ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 143 หลอก
ตอนที่ 143 หลอก
หลังจากอธิบายถึงลักษณะเฉพาะและถิ่นของวิญญาณมาร มาดามเมจิกเชี่ยนยังเขียนต่อ
“แม้ซูซานน่า·มาติสจะมีพลังทัดเทียมลำดับ 5 แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีหนทางจัดการกับหล่อน เธอสามารถใช้มีดเล่มนั้นแทงชาร์ลีเพื่อย้ายชะตากรรม ‘พบเจอวิญญาณมงต์ซูรี’ ไปให้กับเขา เมื่อซูซานน่า·มาติสถูกวิญญาณมงต์ซูรีกำจัด เธอก็ค่อยสลับชะตากรรม ‘พบเจอวิญญาณมงต์ซูรี’ กลับมาเก็บไว้ในมีดอีกครั้ง”
“เอาล่ะ ข้างบนฉันแค่ล้อเล่น แผนการนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โอกาสสำเร็จแทบไม่มี”
“ประการแรก วิญญาณมงต์ซูรีอาจฆ่าเฉพาะคนที่พบเจอมันเท่านั้น”
“ประการที่สอง แม้วิญญาณมงต์ซูรีจะทำลายซูซานน่า·มาติสได้จริง แต่เธอก็ไม่มีทางรู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไร ด้วยเหตุผลดังกล่าว เธอไม่มีทางสลับชะตากรรมออกจากชาร์ลีได้ทันเวลา”
“ประการที่สาม ชาร์ลีคงไม่ใช่เด็กกำพร้า พ่อแม่พี่น้องอาจยังมีชีวิตอยู่ สำหรับคำถามที่ว่าวิญญาณมงต์ซูรีออกไปฆ่าคนนอกทรีอาร์ได้หรือไม่ ในตอนนี้ยังไม่มีใครตอบได้”
“ประการที่สี่ วิญญาณมงต์ซูรีอาจฆ่าซูซานน่า·มาติสไม่ได้”
“ประการที่ห้า จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากชาร์ลีด้วย เขากับซูซานน่าจึงจะมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาในเชิงศาสตร์เร้นลับ”
“ที่ฉันเขียนมาเสียยืดยาวเช่นนี้ ก็เพื่อเตือนเธอว่า อย่าได้คิดและอย่าได้ทำเป็นอันขาด คำนึงจากการที่เธอใช้ชาร์ลีเป็นตัวประกัน แสดงให้เห็นว่าเธอมีแนวโน้มที่จะทำ”
“อันที่จริง สถานการณ์นี้เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส”
“สำหรับเธอ ทางรอดที่ดีที่สุดคือการขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ K อ้อนวอนให้เขาช่วยรับมือกับภัยคุกคามจากซูซานน่า·มาติส”
“จงจำเอาไว้ว่า การขอความช่วยเหลือคือวิธีตีสนิทคนที่ได้ผลดีเยี่ยม ซ้ำยังจะได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่าย แต่แน่นอน มันต้องอยู่บนพื้นฐานที่อีกฝ่ายยินยอมและมีฝีมือเพียงพอ”
“เธอควรหาโอกาสแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์อย่างพอเหมาะพอควร เพื่อให้มิสเตอร์ K เห็นคุณค่าและอยากใช้งาน”
“ขอให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น ขอให้เธอได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเบื้องต้นจากมิสเตอร์ K โดยเร็ว กลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนั้นโดยเร็ว”
