ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 158 “ฟ้อง”
ตอนที่ 158 “ฟ้อง”
ชาร์ลีถึงกับอึ้งเพราะเขานึกขึ้นได้ว่า ชาร์ลเคยเตือนตนแล้วตั้งแต่เช้า เรื่องที่อาจประสบพบเจอโชคร้าย พอตกบ่ายก็เสียโอกาสในทำงานที่รอคอยไป ซ้ำยังเสียเงินไปหลายเฟลคินเพื่อเลี้ยงเครื่องดื่มคนอื่นโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมา
สิ่งนี้ทำให้เขาที่ชีวิตมิได้สบายอยู่แล้ว ยิ่งตกที่นั่งลำบาก
เห็นท่าทางยิ้มแย้มของชาร์ล ชาร์ลีลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว
“นายดูดวงเป็นหรือ?”
แถมยังแม่นยำเสียด้วย!
“ก็บอกไปแล้วไงว่าเดา” ลูเมี่ยนโกหกหน้าตาย
แน่นอนว่ามิใช่คำโกหกไปเสียทั้งหมด เด็กหนุ่มคาดเดาจากการอ่านดวงชะตา ก็เหมือนกับการที่รู้คำตอบของโจทย์แล้วค่อยมาคิดกระบวนการ
ชาร์ลีทำหน้าไม่เชื่อ แต่ก็มิได้คาดคั้นหาความจริง เพียงเปลี่ยนคำถาม
“ดวงซวยของฉันหมดไปหรือยัง?”
ลูเมี่ยนจ้องหน้าอีกฝ่ายพลางรวบรวมสมาธิ ดวงตาดูลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อย
บรรยากาศรอบตัวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังปนเคร่งขรึม
ได้เห็นท่าทีของชาร์ล ใจของชาร์ลีเต้นระรัวขึ้นมาทันที รู้สึกปากแห้งด้วยความตื่นเต้น
“ป…เป็นยังไงบ้าง?”
ลูเมี่ยนเม้มปากพูด
“นายจะได้เจอกับหายนะในเร็วๆ นี้”
สีหน้าของชาร์ลีพังทลายทันที ผิวหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำสลับขาว ไม่หลงเหลือความแดงระเรื่อเมื่อสักครู่อยู่เลย
ลูเมี่ยนแสยะยิ้ม
“ล้อเล่นน่า… ถึงจะยังไม่โชคดีในเร็วๆ นี้ แต่ก็ไม่ถึงกับดวงซวยเกินเหตุ”
ชาร์ลีไม่กล้าปักใจเชื่อคำพูดลูเมี่ยนอีกแล้ว
“จริงหรือ?”
“ไม่จริง! ถ้านายอยากเชื่อก็เชิญเชื่อ แต่ถ้าไม่เชื่อฉันก็ไม่ถือ” ลูเมี่ยนสั่งอัปแซ็งต์แอนีซมาหนึ่งแก้ว พลางยิ้มอย่างไม่แยแส
ท่าทีดังกล่าวกลับทำให้ชาร์ลีโล่งอก รีบนั่งลงบนเก้าอี้สูงข้างๆ จิบเบียร์ไรย์หนึ่งคำแล้วพูด
“มันคงเป็นเพราะเรื่องนั้นยังไม่จบ…”
อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น… ลูเมี่ยนตัดสินใจเลิกขู่ชาร์ลีให้กลัว
ชาร์ลีพูดพลางจ้องเคาน์เตอร์บาร์ตรงหน้า
“นายเชื่อไหม… ในวินาทีนั้น ฉันเคยคิดจะไปเป็นกรรมกรชั้นล่างสุด ทำยังไงก็ได้ขอแค่ย้ายออกจากเขตตลาด”
ลูเมี่ยนเหลือบมองอีกฝ่าย
“ถ้าเรื่องมันจะเกิด นายย้ายไปที่ไหนก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
ใบหน้าชาร์ลีเผยความเศร้าที่ไม่อาจปกปิด
ลูเมี่ยนรีบเสริม
“ฉันแนะนำให้ไปวิหารสุริยันเจิดจรัสใกล้ๆ เพื่อสวดมนต์บ่อยๆ”
“แล้วก็… วันนี้ฉันได้กินมื้อเย็นกับมิสเตอร์เอฟฟ์ เจ้าของโรงแรมมา พอถามถึงห้อง 504 ท่าทีของเขาดูแปลกไป เหมือนรู้เรื่องราวของผู้เช่าคนก่อนหน้านาย แต่ไม่ยอมเล่าความจริง”
ชาร์ลีอึ้งไปสักพักกว่าจะเข้าใจความนัยของชาร์ล
เขาหรี่เสียงพูดอีกครั้ง
“ค…คนที่ติดภาพของผู้หญิงคนนั้น?”
