ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 152 “ฝากฝัง”
ตอนที่ 152 “ฝากฝัง”
พอได้ยินคำพูดลูเมี่ยน ชาร์ลีก็ตัวสั่นทันที
“น…นายไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่เข้าพรรคซาฟาห์งั้นหรือ…?”
ตามความเข้าใจของชาร์ลี ไม่ว่าจะเป็นพรรคซาฟาห์ แก๊งหนามพิษ หรือแก๊งอื่นๆ หัวหน้าหน่วยล้วนมีชื่อเสียงอยู่บ้าง สามารถใช้ชื่อเพื่อกร่างและข่มเหงบนถนนอลเวงเขตตลาด ก็ไม่เห็นว่าตำรวจจะไปเคาะประตูหาถึงหน้าบ้าน
ลูเมี่ยนจิบไซเดอร์หนึ่งคำยิ้มออกมาอีกครั้ง
“นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ฉันแค่อยากเตือนนายว่า สิ่งที่ไม่ควรพูด อย่าได้พูดออกไปเชียว”
ตอนนี้เขาเป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของพรรคซาฟาห์ แต่ยังไม่ถึงกับเป็นหัวหน้าหน่วย เพราะยังไม่เคยร่วมกิจกรรมหลักของกลุ่ม และมีคนติดตามไม่มาก ซ้ำยังได้คุมแค่โรงแรมระกาทองโทรมๆ ที่มีแต่คนยากไร้
ดังนั้น ลูเมี่ยนจึงหวังว่าจะได้รับชื่อเสียงมากขึ้นในเร็ววัน เพื่อเพิ่มสถานะทางสังคมในพรรคซาฟาห์ และทำภารกิจของมิสเตอร์ K ให้ลุล่วง
การทำภารกิจของมิสเตอร์ K ก็เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจและความโปรดปราน หวังเข้าร่วมองค์กรเบื้องหลังเขา ทั้งหมดก็เพื่อภารกิจของมาดามเมจิกเชี่ยน
ทำไมถึงได้รู้สึกแปลกๆ กันนะ… ลูเมี่ยนยกมือซ้ายขึ้นมาจับคาง
ชาร์ลีข้างๆ ถามอย่างระวังปาก
“สิ่งไหนบ้างที่ไม่ควรพูด?”
ที่จริงเขาก็พอจะเดาได้ แต่ก็กลัวว่าการคาดเดาของตนอาจครอบคลุมไม่เพียงพอ จนเผลอทำให้เพื่อนที่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาคนนี้ขุ่นเคืองใจขึ้นมา
ลูเมี่ยนอมยิ้ม หันหน้ากลับไปมองชาร์ลี
“ห้ามพูดเรื่องที่เกี่ยวกับซูซานน่า·มาติสและวิธีที่ฉันข่มขู่เธอ รวมถึงการปลอมตัวเป็นทนายอาสาเข้าไปในสถานีตำรวจเพื่อแจ้งข่าวกับนาย”
เขาตั้งใจจะเตือนชาร์ลีในประเด็นนี้มาตลอด แต่ไม่เคยหาโอกาสได้
“ตกลง” ชาร์ลีผ่อนคลายลงมาก พลางกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวัง “ฉันจะไปเล่าให้คนในบาร์ฟัง ว่าฉันกับนายเตะก้นไอ้วิลสันออกจากโรงแรมได้ยังไง…”
การคุยโม้โอ้อวดคือหนึ่งในงานอดิเรกที่เขาชื่นชอบ
ทันใดนั้น ดวงตาของลูเมี่ยนดูเข้มขึ้นเล็กน้อย
สัญชาตญาณบอกกับเขาว่า ชาร์ลีอาจมีเคราะห์ร้ายในอนาคตอันใกล้ แต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรงมากนัก
ในทางทฤษฎี ผลลัพธ์เช่นนี้คงไม่เกี่ยวพันกับซูซานน่า·มาติส ไม่อย่างนั้น ระดับของอันตรายต้องมิใช่แค่ ‘เคราะห์ร้ายเล็กน้อย’ แต่เป็นหายนะ… เห็นทีคงยังไม่ต้องกังวลเรื่องซูซานน่า·มาติสไปอีกสักพัก แต่ ‘อีกสักพัก’ มันหมายถึงกี่วัน? ลูเมี่ยนเริ่มวิเคราะห์ดวงชะตาที่ตนอ่านได้
เด็กหนุ่มพบว่า เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะมีเคราะห์ร้ายสถานหนัก หรือโชคดีอย่างสุดโต่ง หรือเกิดเหตุที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตในอนาคตอันใกล้ ไม่อย่างนั้น เขาต้องใช้สมาธิและความอดทนสูงมากในการดูดวงคร่าวๆ ด้วย ‘สัญชาตญาณ’ ของตน
พลังชนิดนี้ไม่เหมือนกับ ‘ลางสังหรณ์อันตราย’ ของนักล่า มันมิได้ถูกกระตุ้นโดยอัตโนมัติ
เสียงพูดของชาร์ลีเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหันไปมองลูเมี่ยนแล้วถาม
“ทำไมนายถึงมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น?”