หลังจากลูเมี่ยนอ่านจดหมายจบ ความคิดแรกของเขาก็คือ มาดามเมจิกเชี่ยนเป็นพวกช่างพร่ำพรรณนา ชอบพาเนื้อหาออกทะเลแล้วค่อยดึงกลับ โดยจะหาเหตุผลอันเลิศหรูมาเป็นข้ออ้างได้เสมอ แถมยังเป็นพวกชอบคิดนอกกรอบได้เจ็บแสบ ออกแนวทีเล่นทีจริง ถือเป็นขั้วตรงข้ามกับคำตอบสั้นกระชับที่ได้น้ำได้เนื้อของมาดามเฮล่า
นี่คงเป็นสไตล์การเขียนของมาดามเมจิกเชี่ยน… ลูเมี่ยนเม้มปากเล็กน้อย เสียดสีพลังวิญญาณเพื่อจุดไฟเผากระดาษจดหมายในมือ
หลังจากอ่านจดหมายทั้งสองฉบับ เด็กหนุ่มก็ล้มเลิกความคิดที่จะใช้ปรอทเสื่อมทรามแก้ปัญหาเรื่องซูซานน่า·มาติส อย่างไรเสีย ตนกับซูซานน่ามิได้เจอกันแค่ครั้งหรือสองครั้ง ชะตากรรม ‘การพบเจอเธอ’ ย่อมถูกปอกออกไปไม่ง่ายเหมือนในกรณีชะตากรรม ‘พบเจอวิญญาณมงต์ซูรี’
เมื่อเทียบกันแล้ว ทางเลือกในการขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ K ที่ลูเมี่ยนไม่เคยนึกถึงมาก่อน ฟังดูจับต้องได้มากกว่า
มันยังจะช่วยเร่งความใกล้ชิดระหว่างเขากับมิสเตอร์ K ให้ยิ่งแน่นแฟ้น ลดเวลาในการทำภารกิจที่มาดามเมจิกเชี่ยนมอบหมาย
หลังจากครุ่นคิดพิจารณาว่าควรแจ้งให้มิสเตอร์ K ทราบในลักษณะใด และจะแสดงคุณค่าของตัวเองด้วยวิธีไหน ลูเมี่ยนเปลี่ยนเป็นชุดคนงานสีเทาน้ำเงิน สวมหมวกแฟลตแก๊ปสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ แล้วเดินออกจากห้อง 207
ลงมาถึงชั้นหนึ่ง ลูเมี่ยนเห็นชาร์ลีใส่เสื้อลินิน กางเกงขายาวสีดำ กำลังเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าประตู
“กำลังทำอะไรอยู่?” เด็กหนุ่มยิ้มทักทาย
ชาร์ลียิ้มตอบ
“ชาร์ล ช่วยไปโรงจำนำกับฉันหน่อยสิ จะเลี้ยงทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็นเลย!”
ชื่ออย่างเป็นทางการของโรงจำนำ คือร้านรับจำนำ หรือบริษัทรับจำนำ
“โรงจำนำ?” ลูเมี่ยนเดินเข้าหาชาร์ลีแล้วถามเสียงค่อย “ทุกอย่างไปได้สวยใช่ไหม?”
ชาร์ลีเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะยิ้มอย่างขื่นขม
“พวกเขาบอกว่าครั้งนี้ไม่มีปัญหาแล้ว วิญญาณมารของซูซานน่าถูกชำระล้างแล้ว…”
“ไม่ว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอีกหรือไม่ ชีวิตคนเราก็ต้องดำเนินต่อไป ฮะฮะ! ฉันเคยได้ยินประโยคนี้จากลูกค้าโรงแรมคนนึงน่ะ ฟังดูมีอารยธรรมดีไหม?”
“โดยสรุปแล้ว สำหรับคนอย่างเรา การไม่ทำงานแม้เพียงหนึ่งวันหมายถึงการย่างเข้าสู่ขอบเขตของการถังแตก ไม่นานก็ต้องพานพบความหิวโหย ฉันจึงต้องรีบนำสร้อยคอเพชรไปจำนำเพื่อแลกเป็นเงินสดยังไงล่ะ… นายรู้อะไรไหม? เงินสดเท่านั้นที่มอบความรู้สึกปลอดภัย มิใช่เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ แม้แต่อาหารก็ยังเทียบไม่ได้!”
