ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 157 โรงละครกรงพิราบเก่า
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 157 โรงละครกรงพิราบเก่า
ตอนที่ 157 โรงละครกรงพิราบเก่า
มิสเตอร์เอฟฟ์ทำงานเสริมเป็นนักแสดง หรือนี่เป็นแค่งานอดิเรก? ลูเมี่ยนครุ่นคิดด้วยความฉงน
ความเข้าใจแรกของเด็กหนุ่มก็คือ มิสเตอร์เอฟฟ์ที่เป็นเจ้าของโรงแรมระกาทอง ถึงจะไม่ถือว่ามั่งคั่ง แต่สถานะทางการเงินก็ไม่แย่ ซ้ำยังมีรายได้จากทางอื่น ไม่น่าจะมาทำงานเสริมเป็นนักแสดงละครเวที แต่เมื่อคำนึงจากความรักในเงินทองและความงกในการจับจ่ายของอีกฝ่าย ลูเมี่ยนเริ่มไม่กล้าฟันธงว่าชายคนนี้จะไม่รับบทบาทเล็กๆ ในยามว่าง เพราะอย่างน้อยก็ยังทำเงินเพิ่มได้อีกสักนิดสักหน่อย ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์
หลังจากยืนยันจนมั่นใจว่าตัวประกอบคนนั้นคือมิสเตอร์เอฟฟ์ ลูเมี่ยนเลื่อนสายตาไปอ่านชื่อใหญ่ๆ บนโปสเตอร์
“นางฟ้าแห่งพงไพร”
จากข้อความที่เขียนกำกับไว้ นี่คือละครเวทีคลาสสิกของโรงละครกรงพิราบเก่า ซึ่งมักถูกนำมาแสดงใหม่อีกครั้งหลังจากผ่านไปสักระยะ
จากบรรดาทั้งหมด ผู้ที่รับบทเป็นนางฟ้าแห่งพงไพรคือสตรีหน้าคม ภาพรวมดูสดใสแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ นัยน์ตาสีทะเลสาบ ทั้งไร้เดียงสาและบริสุทธิ์
แต่ลูเมี่ยนกลับไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเสน่ห์เย้ายวนเลย เนื่องจากเธอสวมกำไลข้อมือ สร้อยคอ และเข็มขัดที่ถักจากกิ่งไม้ใบหญ้า บนศีรษะยังสวมมงกุฎที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ ทำให้ลูเมี่ยนนึกถึงเอวาที่แสดงเป็นนางฟ้าใบไม้ผลิในความฝัน และซูซานน่า·มาติสเจ้าของผมสีเขียวยาวสลวย
สำหรับเด็กหนุ่มแล้วนี่มิใช่ความทรงจำที่น่าอภิรมย์นัก โดยเฉพาะรายหลัง หากตัดแรงกระหายอันผิดเพี้ยนซึ่งเกิดจากการถูกกระตุ้นออกไป ก็จะเหลือเพียงความน่าพรั่นพรึงและน่ารังเกียจ
“ชาร์ล็อตต์·คัลวีโน” หลังจากอ่านชื่อนักแสดงหญิงคนนั้น ลูเมี่ยนเริ่มมองหาเบาะแสอื่นๆ จากโปสเตอร์อื่น
จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า มิสเตอร์เอฟฟ์ร่วมแสดงในละครสามเรื่อง และทุกเรื่องได้รับบทบาทรอง กล่าวคือ ต่อให้ไม่มีเขาก็สามารถหาคนอื่นมาแสดงแทนได้ทันที
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปในโรงละครด้วยความคิดมากมาย จ่ายสิบริกต์เพื่อซื้อตั๋วเข้าชม
โรงละครกรงพิราบเก่าถูกสร้างขึ้นอย่างมีระเบียบแบบแผน ด้านในสุดเป็นเวทีใหญ่ มีโคมไฟแก๊สหลายดวง ม่านหนาๆ ถูกดึงขึ้นไปเก็บไว้ด้านบน รวมถึงกลไกอีกหลายชนิดที่ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ
ด้านหน้าเวทีมีทิวแถวเก้าอี้นั่ง ยิ่งถอยมาด้านหลังก็ยิ่งสูงแบบขั้นบันได
ลูเมี่ยนเดินถือตั๋วหาที่นั่งจนพบและนั่งลง
ละครที่กำลังแสดงอยู่ก็คือ ‘เจ้าหญิงกับอสูร’ นักแสดงบางคนแต่งกายค่อนข้างวาบหวิว นุ่งน้อยห่มน้อย สอดคล้องกับรสนิยมทั่วไปของเขตตลาดคนซื่อ
ดูไปได้สักพัก ลูเมี่ยนทึ่งจนต้องอุทานในใจ
“นี่น่ะหรือมาตรฐานของโรงละครในทรีอาร์?”