ลูเมี่ยนผงกศีรษะช้าๆ แต่หนักแน่น
ชาร์ลีเงียบไปสักพักก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“ฉ…ฉันต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกกับ… กับพวกเขา… พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปที่โบสถ์ใกล้ๆ … บอกกับบาทหลวง…”
ไม่เลว… หลังจากที่เราพร่ำสอนอยู่หลายวัน หมอนี่เริ่มฉลาดกว่าลูอิสแห่งพรรคซาฟาห์แล้ว สามารถเข้าใจคำแนะนำอ้อมๆ ได้ทันที… ลูเมี่ยนยกแก้วอย่างพึงพอใจ ดื่มของเหลวสีเขียวที่ดูน่าอัศจรรย์
เด็กหนุ่มไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโรงละครกรงพิราบเก่าเลย ไม่แน่ใจว่าปัญหานี้ร้ายแรงเพียงใด เลยเถิดไปถึงขั้นไหนแล้ว หากหวังจะสืบเสาะด้วยตัวเอง เกรงว่าถ้าไม่ใช้เวลาสักหนึ่งถึงสองสัปดาห์ ก็คงจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร และถึงแม้จะสืบได้ความมา แต่ก็ใช่ว่าจะรับมือด้วยพลังของตัวเองไหว ดังนั้น คงเป็นการดีกว่าถ้าจะรีบแจ้งให้ทางการทราบตั้งแต่เนิ่นๆ
หลังจากชาร์ลีตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะ เขามองไปทางปาวาร์·นีซองต์ที่กำลังชงเครื่องดื่ม พบว่าอีกฝ่ายมิได้หันมาสนใจ จึงกระซิบถามลูเมี่ยนเบาๆ
“ถ้าพวกเขาถามว่าฉันเอาข่าวนี้มาจากไหน ต้องตอบยังไงดี?”
“ก็บอกไปเลยว่าได้ยินระหว่างคุยกับฉัน” ลูเมี่ยนตอบง่ายๆ
ด้วยการ ‘ประชาสัมพันธ์’ ก่อนหน้านี้ของชาร์ลี ตำรวจในเขตตลาดคนซื่อคงทราบกันหมดแล้ว ว่าโรงแรมระกาทองกลายเป็นถิ่นของชาร์ลแห่งพรรคซาฟาห์ ดังนั้น การที่ชาร์ลกับมิสเตอร์เอฟฟ์ เจ้าของโรงแรมจะนัดกินข้าวพูดคุยกัน จึงมิใช่เรื่องผิดวิสัยแต่อย่างใด
ถึงตอนนั้น ถ้าผู้วิเศษของทางการลองสืบสวนดูสักหน่อย ก็จะพบว่าทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ จนหมดข้อสงสัยในตัวลูเมี่ยนไปเอง
“ตกลง” ชาร์ลีผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
ลูเมี่ยนจิบ ‘นางฟ้าหยก’ เพิ่มอีกคำแล้วหันมาถาม
“นายรู้จักชื่อหัวหน้าหน่วยของแก๊งหนามพิษบ้างไหม”
ชาร์ลีเคยเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะพรรคซาฟาห์ แก๊งหนามพิษ หรือแก๊งรายย่อยอื่นๆ บุคคลระดับหัวหน้าหน่วยในเขตตลาดคนซื่อล้วนมีชื่อเสียงประมาณหนึ่ง สามารถใช้ขู่เด็กๆ ได้
“นายคิดจะทำอะไร?” ท่าทีชาร์ลีเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น
“ไปหาพวกเขาเพื่อสอบถามบางเรื่อง” ลูเมี่ยนเลือกคำพูดให้สวยหรูที่สุด
ชาร์ลีผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเบื้องหลังมิได้น่าตื่นเต้นอย่างที่คิด
“นอกจากมาร์โกต์ ฉันรู้จักอีกสองคน รายแรกคือ ‘ค้อนเหล็ก’ แอต เดิมอยู่ตลาดคนซื่อ แต่พักหลังมานี้เจอที่ถนนอลเวงบ่อยๆ อีกคนชื่อฮาร์มันไม่มีฉายา ฉันเคยเห็นเขาเดินกับมาร์โกตหลายครั้ง มาร์โกต์ดูจะเคารพคนนี้มาก… เอ่อ… จุดเด่นคือหัวล้าน”