พูดถึงตรงนี้ ชาร์ลีเริ่มตื่นเต้น
“คุณนายอลิซบอกว่า สร้อยเส้นนี้มีค่า 1,500 เฟลคิน ถ้าเอาไปจำนำอย่างน้อยก็ควรได้สักหนึ่งพัน…”
“ให้ตายสิ ชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยเห็นเงินครบหนึ่งพันเฟลคินอยู่ตรงหน้าเลย ต่อให้ขึ้นเป็นหัวหน้าบริกร ก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีหรือแม้แต่สิบกว่าปีถึงจะสะสมเงินก้อนนี้ได้!”
“ไว้ได้เงินมา เราไปกินมื้อกลางวันที่ร้านกาแฟบนถนนเสื้อนอกขาวกัน ฉันจะสั่งซุปเนื้อดีวาร์ สเต๊กเนื้อโรยเกลือหยาบราดซอสไวน์แดง และเนื้อสันในแอปเปิล!”
อยู่ที่โรงแรมหงส์ขาว นายไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยนอกจากการสั่งอาหาร? ลูเมี่ยนจิกกัดในใจ ก่อนจะถามพลางครุ่นคิด
“นายอยากให้ฉันไปคุ้มกันสินะ”
ชาร์ลีหัวเราะในลำคอ
“เงินก้อนโตแบบนี้ ถ้าฉันพกไปไหนมาไหนคนเดียวจะรู้สึกไม่ปลอดภัย… ชาร์ล นายคงไม่เคยมีสินะ ประสบการณ์การเดินบนถนนแล้วสงสัยว่าทุกคนเป็นหัวขโมยที่พยายามชิงเงินไปจากนายน่ะ…”
“ฉันรู้สึกแบบนั้นเลยตอนที่พกสร้อยเส้นนั้นกลับมา เครียดจนแทบจะเป็นลม… แต่นายคงจินตนาการไม่ออกหรอกกระมัง?”
“ใช่” ลูเมี่ยนยิ้ม “ฉันคงไม่มีประสบการณ์แบบนั้นหรอก ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ในอนาคต เพราะฉันจะทำให้คนอื่นหวาดระแวงว่าจะถูกฉันปล้น”
ยกตัวอย่างเช่น มาร์โกต์ที่เพิ่งบริจาคมามากกว่าหนึ่งพันเฟลคิน อีกนิดเดียวก็จะซื้อสร้อยคอเพชรนั่นได้แล้ว!
รอยยิ้มบนใบหน้าชาร์ลีกลายเป็นแข็งทื่อทันที
ต้องรอให้ผ่านไปหลายวินาที เขาถึงจะยิ้มออกมาเจื่อนๆ พลางกล่าว
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันหวังว่านายจะยอมไปโรงจำนำเป็นเพื่อน”
เขาเคยสงสัยอย่างจริงจังว่าชาร์ลหาเงินมาจากไหน จริงอยู่ที่เพื่อนบ้านรายนี้ดูฉลาดและมีฝีมือ แต่กลับไม่รีบหางานทำ วันๆ เอาแต่เดินเตร่ไปทั่ว ทำตัวเหมือนไม่ร้อนเงิน แต่กลับเลือกเช่าโรงแรมระกาทองแทนที่จะเป็นโรงแรมหงส์ขาว
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ชาร์ลปลอมตัวเป็นทนายเก๊ แล้วแอบเข้าไปในสถานีตำรวจเพื่อแจ้งข้อมูลสำคัญกับตน นึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายช่วยให้ตนรอดชีวิตจากการถูกซูซานน่า·มาติสคุกคาม ชาร์ลีก็ได้ข้อสรุปว่าคำถามต่างๆ ของตนนั้นไร้ค่า
ต่อให้ชาร์ลเป็นหัวขโมย โจร หรือนักต้มตุ๋น แต่เขาก็เป็นหัวขโมย โจร หรือนักต้มตุ๋นที่ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยตน!
