสั่งให้วิญญาณคนตายมาสิงร่าง และขยายความทรงจำที่อีกฝ่ายประทับใจมากที่สุด แต่นี่เป็นตัวแปรนอกเหนือการควบคุม ใครจะรู้ว่าในหัวของพวกนั้นมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่บ้าง? อาจเต็มไปด้วยขยะเหมือนไอวิตถารนั่น และต้องไม่ลืมว่า ‘ระบำเรียกสถิต’ หนึ่งครั้งสามารถขยายความทรงจำได้จุดเดียว ถ้าโชคไม่เข้าข้างอย่างแท้จริง คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ซึ่งขัดต่อความตั้งใจเดิมที่จะหนีออกจากจุดเกิดเหตุฆาตกรรมโดยไว
เป้าหมายเดิมของลูเมี่ยนคือ ‘ค้อนเหล็ก’ แอต แต่หลังจากฟังคำอธิบายของบารอนบรินิแยร์ เขารู้สึกว่า ‘หัวล้าน’ ฮาร์มันก็เป็นเป้าหมายที่ไม่เลว
เมื่อเทียบกับแอต ฮาร์มันมี ‘จุดอ่อน’ ที่ชัดเจนมาก ซึ่งในสายตาของนักล่า มันสามารถนำมาใช้วางกับดัก!
อีกฝ่ายมีพลังบางอย่างที่ทำให้ร่างกายแข็ง ต่อให้ถูกมีดแทงก็จะทิ้งบาดแผลไว้เพียงเล็กน้อย
ลูเมี่ยนยังไม่ลืม โอลัวร์เคยพูดว่า ‘พวกที่ว่ายน้ำเก่งมักจมน้ำตาย’
ประโยคนี้เมื่อนำมาใช้กับฮาร์มัน สามารถปรับให้เป็น ‘คนที่เก่งการใช้ร่างกายรับมีดรับปืน มักตายด้วยมีดและปืน’ ซึ่งลูเมี่ยนมีปรอทเสื่อมทรามที่เป็นมีดคำสาป
นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับ ‘ค้อนเหล็ก’ แอตที่อาศัยอยู่กลางดงแก๊งหนามพิษ ‘หัวล้าน’ ฮาร์มันที่มักจะออกมาหาโสเภณีหรือหางเครื่องตามลำพัง จึงดูเป็นเป้าที่ลงมือได้ง่ายกว่า และนอกจากนั้น เมื่อเทียบกับ ‘ค้อนเหล็ก’ แอต ฮาร์มันยังอยู่ใกล้กับแกนกลางอำนาจแก๊งหนามพิษมากกว่า ล่วงรู้ความลับมากกว่า
แต่ปัญหาคือ ถ้าวางกับดักแล้วใช้ ‘ปรอทเสื่อมทราม’ จัดการกับ ‘หัวล้าน’ ฮาร์มัน ก็คงจะหมดสิทธิ์จับเป็นมาเค้นข้อมูล
ถ้าลูเมี่ยนเก่งกาจจนสามารถล้ม ‘หัวล้าน’ ฮาร์มันลงได้ และสามารถจับอีกฝ่ายไปขังไว้สักแห่งใต้ดินทรีอาร์หลังจากใช้มีดแทง แล้วยังมีความจำเป็นอะไรที่ต้องใช้มีดแทงตั้งแต่แรก?