เขาสงสัยอย่างเอาจริงเอาจังว่า ชาร์ลกำลังหาทางแกล้งตนด้วยวิธีพิเรนทร์ๆ อีกแล้ว!
ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
“นายควรไปขอพรจากวิหารสุริยันเจิดจรัสใกล้ๆ บ้างนะ ไม่งั้นเร็วๆ นี้อาจได้เจอกับเรื่องไม่ดี”
วิธีพูดของเขาช่างเหมือนกับออสตา·ทรูเอลในยามหลอกลวงชาวบ้านทุกประการ
“เรื่องไม่ดีแบบไหน?” ชาร์ลีถามตามความเคยชิน
วินาทีถัดมา เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้
“แล้วนายรู้ได้ยังไง?”
“เดาเอาน่ะ” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
ที่แท้ก็แค่อำเล่น… ชาร์ลีผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน
“หวังว่านายจะเดาไม่แม่นนะ”
“มันแม่นมากเลยล่ะ” ลูเมี่ยนพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังที่ไม่อาจจะมากไปกว่านี้
ชาร์ลีมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาเปี่ยมความสงสัย บนใบหน้าเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ
ลูเมี่ยนหัวเราะในลำคอ
“ถ้ามันไม่แม่น ฉันจะซัดนายสักหมัด นั่นเท่ากับว่านายเจอเรื่องไม่ดีแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าฉันเดาไม่ผิด”
“…” ชาร์ลีอึ้งจนไปต่อไปถูก
แบบนี้ก็ได้หรือ?
แต่แนวคิดนี้ถือว่าไม่เลวเลย ปรับปรุงนิดหน่อยก็เอาไปแกล้งคนอื่นได้แล้ว…
ลูเมี่ยนเตรียมจะลุกขึ้น แต่ก็เห็นสุนัขจรจัดสีน้ำตาลอมเหลืองที่ผอมจนหนังติดกระดูก เดินเลียบเงาถนนตรงมายังโรงแรมระกาทอง พยายามลัดเลาะผ่านละแวกนี้ไปหาพ่อค้าที่ขายผลไม้เน่า หวังจะฉกเศษอาหารที่อีกฝ่ายทิ้งไว้
สุนัขจรจัดเดินอย่างระมัดระวังยิ่ง เพราะแถวนี้มีคนไม่น้อยที่จ้องจะจับมันไปกินเนื้อ
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนก้าวเท้าออกไป เหยียดมือจับคอสุนัขจรจัดตัวนั้น พร้อมกับกดมันแนบติดกับพื้น
สุนัขจรจัดถูกจับทันทีโดยไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว หมดหนทางตอบโต้หรือหลบหนี ขาทั้งสี่ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
มันอ้าปากอย่างก้าวร้าว หวังกัดให้โดน แต่หัวของมันหมุนไม่ได้
ลูเมี่ยนใช้มืออีกข้างหยิบขวดเล็กๆ ที่ใช้บรรจุผงทิวลิปออกมา โดยเทสิ่งที่อยู่ด้านในใส่กระเป๋าเสื้อ
ถัดมา เด็กหนุ่มนำขวดใบดังกล่าวไปวางใกล้ๆ หัวของสุนัขจรจัด ขณะที่มันดิ้นรนอ้าปากพลางส่งเสียงเห่า น้ำลายก็หยดลงมา
ผ่านไปไม่นาน ลูเมี่ยนรวบรวมได้ประมาณห้ามิลลิลิตร จึงปล่อยมือที่กดคอสุนัขพร้อมกับลุกขึ้นยืน
สุนัขจรจัดทำท่าทางเหมือนอยากกัดเด็กหนุ่มสักคำ แต่หลังจากถูกจ้องตา มันทำได้เพียงเห่าเสียงอ่อยแล้วเผ่นหนีหางจุกก้น
ชาร์ลีข้างๆ มองด้วยความตกตะลึง
ในหัวของเขาผุดเรื่องราวที่เคยอ่านมาก่อน
เป็นประโยคที่แต่งโดยนักเขียนนิยายขายดี โอลัวร์·ลี โดยตัวเอกในเรื่องราวชอบบรรยายความใจเหี้ยมของตัวร้ายไว้ว่า:
สุนัขทุกตัวที่เดินผ่านจะต้องถูกเขาเตะสองครั้ง!