“ฝีมือการแสดงระดับนี้ได้อยู่แค่ในเขตตลาดคนซื่อ? ถ้างั้นในเขตโรงอุปรากรจะสุดยอดขนาดไหน?”
ละครเวทีมิใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเด็กหนุ่ม โอลัวร์แม้จะชอบอยู่บ้าน แต่ถ้าหมกตัวไปนานๆ ก็จะเริ่มอยากออกข้างนอก บางครั้งก็ไปยืมม้าน้อยจากคุณนายปัวริสมาขี่ บางครั้งก็จับกลุ่มคุยกับหญิงชราในหมู่บ้านกอร์ตู บางครั้งก็เล่าเรื่องให้พวกเด็กๆ ฟัง บางครั้งก็พาลูเมี่ยนเข้าเมืองดาลีแอชเพื่อดูละครเวที อุปรากร และละครสัตว์ หรือไม่ก็ตลาดหนังสือใต้ดินเพื่อหาแรงบันดาลใจ
การแสดงเหล่านั้น เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขากำลังเห็นจากโรงละครกรงพิราบเก่า ก็ไม่ต่างอะไรกับการละเล่นของเด็กๆ
นักแสดงหลักบนเวทีล้วนมีฝีมือโดดเด่นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะสีหน้า แววตา ท่าทาง หรือบทพูด ทั้งหมดดูจริงราวกับตัวละครนั้นเข้าสิงสถิตร่าง ส่งผลให้ลูเมี่ยนที่แต่เดิมเข้ามาเพียงเพื่อสำรวจหรือมองหาความผิดปกติ เริ่มต้องมนตร์สะกดการแสดงของพวกเขา จนเกิดความประทับใจกับอสูรผู้ต่ำต้อย ดุร้าย และเป็นทุกข์ ประทับใจกับเจ้าหญิงผู้ไร้เดียงสา จิตใจดีงาม แต่ต้องเศร้าโศก
กลุ่มนักแสดงหลักเหล่านี้ แค่คนเดียวก็สามารถค้ำจุนโรงละครในดาลีแอชได้สบาย
เมื่อละครจบลง ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากให้จบ พลางปรบมือเกรียวกราวด้วยความชื่นชม
เขาไม่พบปัญหาใดในตัวกลุ่มนักแสดง และไม่พบความผิดปกติจากโรงละครขณะออกไปเข้าห้องน้ำในช่วงพักของแต่ละม่าน
หลังออกจากโรงละครกรงพิราบเก่า ลูเมี่ยนเงยหน้ามองอพาร์ตเมนต์สีเบจที่อยู่เยื้องๆ ฝั่งตรงข้าม แลเห็นว่าหน้าต่างหลายบานบนชั้นหก มีแสงสีเหลืองของโคมไฟแก๊สส่องลอดออกมา
จากที่คุณนายเฟลส์เล่าให้ฟัง มิสเตอร์เอฟฟ์จะปลูกผักบนหลังคาเพื่อประหยัดเงิน ลูเมี่ยนจึงเดาว่าเขากับครอบครัวคงอาศัยอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งบนชั้นหกของอพาร์ตเมนต์
หลังจากสังเกตการณ์อยู่สักพัก สายตาของลูเมี่ยนก็หยุดอยู่ที่หน้าต่างบานที่สว่างน้อยที่สุด