ต้องลองดวลหมัดดูก่อน ถ้าไม่ชนะ ทางเลือกเดียวคือการใช้มีดคำสาปแทงศัตรู ปล่อยให้อีกฝ่ายหนี หรือเป็นฝ่ายหนีเสียเอง รอให้วิญญาณมงต์ซูรี ‘ช่วย’ ดับลมหายใจเป้าหมาย
ส่วนจะลากคนในครอบครัวไปด้วยหรือไม่ มิใช่สิ่งที่เขาสนใจ
สรุปก็คือ การล่า ‘หัวล้าน’ ฮาร์มันกับ ‘ค้อนเหล็ก’ แอต ต่างก็มีข้อดีข้อเสีย ต่างก็มีจุดยาก ตอนนี้ลูเมี่ยนยังตัดสินใจไม่ได้
เด็กหนุ่มตั้งใจรอจนกว่าบารอนบรินิแยร์จะส่งอาวุธกับข้อมูลที่ละเอียดกว่าเดิมมาให้ช่วงพรุ่งนี้เช้า แล้วค่อยพิจารณาว่าจะเลือกใครเป็นเป้าหมายหลักในแผนการ
พอเดินเข้าประตูโรงแรมระกาทอง ก็เห็นคู่สามีภรรยารูเอลกับมิเชล เจ้าของเครื่องแต่งกายโทรมๆ ผมหงอกขาว มีกลิ่นตัว และเตี้ยค่อม กำลังลากกระสอบผ้าลินินสีน้ำตาลอ่อนที่ดูพองๆ ขึ้นชั้นบน
“พวกนี้คือ?” เด็กหนุ่มเดินผ่านโถง ถามด้วยความสงสัย
ไม่ใช่ว่าสามีภรรยาสูงอายุคู่นี้ คอยเที่ยวขายรูปถ่าย ‘สาวงามเชิงวิชาการข้างถนน’ ปลอมๆ แถวสถานีรถไฟไอน้ำซูสิตหรอกหรือ? ทำไมถึงลากของพะรุงพะรังแบบนี้ล่ะ?
รูเอลหยุดลากกระสอบ เช็ดเหงื่อกลางหน้าผาก ยิ้มแล้วพูด
“คุณไม่รู้หรือครับ มิสเตอร์ชาร์ล? ตอนกลางคืนเราสองคนจะทำงานเสริมเป็นคนเก็บของเก่า พวกนี้คือขยะที่เราเก็บมา ดูแล้วน่าจะยังพอใช้การได้”
ด้วยการ ‘ประชาสัมพันธ์’ ของชาร์ลี คู่สามีภรรยาได้ทราบว่าชาร์ลกลายเป็นหัวหน้าหน่วยพรรคซาฟาห์แล้ว ได้สิทธิ์คุมโรงแรมระกาทองแห่งนี้ จึงไม่แปลกใจนักที่ชาร์ลเดินเข้ามาทักถาม
ในมุมมองของพวกเขา คนคุมโรงแรมระกาทองอย่างมิสเตอร์ชาร์ลควรได้ทราบข้อมูลต่างๆ เอาไว้ เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย
ทำสองงาน… แม้ว่างานหนึ่งจะเป็นการหลอกลวงผู้คน… กลิ่นขยะตลบอบอวล… ลูเมี่ยนบีบจมูก รำพันเงียบงันในใจ ก่อนจะถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“พวกคุณเก็บขยะพวกนี้ไว้ในห้อง?”
“ใช่ครับ” รูเอลยิ้มอย่างพินอบพิเทา “พวกเราจะไปที่ศูนย์กำจัดขยะทุกๆ สองสามวัน ที่นั่นมีคนคอยรับซื้อของเก่าหลายชนิด ฮะฮะ! คนเก็บของเก่าน่ะ แม้จะตัวมอมแมมทั้งวัน ไม่ค่อยสะอาดนัก แต่ถ้าไม่มีพวกเรา ทั่วทั้งทรีอาร์ก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น ทุกซอกทุกมุมมีแต่ขยะเกลื่อนกลาด”
ในกรุงทรีอาร์ คนเก็บของเก่าคือผู้ช่วยแบ่งเบาภาระให้คนทำความสะอาด
ไม่แปลกใจที่มีกลิ่นเหม็นโชยออกจากห้อง… ไม่แปลกใจที่ตัวเหม็นตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องอาบน้ำ… ลูเมี่ยนเดินขึ้นบันไดอย่างไม่รีบร้อน พลางสังเกตใบหน้าที่เปี่ยมด้วยริ้วรอย รวมถึงร่างกายอันงองุ้มของรูเอลกับมิเชล แล้วจึงถามเหมือนไม่ใส่ใจ
“พวกคุณอายุก็ไม่น้อยแล้ว ทำไมยังทำงานหนักหาเงินอยู่อีก?”