“บอสใหญ่แก๊งหนามพิษคือ ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ ถ้าจำไม่ผิดบ้านอยู่บนถนนใหญ่ตลาด…”
ถ้าทำให้มาร์โกต์นับถือได้ ฮาร์มันต้องเหนือกว่ามาร์โกต์ทั้งในแง่ตำแหน่งและฝีมือ… ‘ค้อนเหล็ก’ แอตคือคนรับช่วงต่อคาบาเร่ต์โรงโม่กับถิ่นถนนอลเวงจากมาร์โกต์ ก็เลยเทียวไปเทียวมาแถวนี้บ่อย? ลูเมี่ยนวิเคราะห์อยู่สักพักก่อนจะเลือกพุ่งเป้าไปหา ‘ค้อนเหล็ก’ แอต
ในอีกสองสามวันข้างหน้า เด็กหนุ่มวางแผนจะสะกดรอยตามหัวหน้าหน่วยรายนี้ เพื่อศึกษาพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวัน หากหลังจากนี้หาตัววิลสันไม่เจอจริงๆ ก็จะพิจารณาล็อกเป้าไปที่เขาแทน
ดื่มอัปแซ็งต์จนหมด ลูเมี่ยนกับชาร์ลีเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน
ยังไม่ทันเข้าใกล้ห้อง 207 เขาก็เห็นกล่องไม้วางอยู่บนพื้นหน้าประตู บนฝาปิดวาดสัญลักษณ์ของพรรคซาฟาห์ด้วยหมึกดำ
“กระสุนหนึ่งนัดกับมีดสั้นหนึ่งเล่ม”
วัตถุดิบจากลูอิส? ลูเมี่ยนก้มตัวหยิบกล่องไม้ แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง
เมื่อเปิดฝาออกก็ไม่ผิดไปจากที่คาด เขาได้พบกับก้อนหินสีเข้มที่มีกลิ่นมูลนก คู่ตาสีเลือดในขวดแก้ว และสุดท้ายคือถุงพิษ
…
ถนนใหญ่ตลาด ภายใต้แสงสีเหลืองจากโคมไฟแก๊ส
เจ้าของโรงแรมระกาทอง มิสเตอร์เอฟฟ์ นำทางใครบางคนมาหยุดอยู่ข้างๆ คนไร้บ้านที่กำลังนอนหลับสนิท
“เหรียญเงินของผมอยู่ที่นี่!” เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ
คนที่ตามมาเหลือบมองคนไร้บ้านที่นอนในเงามืด แล้วจึงถาม
“ใช่เขาไหมคนที่ปล้นคุณ?”
“ไม่ใช่” เอฟฟ์ตอบอย่างมั่นใจ “ทั้งส่วนสูง รูปร่าง และเสื้อผ้า ก็ล้วนผิดไปหมด”
“โจรโยนเงินที่ปล้นมาได้ให้คนเร่ร่อน… ชักมีกลิ่นตุๆ แล้วสิ” บุคคลที่ยืนข้างโคมไฟถนน พยักหน้าเบาๆ จนแทบไม่เห็น “เราต้องเตรียมตัวรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน รวมถึงเตรียมตัวรับมือกับการสืบสวน”
เอฟฟ์ ‘อืม’ ออกมาหนึ่งคำพลางพึมพำ
“ถ้าหมอนั่นไม่โยนเหรียญเงินของผมให้คนเร่ร่อน พวกเราก็คงได้เจอมันแล้วแท้ๆ”
เขาสามารถรับรู้ตำแหน่งของเงินหรือทรัพย์สินที่เคยเป็นของตนได้ภายในระยะเวลาหนึ่ง
…
เช้าวันถัดมา ลูเมี่ยนใช้เวลาอยู่ที่โรงแรมระกาทอง นั่งพลิกนั่งอ่านบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์
เนื่องจากเขาต้องสะกดรอยตาม ‘ค้อนเหล็ก’ แอตกับลิ่วล้อในระยะยาว ซึ่งคนเหล่านี้มักปรากฏตัวช่วงบ่าย ลากยาวไปจนถึงเช้ามืด เด็กหนุ่มจึงต้องเปลี่ยนเวลาเรียนของตนมาเป็นช่วงเช้า
ชาร์ลีตื่นแต่เช้าไปวิหารสุริยันเจิดจรัสใกล้ๆ ขากลับไม่เพียงแต่ดูผ่อนคลายขึ้นมาก หน้าตายังยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับทั้งถูกช่วยเหลือและได้รับคำชม