คำนึงจากความงกของมิสเตอร์เอฟฟ์ เขาคงไม่ยอมเสียเงินเพิ่มด้วยการเปิดโคมไฟแก๊สเพิ่มอีกหนึ่งดวง
ลูเมี่ยนจึงหามุมมืดปลอดคนเพื่อคอยสอดส่องหน้าต่างบานดังกล่าว อดทนรอการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป จนกระทั่งมีคนเร่ร่อนเดินเข้ามา หวังใช้มุมอับลมตรงนี้เพื่อนอนค้างคืน แต่พอเห็นเงาคนกำลังนั่งอยู่ในความมืด ก็รีบเดินออกไปด้วยสีหน้าผิดหวัง
สำหรับลูเมี่ยนแล้ว เหตุการณ์ทำนองนี้มิใช่เรื่องแปลกใหม่ เพียงอดทนรอต่อไปอย่างแน่วแน่
เมื่อย่างเข้าใกล้ห้าทุ่มตรง แสงไฟสลัวๆ จากหน้าต่างบานดังกล่าวได้ดับลง
ผ่านไปเกือบสิบห้านาที มิสเตอร์เอฟฟ์ที่สวมแจ็กเกตสีเข้มที่ซักจนซีด กับกางเกงขายาวขนสัตว์สีเกาลัด ก็ปรากฏจากประตูอพาร์ตเมนต์
เขามองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง ถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินเลาะเงามืดริมถนน ตรงไปยังทางเข้าโลกใต้ดินทรีอาร์ที่ห่างออกไปราวๆ สิบเมตร
ลูเมี่ยนทำตัวราวกับรูปปั้น นิ่งมองมิสเตอร์เอฟฟ์กับแสงสว่างจากโคมไฟคาร์ไบด์ลับสายตาไป
ไม่กี่นาทีถัดมา เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้วิเศษทางการสะกดรอยตามมิสเตอร์เอฟฟ์ไป เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นยืน ตบเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เดินข้ามถนนใหญ่ตลาดไปยังข้างบันไดหินที่พาลงใต้ดิน
ลูเมี่ยนไม่คิดจะไล่ตามลงไป เหตุเพราะว่า หนึ่ง เขามิได้พกอุปกรณ์ส่องสว่างมาด้วย ในตัวมีเพียงเทียนไขไม่กี่เล่มสำหรับอาคมพิธีกรรม ซึ่งมีกลิ่นเด่นชัดเกินไป สอง เขายังไม่ทราบว่ามิสเตอร์เอฟฟ์มีพลังแบบไหน ลงไปใต้ดินทรีอาร์เพื่อการใด และเกี่ยวข้องกับกองกำลังระดับใด
เด็กหนุ่มถอยหลังสองก้าว หลบอยู่หลังเสาอิงของบ้านหลังหนึ่งริมถนน อาศัยเงาช่วยในการซ่อนตัว
หลังจากการรอคอยอันยาวนาน เมื่อจวนเจียนจะเที่ยงคืน แสงสีออกน้ำเงินจากโคมไฟคาร์ไบด์ก็สว่างมาจากทางลงใต้ดิน
ตามมาด้วยเงาของมิสเตอร์เอฟฟ์ที่ยืดยาวจนผิดปกติ
อีกฝ่ายเพิ่งเดินพ้นบันไดหิน ลูเมี่ยนกดหมวกแฟลตแก๊ปให้ต่ำ แล้วเดินเข้าไปหาพร้อมกับคำรามต่ำ
“ส่งเงินมา!”