ลูเมี่ยนดื่มไซเดอร์จนเกลี้ยง แล้วเดินเข้าไปในโรงแรม
เมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่านแผนกต้อนรับ คุณนายเฟลส์ที่มักทำหน้าบอกบุญไม่รับ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับคลี่ยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์ ชาร์ล… มิสเตอร์ชาร์ล”
ลูเมี่ยนมองคุณนายเฟลส์ร่างอวบด้วยสีหน้าครุ่นคิด สักพักจึงค่อยถาม
“วันนี้มิสเตอร์เอฟฟ์ก็ไม่มาหรือ?”
มิสเตอร์เอฟฟ์คือเจ้าของโรงแรมระกาทอง ชื่อเสียงด้านความขี้ตืดของเขาแพร่สะพัดไปทั่วถนนอลเวง
ในฐานะ ‘คนคุ้มครอง’ ใหม่ของโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนเชื่อว่าตนควรคุยกับมิสเตอร์เอฟฟ์ให้กระจ่าง อีกฝ่ายจะได้ไม่กังวลว่าพรรคซาฟาห์จะมาไถเงิน จนวิ่งโร่ไปแจ้งตำรวจ
คุณนายเฟลส์เม้มปากเล็กน้อย
“แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนมัธยัสถ์ จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดโรงแรมเพียงสัปดาห์ละครั้ง แต่ตัวเขานั้น… หึ… เป็นพวกรักความสะอาดสุดโต่ง ไม่ค่อยอยากจะมาเหยียบโรงแรมสักเท่าใด”
“บ้านเขาใครคอยทำความสะอาด?” ลูเมี่ยนยิ้มถาม
“เขาเป็นหม้าย ทำความสะอาดเองกับลูกๆ สองคน” คุณนายเฟลส์เผยสีหน้าดูแคลน
ถ้าเธอมีเงินมากขนาดเป็นเจ้าของโรงแรม แน่นอนว่าจะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดแทน ตัวเองมีหน้าที่เสพสุขเท่านั้น
ลูเมี่ยนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอ่อน
“จันทร์ที่ผ่านมาก็เพิ่งทำความสะอาดไป พอทำเสร็จก็ไม่เห็นจะแวะเข้ามา ยังมีชีวิตอยู่ดีแน่หรือ?”
คุณนายเฟลส์กล่าวด้วยสีหน้าเจือปนความหวาดหวั่น
“ฉันต้องไปบ้านเขาสัปดาห์ละสามครั้ง เพื่อนำรายได้ของโรงแรมและพวกบิลต่างๆ ไปส่งให้เขา… ไว้จะบอกให้ว่าคุณอยากพบ”
เธอเข้าใจความหมายของลูเมี่ยนผิดไป คิดว่าเด็กหนุ่มกำลังข่มขู่มิสเตอร์เอฟฟ์ — หากไม่รีบมาพบกับคนคุ้มครองใหม่ของโรงแรมระกาทอง อาจต้องคิดดูหน่อยแล้วว่าจะไว้ชีวิตดีไหม
ลูเมี่ยนไม่มัวอธิบาย เพียงเดินตรงขึ้นชั้นสอง กลับเข้าห้องแล้วนำนิ้วของมิสเตอร์ K ที่ซ่อนอยู่ใต้หมอน กลับไปใส่กระเป๋าเสื้ออีกครั้ง
หลังจากจัดการผงทิวลิปเสร็จ เด็กหนุ่มวางแผนจะไปซื้อกล่องกับขวดเพื่อใส่วัตถุดิบต่างๆ ที่จะออกไปรวบรวม แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องดังๆ
ลูเมี่ยนเปิดประตูด้วยสีหน้าเจือความงุนงง เนื่องจากไม่คุ้นกับเสียงฝีเท้าเลย
ยืนอยู่หน้าห้องคือชายอายุราวๆ สี่สิบ สวมแจ็กเกตสีเข้ม กางเกงขายาวสีน้ำตาลที่ซักจนซีด และหมวกผ้าฝ้ายสกปรก อีกฝ่ายพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ใช่มิสเตอร์ชาร์ลไหมครับ?”