เมื่อใกล้เที่ยง ลูเมี่ยนซ่อนสมุดบันทึกเวทมนตร์ ออกไปเดินเตร่อยู่แถวถนนใหญ่ตลาด ไม่ไกลจากอพาร์ตเมนต์ของมิสเตอร์เอฟฟ์กับโรงละครกรงพิราบเก่ามากนัก เพื่อคอยสอดส่องว่าผู้วิเศษทางการมีความเคลื่อนไหวใดบ้าง
ทุกสิ่งดูปกติเหมือนเคย ผู้คนเดินขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นร้านรวงข้างทางหรือรถม้าที่แล่นผ่านไปผ่านมา ล้วนไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่
ลูเมี่ยนสังเกตการณ์อยู่สักพัก จนกระทั่งเตรียมจะหาร้านอาหารใกล้ๆ เพื่อเติมเต็มกระเพาะ ก็พลันเห็นมิสเตอร์เอฟฟ์ปรากฏตัวจากระยะไกล
อีกฝ่ายยังคงสวมเสื้อแจ็กเกตที่ซักจนซีด กางเกงขนแกะขายาวสีเกาลัด หมวกกลมปีกกว้างสีเทาอ่อน ถือไม้ตะพดสีดำเดินดุ่มไปทางอพาร์ตเมนต์ที่ตัวเองอาศัย
ผู้วิเศษทางการยังไม่โผล่มาอีก? ลูเมี่ยนไตร่ตรองอยู่สักพักแล้วจึงเดินลัดผ่านถนนใหญ่ตลาดเข้าหาเจ้าของโรงแรมนั่น
“ทิวาสวัสดิ์ครับมิสเตอร์เอฟฟ์ ไปไหนมาหรือ?” เด็กหนุ่มยิ้มทักทาย
มิสเตอร์เอฟฟ์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองด้วยท่าทีระแวดระวังปนหวาดกลัว
“ไปจัดการธุระที่สถานีตำรวจมาครับ”
ผู้วิเศษทางการส่งจดหมายเรียกมิสเตอร์เอฟฟ์ให้ไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจ แต่คนสอบปากคำตัวจริงคือผู้วิเศษตรงสาย? ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจเรื่องราว
แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ
ผู้วิเศษทางการตรวจไม่พบว่ามิสเตอร์เอฟฟ์มีพลังวิเศษ?
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับแผ่วเบา ถามยิ้มๆ
“เรื่องอะไรครับ? ให้ผมช่วยไหม”
“ไม่เป็นไรครับ” มิสเตอร์เอฟฟ์สงวนท่าทีเชิงปฏิเสธ
จากนั้นก็รีบชี้ไปทางอพาร์ตเมนต์สีเบจ
“ขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ”
เพื่อมิให้อีกฝ่ายเคลือบแคลงสงสัย ลูเมี่ยนไม่พยายามเรียกรั้ง และไม่ถามอะไรเพิ่ม
เพียงมองตามหลังมิสเตอร์เอฟฟ์ที่กำลังย่างกรายออกไป พลางขมวดคิ้วเล็กๆ
หวนนึกถึงบทสนทนาเมื่อสักครู่ เขาไม่พบจุดที่น่าสงสัย แต่สัมผัสได้ว่ามีบางรายละเอียดแปลกไป เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
ลูเมี่ยนเริ่มเพ่งสมาธิตามความเคยชิน จ้องใส่แผ่นหลังมิสเตอร์เอฟฟ์ หวังอ่านดวงชะตาล่าสุดของอีกฝ่าย
เป็นดวงชะตาที่ปกติ ไม่ดีไม่แย่
ความกังขาในใจลูเมี่ยนไม่เพียงไม่ลดลง แต่กลับยิ่งเพิ่มขึ้น
เมื่อวานตอนที่กินมื้อเย็นกับมิสเตอร์เอฟฟ์ เด็กหนุ่มย่อมต้องอ่านดวงชะตาอีกฝ่ายตามความเคยชิน
และผลก็คือ โชคของเขาไม่ค่อยดีนัก!
ดวงชะตาของเขาเปลี่ยนไปในวันเดียว? ระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ลูเมี่ยนหันหลังกลับ สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าเดินเตร่ไปบนถนนใหญ่ตลาด
……………………………………………………..