นี่คือวิธีทดสอบฝีมือมิสเตอร์เอฟฟ์ที่ลูเมี่ยนคิดได้ หากอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ลำพังโจรคนกระจอกย่อมไม่คณามือ และคงโจมตีใส่ทันทีโดยหวังปลิดชีพ หากเป็นแบบนั้น ลูเมี่ยนก็จะมีโอกาสและพื้นที่เพียงพอสำหรับการหลบหนี อย่างมากก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย เสียเงินเสียทองไปบ้าง
หากมิสเตอร์เอฟฟ์มิได้แสดงฝีมือในระดับที่สามารถข่มขวัญ การปล้นจะเปลี่ยนเป็นการลักพาตัว ลูเมี่ยนจะสอบปากคำเจ้าของโรงแรมในโพรงมืดๆ ของทรีอาร์ใต้ดิน ไถ่ถามถึงเหตุผลที่ปิดบังเรื่องของผู้เช่าห้อง 504 คนก่อน รวมถึงเหตุผลที่ลงไปยังโลกใต้ดินในยามวิกาล
หลังจากได้ยินคำว่า ‘ส่งเงินมา’ มิสเตอร์เอฟฟ์สั่นสะท้านไปทั้งตัว
เขาควักกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลออกมาอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็ล้วงเหรียญเงินหนึ่งเฟลคินออกมา
ลูเมี่ยนรู้สึกถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้า โดยพบว่าภาพนูนต่ำของเทวทูตบนผิวเหรียญ รวมถึงเส้นทรวงที่กระจายออกมา ช่างมีเสน่ห์เย้ายวนเสียเหลือเกิน
เด็กหนุ่มยื่นมือขวาออกไปอย่างไม่อาจหักห้ามใจ เพื่อหยิบเหรียญเงินของมิสเตอร์เอฟฟ์ แล้วหันหลังวิ่งหนีเต็มฝีเท้า ทำตัวราวกับโจรชิงทรัพย์ตัวจริงเสียงจริง
วิ่งไปได้ห้าหกก้าว ลูเมี่ยนเริ่มเอะใจกับความผิดปกติ
“การวิ่งหนีหลังจากได้เงินมาแค่หนึ่งเฟลคิน นับเป็นการปล้นได้ด้วยหรือ?”
“เดี๋ยวสิ… แล้วทำไมเราถึงปล้นเหรียญเงิน?”
ลูเมี่ยนได้สติกลับมาทันที อาศัยความหยุ่นตัวของนักเต้น บังคับให้ร่างกายหมุนกลับจนหยุดวิ่ง
เขาพบว่ามิสเตอร์เอฟฟ์ก็กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
เจ้าของโรงแรมระกาทอง วิ่งข้ามถนนใหญ่ตลาดเข้าไปในโรงละครกรงพิราบเก่า
ลูเมี่ยนที่เตรียมจะไล่ล่า พลันชะลอฝีก้าวทันที
หลังจากถูกปล้น การตอบสนองแรกของมิสเตอร์เอฟฟ์มิใช่การวิ่งกลับบ้าน หรือไปขอความช่วยเหลือจากสถานีตำรวจประจำเขตตลาดที่อยู่ไม่ไกล แต่เลือกวิ่งเข้าโรงละครกรงพิราบเก่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านตัวเอง!
จากมุมมองของเขา ภายในนั้นมีคนที่สามารถปกป้องเขาได้อย่างแท้จริง? ลูเมี่ยนครุ่นคิดพลางขมวดคิ้ว
วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มหันหลังกลับและเริ่มวิ่งอีกครั้ง สวมบทบาทเป็นโจรชิงทรัพย์
เขากังวลว่าหากมิสเตอร์เอฟฟ์ได้พบกับคนที่สามารถปกป้องตน ฝ่ายหลังอาจจะตามมาชิงเหรียญเงินคืนไป
ด้วยความงกของมิสเตอร์เอฟฟ์ โอกาสเกิดขึ้นถือว่ามีไม่น้อยเลย!