“เห็นเป็นมาดามหรือไง?” ลูเมี่ยนจิกกัด
ระหว่างนั้นเขาก็สังเกตรูปลักษณ์ สีหน้า และภาษากายของบุคคลตรงหน้า
เรือนผมสีน้ำตาลเข้มค่อนข้างมันเลื่อม แต่หวีจัดทรงเรียบร้อยทีเดียว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเผยกลิ่นอายความประจบประแจง มุมปากยิ้มอ่อน โดยรวมแล้วถือว่าภาพลักษณ์ดี ค่อนไปทางเป็นมิตร แต่ก็แฝงไว้ด้วยความกลิ้งกลอก
“ค…ครับ!” อีกฝ่ายตอบอย่างพินอบพิเทา
ลูเมี่ยนเลิกคิ้วเบาๆ
“แล้วคุณคือ?”
“ผมอยู่ห้อง 401 ชื่อฟิซ เป็นนักธุรกิจล้มละลายครับ” ชายวัยกลางคนที่ดูกลิ้งกลอกแต่เป็นมิตร ตอบด้วยรอยยิ้ม
ไม่ต้องรอให้ลูเมี่ยนถามคาดคั้น อีกฝ่ายเริ่มเกริ่นเข้าวัตถุประสงค์ของตัวเอง
“เรื่องมีอยู่ว่า ผมล้มละลายเพราะถูกหลอกเอาเงินไปหนึ่งแสนเฟลคิน… ก่อนหน้านี้ผมคอยเทียวไปเทียวมาระหว่างทรีอาร์กับซูสิตอยู่นานนับสิบปี เก็บหอมรอมริบอย่างยากลำบาก ตั้งใจจะลงหลักปักฐานแต่งงานมีลูก แต่สุดท้ายก็ได้มาเจอกับไอ้นักต้มตุ๋นนั่น… เขาใช้ข้ออ้างว่าจะร่วมทุนทำธุรกิจด้วยกัน แล้วหลอกเอาเงินเก็บของผมไปจนหมด…”
“ถ้าคุณช่วยเอาเงินก้อนนั้นกลับมาได้ ผมยินดีแบ่งให้คุณสามสิบ…ไม่สิ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลย!”
ลูเมี่ยนไม่อนุญาตให้ฟิซเข้ามาในห้อง 207 เพียงยืนกอดอกอยู่หน้าประตู ก่อนจะยิ้มแล้วย้อนถาม
“ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่ขอให้มาร์โกต์หรือวิลสันไปช่วยตามเงินนั่นคืนล่ะ?”
ใช่ว่าต้องจ่ายค่ามัดจำสักหน่อย
ฟิซไม่ปิดบัง
“ผมติดต่อมาร์โกต์แล้ว และเขารับปากว่าจะช่วย แต่ผ่านไปสักพัก เขาก็มาบอกว่าเงินก้อนนั้นไม่มีวันกลับมาแล้ว”
กระทั่งแก๊งหนามพิษก็ทวงเงินคืนมาไม่ได้? เป็นเพราะคนโกงนั่นล้มละลาย หรือเพราะมีขุมพลังเบื้องหลังที่ทำให้แก๊งหนามพิษต้องหวาดกลัว? ลูเมี่ยนที่แต่เดิมมิได้ใส่ใจนัก เปลี่ยนมาตั้งใจฟังด้วยความจดจ่อ
“มาร์โกต์ได้บอกเหตุผลไว้ไหม”
ฟิซส่ายหน้า
“ไม่ได้บอกครับ แต่เขายืนยันว่า มิได้เป็นเพราะทิมมอนส์กลายเป็นคนจน”
“เขาเปิด ‘คาบาเร่ต์แกะดำ’ ในเขตหอดูดาวและทำเงินได้มหาศาล!”