คู่สามีภรรยารูเอลกับมิเชลชะงักไป ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเริ่มบิดเบี้ยว
ผ่านไปไม่กี่วินาที รูเอลก็ยิ้มอย่างขื่นขมระคนเจ็บปวด
“ก็เพราะอายุมากแล้ว ถึงต้องทำงานหนัก”
“พวกเราย้ายมาอยู่ทรีอาร์ตั้งแต่ยังหนุ่มสาว เคยทำงานสารพัด มีลูกหนึ่งคน แต่ก็ไม่โต เราเคยทำงานได้ค่าจ้างหลายเดือน แต่ก็แค่พอประทังชีวิต จนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอ แรงกายน้อยลง เรา… เราเริ่มกลัวขึ้นมา ไม่รู้อนาคตจะเป็นเช่นไร”
“ถ้าวันหนึ่งเราแก่จนไม่มีแรง ทำงานทุกวันไม่ไหว เราจะเป็นยังไงกันต่อ? ใช้เงินออมที่มีไม่มากนักหมดภายในไม่กี่เดือน แล้วพึ่งพากิจกรรมการกุศลของวิหารกับรัฐบาล? ใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน อดตายไปอย่างช้าๆ?”
“ผม…ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น…”
ลูเมี่ยนพลันนึกถึงคำพูดของพี่สาว ‘อินทิสสมัยนี้โหดร้ายมาก คนที่ทำงานหนักส่วนใหญ่ไม่มีหลักประกันเมื่อแก่เฒ่า’
รูเอลที่อารมณ์กำลังมา เริ่มพูดต่อ
“โชคดีที่พอแก่ตัวไป ความอยากอาหารก็น้อยลง กินน้อยลง นอนน้อยลง มีเวลาหาเงินมากขึ้นโดยไม่ต้องพะวงกับเรื่องอื่น หาเงินมาเท่าไรก็เก็บได้เกือบหมด”
“ในอนาคต… อาศัยเงินเหล่านี้ พวกเราคงจะใช้ชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี…”
“ฮะฮะ… อันที่จริง พวกเราถือว่าโชคดีกว่าคนส่วนใหญ่ มีน้อยคนนักที่จะอายุยืนแบบเรา”
นางมิเชลข้างๆ ช่วยเสริมด้วยใบหน้าคาดหวัง
“เมื่อเก็บเงินได้มากพอ เราจะกลับไปเออเมียร์ ซื้อที่ดินเพื่อทำไร่องุ่น แม้ในวันข้างหน้าจะเหลือเรี่ยวแรงไม่มาก แต่ก็จ้างคนมาช่วยได้ ยังไงเราก็ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว”
เออเมียร์เป็นเมืองหลวงของแคว้นแชมเปญ เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่โด่งดังที่สุดบนทวีปเหนือ
ลูเมี่ยนพยักหน้าเงียบงัน มองดูคู่สามีภรรยาสูงอายุ ช่วยกันลากกระสอบขยะขึ้นไปชั้นบน
หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าใหม่แบบเรียบง่าย เปลี่ยนเสื้อผ้า สวมเสื้อเชิ้ตลินิน กางเกงขายาวสีน้ำตาล รองเท้าหนังไร้เชือก ร่วมกับหมวกทรงกลมสีเข้ม ออกเดินทางไปยังคาบาเร่ต์โรงโม่
เนื่องจาก ‘ค้อนเหล็ก’ แอต ยังคงเป็นหนึ่งในเป้าหมาย จึงต้องไปเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว คาบาเร่ต์โรงโม่กำลังคึกคักได้ที่ ท่ามกลางท่วงทำนองดนตรีอันเร้าใจ ชายหญิงมากหน้าหลายตากำลังเต้นรำไปบนลาน ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจอย่างสุดเหวี่ยง