ลูเมี่ยนดูจะพึงพอใจกับอาการผวาของชาร์ลี เพียงถามยิ้มๆ
“จะไปโรงจำนำแถวไหนล่ะ”
“ฉันได้ยินมาว่า โรงจำนำในเขตหอดูดาวตีราคาเป็นธรรมกว่า” ชาร์ลีคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว
ลูเมี่ยนผงกศีรษะรับ
“ฉันก็กำลังจะไปเขตหอดูดาวพอดี”
เขาวางแผนจะไปถามออสตา·ทรูเอลเกี่ยวกับวิธีติดต่อมิสเตอร์ K
ชาร์ลีกำลังมีความสุขสุดขีด กล้าจ่ายเงินเฟลคินก้อนโตเพื่อเลี้ยงลูเมี่ยนด้วยพายเนื้อย่าง เค้กลาวา ไซเดอร์ลูกพลัม แน่นอนว่ารวมถึงส่วนของตัวเองด้วย
ลูเมี่ยนรับไว้โดยไม่มีท่าทีเกรงใจ
เดินออกจากถนนอลเวง ชาร์ลีที่มองลูเมี่ยนเดินไปยังป้ายรถม้าสาธารณะ เดินตามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กๆ
เขามองไปรอบๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ จึงหรี่เสียงถามด้วยความสงสัย
“เมื่อคืนนายบอกว่า มีดของนายชื่อ ‘มีดคำสาป’ คนที่ถูกฟันจะตายทั้งโคตรเหง้าจริงหรือ?”
ก่อนจะได้พบกับซูซานน่า·มาติส ชาร์ลีไม่เคยเชื่อเรื่องพรรค์นี้เลย ถึงจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็มองเป็นเพียงเรื่องโม้เพื่อความบันเทิงและแต่งเติมอรรถรส
แต่สำหรับตอนนี้ เขาเริ่มสงสัยว่าชาร์ลอาจมีอาวุธมหัศจรรย์แบบนั้นอยู่จริง
ลูเมี่ยนหันไปยิ้มให้ชาร์ลี
“อยากลองดูไหมล่ะ”
ชาร์ลีสะดุ้งเฮือก รีบตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“ฉันเชื่อใจนายนะ”
“งั้นหรือ? แต่เมื่อคืนฉันแค่แต่งเรื่องหลอกซูซานน่า·มาติส… ทางนี้เป็นแค่คนธรรมดา ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็คงได้ตายไปแล้วล่ะ!” ลูเมี่ยนเล่าพลางหัวเราะ “เรื่องมีดคำสาปที่ฉันแต่งขึ้นมา นายฟังแล้วไม่คุ้นๆ หูบ้างเลยหรือ? ไม่เคยได้ยินตำนาน ‘วิญญาณมงต์ซูรี’ ในตอนที่คนบ้านั่นมีสติบ้างหรือไง?”
ชาร์ลีฟังแล้วก็ตาโต หน้าตาเปี่ยมด้วยความตื่นตะลึง
จริงด้วย นั่นก็แค่ตำนานวิญญาณมงต์ซูรีที่ถูกดัดแปลงนิดๆ หน่อยๆ ไม่ใช่หรือไง?
ชาร์ลเกิดมาเพื่อหลอกคนจริงๆ เป็นแค่คนธรรมดา แต่กลับต้มวิญญาณมารอย่างซูซานน่า·มาติสจนเปื่อย ช่วยให้ทั้งตนและเขารอดชีวิตมาได้!
ส่วนเราทำได้แค่คุยโม้ในบาร์ บางครั้งก็แกล้งอำคนเล่น เทียบกับเขาไม่ติดเลย…
กล้าหาญ ฉลาดหลักแหลม คนแบบนี้ย่อมต้องรวยเป็นธรรมดา!
เมื่อเห็นชาร์ลีเชื่อเรื่องแต่งสดๆ ของตนอย่างสนิทใจ ลูเมี่ยนพยายามกลั้นขำอย่างเต็มที่
ก่อนจะหันไปถามเสียงขรึม
“พ่อแม่ของนายยังอยู่ไหม? มีพี่น้องบ้างไหม?”