แม้ลูเมี่ยนจะไม่สนใจเหรียญเงินหนึ่งเฟลคิน แต่หากถูกจับได้ ตัวตนของเขาก็จะถูกเปิดเผย
ระหว่างทางที่วิ่งออกจากถนนใหญ่ตลาด เด็กหนุ่มโยนเหรียญเงินเจ้าปัญหาให้กับคนเร่ร่อนริมถนน
เมื่อได้ยินเสียงประหลาด คนเร่ร่อนรีบลืมตามอง แลเห็นเหรียญเงินเล็กๆ นอนวาววับอยู่ใต้โคมไฟถนนตรงหน้า
กลับมาถึงถนนอลเวง ลูเมี่ยนถอดหมวกแฟลตแก๊ปกับเสื้อนอกออก ย้ายมาถือไว้ในมือแทน สองเท้ากลับมาเดินด้วยความเร็วปกติ
การหยั่งเชิงช่วยให้เด็กหนุ่มมั่นใจว่า มิสเตอร์เอฟฟ์มีพลังวิเศษ แต่คงไม่ใช่สายต่อสู้ ต่อหน้าโจรกระจอกกลับยังเลือก ‘ให้’ เหรียญเงินแล้วเผ่นหนี
“เขาทำให้เราอยากครอบครองเหรียญนั้นใจจะขาด เกิดความโลภแรงกล้าจนไม่สนใจเป้าหมายแรกเริ่ม สติสัมปชัญญะแทบไม่หลงเหลือ…” ลูเมี่ยนระลึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไปหมาดๆ
เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้
ในตอนที่เผชิญหน้ากับซูซานน่า·มาติส เด็กหนุ่มมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน
หนแรกถูกครอบงำด้วยความกลัว หนสองเสียสติเพราะความเกลียดชัง
“รูปแบบของพลังนับว่าใกล้เคียงกัน… หรือว่ามิสเตอร์เอฟฟ์จะเกี่ยวข้องกับซูซานน่า·มาติส? ผู้เช่าคนก่อนของห้อง 504 คงมีจุดจบที่ไม่ดีเท่าไร… ‘นางฟ้าแห่งพงไพร’ … กิ่งไม้ใบหญ้า… มงกุฎ… โรงละครกรงพิราบเก่า… หรือว่าทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับซูซานน่า·มาติส?” ลูเมี่ยนลองวิเคราะห์ขณะเดินกลับโรงแรมระกาทอง
เขาเดินลงบาร์ใต้ดิน แลเห็นชาร์ลีกำลังถือแก้วเบียร์พลางร้องรำทำเพลงเสียงดังกับผู้เช่าคนอื่นๆ
“พวกเรามันคนยากไร้”
“หลับนอนอยู่ใต้หลังคา…”
เมื่อเห็นชาร์ลเดินเข้ามาในบาร์ ชาร์ลีรีบสลัดตัวออกจากกลุ่ม ตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์พร้อมกับถอนหายใจ
“นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าเมื่อบ่ายฉันเจออะไรมา… ผู้จัดการโรงแรมนั่นดื่มเหล้าฉันไปสองแก้ว แต่กลับบอกว่า สืบเนื่องจากเรื่องของคุณนายอลิซ เขาไม่สามารถรับฉันในตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟประจำ อย่างมากก็เป็นได้แค่เบ๊ระดับต่ำสุด”
“ระยำสิ้นดี! ทำไมฉันถึงโชคร้ายแบบนี้?”
พูดจบชาร์ลีก็ตกตะลึงจนนิ่งไป ปากพึมพำกับตัวเอง
“โชคร้าย… โชคร้าย…”
หลังจากทวนซ้ำอยู่หลายหน เขาก็เงยหน้ามองลูเมี่ยนด้วยดวงตาเบิกโพลง แลเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่าย
……………………………………………………..