ทิมมอนส์… ลูเมี่ยนสงสัยว่าอาจมีสักองค์กรใหญ่ที่คอยหนุนหลังนักต้มตุ๋นรายนี้ หรือไม่ก็ได้รับความคุ้มครองจากคนใหญ่คนโต จนแม้แต่แก๊งหนามพิษก็ยังไม่กล้าบีบคอให้คืนเงิน
แน่นอน เขายังไม่ตัดโอกาสที่ตัวทิมมอนส์จะแข็งแกร่งอย่างมาก
“แล้วทำไมถึงคิดว่าผมจะช่วยทวงเงินคืนมาได้?” ลูเมี่ยนยิ้มขณะมองฟิซ
ฟิซคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบอย่างสัตย์จริง
“คุณดุดันกว่ามาร์โกต์ แล้วอีกอย่าง หลังจากคุณสืบเรื่องมาได้ ต่อให้ไม่กล้าไปทวงเงินคืน ผมก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
“เพราะถ้าทวงเงินกลับมาไม่ได้ ผมก็ไม่มีอะไรจะจ่ายคุณอยู่แล้ว”
“ซื่อตรงดี” ลูเมี่ยนพยักหน้า “ผมจะลองสืบสาวราวเรื่องดู แต่อย่าคาดหวังมากนัก”
ถ้าทิมมอนส์ใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างเพื่อข่มขวัญแก๊งหนามพิษ การทำเงินได้ห้าหมื่นเฟลคินง่ายๆ ใครจะไม่เอา?
นักธุรกิจล้มละลาย ฟิซ เพียงแค่ลองหยั่งเชิงดู แต่หลังจากได้รับคำตอบในเชิงบวก เขาก็รีบขอบคุณยกใหญ่ แล้วเดินออกจากชั้นสองไป
ในเวลาเดียวกัน ลูเมี่ยนพบว่าพลังวิญญาณส่วนใหญ่ฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว มิหนำซ้ำ เฉพาะส่วนที่ฟื้นฟูกลับมานี้ ก็ยังมากกว่าพลังวิญญาณเดิมของตนเสียอีก
“การเป็นภิกษุบิณฑบาตยังช่วยให้พลังวิญญาณของเราขยายขึ้นมาก อย่างน้อยในลำดับ 8 ด้วยกัน เราไม่น่าจะด้อยกว่าเส้นทางที่เน้นพลังวิญญาณแล้ว…” ลูเมี่ยนรำพันเงียบ
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มนึกถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่ได้รับขณะดื่มไซเดอร์
หากเขาสามารถดำรงความยากจน มีวินัยต่อตัวเอง ไม่ดื่มของมึนเมา ไม่สุรุ่ยสุร่าย แสวงหาทาน และเผยแผ่ศาสนาด้วยมาดของภิกษุบิณฑบาต ลางสังหรณ์เกี่ยวกับการอ่านดวงชะตาจะถูกยกระดับขึ้น อีกทั้งยังจะเพิ่มความสำเร็จและคุณภาพผลลัพธ์ของอาคมพิธีกรรมห้าประการ
แต่ลูเมี่ยนไม่คิดจะเดินบนเส้นทางดังกล่าว เพราะเชื่อว่ามันจะทำให้ตนเข้าใกล้ ‘ผู้ให้พร’ มากขึ้น จนค่อยๆ ถูกอีกฝ่ายกลืนกิน
เด็กหนุ่มสลัดความคิดฟุ้งซ่าน เดินออกจากห้องพัก โดยตั้งใจจะไปคาบาเร่ต์ลมเอื่อย เพื่อไหว้วานใครสักคนในพรรคซาฟาห์ ให้ช่วยหาวัตถุดิบและภาชนะที่จำเป็นสำหรับศาสตร์การดูดวง
ใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่มี!
……………………………………………………..