ด้วยเกรงว่าจะถูกคนของแก๊งหนามพิษจำหน้าได้ หลังจากไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อสั่งเบียร์ไรย์หนึ่งแก้ว ลูเมี่ยนก็เดินมายืนข้างลานเต้นรำ ขณะโยกย้ายร่างกายไปตามทำนอง ตาก็กวาดมองสิ่งรอบตัว
ไม่นานนัก เขาเห็น ‘กะหรี่น้อย’ จินนาปรากฏตัวบนเวทีกึ่งสูงด้านหน้า
เธอยังใส่ชุดเดียวกับตอนบ่าย เสื้อสั้นกับกระโปรงสั้นฟูสีขาว
คราวนี้เขียนจุดดำไว้ตรงกลางสันจมูก
หมายถึงความซุกซน
เป็นพวกจิตแข็งจริงๆ … ตอนบ่ายเพิ่งจะเจอเรื่องแบบนั้นมา ตกเย็นยังมาทำงานต่อได้… ลูเมี่ยนชมเชยจากใจจริง
ตามความคิดของเด็กหนุ่ม จินนาที่เป็น ‘คนรัก’ ของ ‘บูตแดง’ ฟรังก้า ไม่มีความจำเป็นต้องทุ่มเททำงานหนักถึงเพียงนี้เลย
จังหวะกลองหยุดลง คนในลานเต้นรำต่างหันกลับมา จดจ้องจินนาพลางหายใจหอบ
จินนาเริ่มต้นด้วยเสียงสูงผสมกับการเอื้อนลูกคอ
“เออร์เนสต์~ ออกห่างจากภรรยากับกล้องยาของฉันซะ~!”
ผู้คนพากันหัวเราะร่า ราวกับว่านึกถึงเรื่องราวเดียวกัน
ทุกคนขยับเขยื้อนร่างกายอย่างเบาสบายไปตามเสียงร้องที่ไพเราะแต่หยาบคาย
จินนาร้องเพลงไปพลางเตะขาสูง บางครั้งก็ย้ายตำแหน่งยืนเพื่อแจกจ่ายรอยยิ้มซุกซนแก่ผู้ชมในทุกทิศทาง จนกระทั่งจบด้วยท่าแยกขาราวกับนางพญา
ระหว่างร้องสลับเต้น หญิงสาวสะดุดตากับลูเมี่ยน จนแน่นิ่งไปราวหนึ่งวินาที ก่อนจะรีบกลับมาเป็นปกติ
เมื่อร้องเพลงดังกล่าวจบ จังหวะกลองอันเร้าใจก็ดังขึ้นใหม่ แต่จินนามิได้ไปพัก เลือกกระโดดเข้าไปในลานเต้นรำท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ท่ามกลางเสียงผิวปาก ท่ามกลางกลุ่มชายชาตรีที่พยายามเบียดเสียดเข้าใกล้เธอ จนกระทั่งมาถึงหน้าลูเมี่ยน แล้วจึงตะโกนด้วยรอยยิ้ม
“พ่อราชสีห์หนุ่มหล่อ มาเต้นรำกับฉันสักเพลง!”
สิงโตจะมีแผงขนรอบคอที่ดูคล้ายรัศมีของดวงอาทิตย์ ในอินทิสมักใช้เปรียบเปรยผู้ชายที่มีเสน่ห์
ลูเมี่ยนสังเกตเห็นว่าจินนามีบางสิ่งอยากจะพูดกับตน จึงวางแก้วเบียร์ลง กระโดดเข้าไปในลานเต้นรำและเริ่มวาดลวดลายต่อหน้า ‘นางพญา’
เมื่อมาถึงท่าที่ต้องโอบกอด จินนาก็โผเข้าอ้อมแขนของลูเมี่ยน พลางกระซิบข้างหูด้วยรอยยิ้ม
“คุณมีพรสวรรค์ในการเต้นนะ”
“จริงสิ… ฉันสืบมาแล้วว่าไอ้วิตถารนั่นเป็นใคร”
“มันชื่อเฮิดซ์ เคยอาศัยอยู่ที่ห้อง 504 ของโรงแรมระกาทอง”
ห้องของชาร์ลี? ผู้เช่าที่แปะภาพซูซานน่า·มาติสไว้บนผนังห้อง 504? ลูเมี่ยนตกตะลึงไปชั่วขณะ
……………………………………………………..