“…” ชาร์ลีชะงักงันในทันที รีบกระโดดไปข้างๆ ดุจดังกระต่ายตื่นตูม “นายจะอยากรู้ไปทำไม?”
หรือว่านั่นเป็นมีดคำสาปจริงๆ? เขาถึงได้อยากรู้ล่วงหน้าว่าเรายังมีญาติพี่น้องเหลืออยู่ไหม?
ลูเมี่ยนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่
“อย่าบอกนะว่าถูกอำจนกลัวจริงๆ?”
“นายเกิดมาเพื่อโดนแกล้งหรือไง?”
นึกถึงเรื่องที่เคยถูกหลอกให้เป็นไอ้โง่ ชาร์ลีหงุดหงิดตัวเองจนตัดสินใจตบหน้าผากไปหนึ่งฉาด
เขาเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่า คำพูดใดของชาร์ลเป็นจริง คำใดเป็นเท็จ
อย่างไรก็ดี หลังจากถูกอำ เขาเริ่มมั่นใจว่ามีดคำสาปเป็นเรื่องโกหกที่ถูกดัดแปลงจากตำนานวิญญาณมงต์ซูรี
ชาร์ลชอบใช้อะไรปลอมๆ แบบนี้มาหลอกอำคน เหมือนกับเครื่องเป่าฟองคนโง่
หืม… เรื่องมีดคำสาปนี้ดีจริงๆ … ตอนนี้มันเป็นของเราแล้ว คืนนี้จะเอาไปใช้หลอกคนที่บาร์!
ทั้งคู่นั่งรถม้าสาธารณะจนมาถึงเขตหอดูดาว ชาร์ลีถามทางหลายอยู่ครั้ง จนในที่สุดก็เจอโรงจำนำที่ชื่อ ‘ร้านรับจำนำฟีล’
ตั้งอยู่ในตึกสีเบจสูงเจ็ดชั้น มีทุกอย่างไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นต้นเสา ซุ้มโค้ง ภาพนูนต่ำ หรือหน้าต่างบานใหญ่
ตรงทางเข้าสุดอลังการของ ‘ร้านรับจำนำฟีล’ ด้านบนมีวลีสลักไว้สามคำ
“เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ”
จำนำทุกสิ่งได้อย่างอิสระ ยึดถือความเสมอภาคของผู้จำนำ และรักทุกโอกาสที่ทางร้านสามารถกดราคาสินค้า? ลูเมี่ยนประชดประชันในใจอย่างไม่อาจหักห้าม
เป็นร้านรับจำนำแท้ๆ แต่กล้าสลักคำขวัญของสาธารณรัฐไว้หน้าทางเข้า จะน่าขบขันเกินไปแล้ว!
ในโถงใหญ่ของร้านรับจำนำมีเคาน์เตอร์อยู่หลายจุด ด้านหน้าเคาน์เตอร์เป็นทิวแถวเก้าอี้ยาว
ชั่วโมงนี้มีคนนั่งอยู่หลายสิบ รอให้เจ้าหน้าที่ประเมินมูลค่าวัตถุจำนำแล้วขานหมายเลขของตน
ชาร์ลีเดินไปหาเคาน์เตอร์ว่างๆ แล้วส่งสร้อยคอเพชรเข้าไป สิ่งที่ได้รับกลับมาคือใบเสร็จที่เขียนระบุวัตถุจำนำ รวมถึงหมายเลขรอเรียก
ผ่านไปสักพัก เคาน์เตอร์ที่มีไว้สำหรับจ่ายเงินตามใบจำนำ ประกาศเรียกหมายเลขของชาร์ลี
ชาร์ลีเดินเข้าไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่กลับมาในสภาพคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง
“เกิดอะไรขึ้น?” ลูเมี่ยนที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องโถง ถามด้วยใบหน้าสงสัย
ชาร์ลีตอบด้วยแววตาว่างเปล่าเจือความผิดหวัง
“สร้อยคอนั่น… มันเป็นของปลอม… มีราคาแค่สิบสองเฟลคิน…”
……………………………………………………..