ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 142 มารดาพฤกษา
ตอนที่ 142 มารดาพฤกษา
“วิญญาณมารกลับมาเกิดใหม่?” บุรุษหนุ่มผู้มีตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันบนหน้าอก ย้อนถามด้วยความประหลาดใจ
อ้างอิงจากภูมิปัญญาศาสตร์เร้นลับของตน ผนวกกับประสบการณ์จากการอ่านแฟ้มคดี การชำระล้างย่อมทำให้วิญญาณมารถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะถือครองพลังเฉพาะตัว
สิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณชนิดนี้ หากมิได้เกิดจากการตายของผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง ก็ต้องเป็นวิญญาณอาฆาตโชคดีพอจะทะลวงผ่านขีดจำกัดด้วยตัวเอง บางรายแข็งแกร่งถึงขั้นมีออร่าเทพ แต่ทั้งการคืนชีพและเกิดใหม่ก็ล้วนมิใช่จุดเด่นของวิญญาณมาร
บุรุษผมบลอนด์ที่สวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาลกระดุมสองแถว ลุกขึ้นยืนตัวตรง ตามองไปยังเถาวัลย์อันบิดเบี้ยวที่ค่อยๆ เสื่อมสลาย ปากเปล่งเสียงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“วิญญาณมารไม่ได้เหมือนกันทุกตัว มีบางกรณีที่พวกมันพึ่งพา ‘บางสิ่ง’ หลังจากถือกำเนิด โดยที่สิ่งนั้นมักวางอยู่ในตำแหน่งหัวใจของ ‘ถิ่น’ ของมัน”
“ตราบใดที่สิ่งนั้นยังไม่ถูกทำลาย แม้วิญญาณมารจะถูกชำระล้าง แต่ก็จะค่อยๆ กลับมาเกิดใหม่ในจุดดังกล่าว”
วิญญาณมารจะผสานตัวเองเข้ากับจุดที่มันถือกำเนิด รวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกวิญญาณและโลกแห่งความตาย เพื่อรวบรวมพลังงานที่ใช้ในการคงสภาพตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกมันจะค่อยๆ อ่อนแอลงจนกระทั่งเลือนหายไปตามกาลเวลา
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง วิญญาณมารจะมีขอบเขตการเคลื่อนไหวชัดเจน ไม่สามารถออกจาก ‘ถิ่น’ ที่เกิดได้ไกลนัก
บุรุษหนุ่มผู้สวมชุดคลุมสีขาวปักด้ายทอง โดยมีตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันอยู่กลางหน้าอก ทำหน้าคล้ายกับเริ่มเข้าใจ แล้วจึงขมวดคิ้วพูด
“แต่เราเร่งมือค้นหามาหลายวันแล้ว กลับยังไม่พบถิ่นเกิดของวิญญาณมารที่ชื่อซูซานน่า·มาติสเสียที”
ตามปกติแล้ว ซูซานน่า·มาติสไม่ควรอาละวาดนอก ‘ถิ่น’ ของตัวเองได้ไกลนัก หน่วยผู้วิเศษเพียงค้นหาปูพรมบนถนนอลเวงกับละแวกใกล้เคียง ก็ควรจะพบถิ่นเกิดของวิญญาณมารและลงมือทำลายสิ่งที่พวกมันพึ่งพาได้ไม่ยาก
แต่ที่นี่คือกรุงทรีอาร์ นอกจากส่วนบนดินแล้วยังมีโลกใต้ดิน ยังมีถนนอลเวงอีกหนึ่งแห่ง ยังมีเขตตลาดคนซื่ออีกหนึ่งแห่ง ในนั้นเต็มไปด้วยซอกหลืบและโพรงที่น้อยคนนักจะรู้
และเหนือสิ่งอื่นใด ในส่วนลึกของโลกใต้ดิน ยังมีสถานที่ที่เรียกว่า ‘ทรีอาร์ในยุคสมัยที่สี่’ ซึ่งแม้แต่ผู้วิเศษทางการก็ยังมีข้อมูลไม่มากนัก เต็มไปด้วยอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่
ในฐานะสังฆานุกรของ ‘ศาล’ ประจำเขตตลาดคนซื่อ อ็องกูแลม·เดอ·ฟรองซัวไม่เข้าใจเลยว่า ในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ซึ่งมีการก่อสร้างทรีอาร์ใหม่ เหตุใดรัฐบาลถึงเลือกสร้างทับกรุงทรีอาร์เดิมที่จมอยู่ใต้ดิน
แม้ทำเลที่ตั้งจะถือว่าเป็นเลิศในแง่ภูมิศาสตร์ แต่การตัดสินใจครั้งนั้น ได้นำพาปัญหาอันน่าหงุดหงิดมาสู่ชนรุ่นหลังในอีกพันปีถัดมา
ในบางคดีเหนือธรรมชาติ มิใช่ว่า ‘ผู้ชำระ’ ไม่อยากขจัดปัญหาอย่างถอดรากถอนโคน เพียงในทางปฏิบัติแล้วทำไม่ได้ เนื่องจากรากเหง้าของปัญหาซุกซ่อนอยู่ในทรีอาร์จากยุคสมัยที่สี่และซากปรักหักพังใต้ดิน
กล่าวกันว่า แม้แต่ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพก็ยังกริ่งเกรงที่จะย่างกรายเข้าไปในบางจุดของโลกใต้ดิน
อ็องกูแลมเก็บดาบยาวสีทองที่ทั้งดูจริงและดูเหมือนมวลแสง โดยเสียบลงไปแถวๆ ‘ศีรษะ’ ของสิ่งประดิษฐ์พลังไอน้ำสีเทาขาวรูปร่างคล้ายมนุษย์ แทงลึกลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง
ภายในนั้นคล้ายกับเต็มไปด้วยของเหลวบางชนิดที่มีสีเข้ม
ขณะเดียวกัน บุรุษคนหนึ่งในชุดสูทสีขาว เสื้อกั๊กสีเหลือง เสื้อเชิ้ตด้านในสีอ่อน บนหน้าอกติดตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยัน เดินออกจากโรงแรมระกาทอง
ผมสีเหลืองอ่อนของเขาถูกหวีเรียบ กลางสันจมูกแปะปลาสเตอร์สีเนื้อ ริมฝีปากค่อนข้างหนา ผิวพรรณค่อนไปทางเข้ม บ่งบอกว่ามีเชื้อสายจากชนพื้นเมืองทวีปใต้
“ท่านสังฆานุกร ผมคุยกับชาร์ลี·คอร์แรงต์มาแล้ว” เขาพูดกับอ็องกูแลม·เดอ·ฟรองซัว
อ็องกูแลมลูบคลำกระดุมสีทองบนเสื้อโค้ตสีน้ำตาล พลางถามกลับ
“เขาเป็นอะไรไหม”
ชาวผิวค่อนข้างเข้มส่ายหน้าตอบ
“เรามาทันเวลาพอดีครับ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
“จากคำบอกเล่า หลังจากฝันถึงซูซานน่า·มาติสอีกครั้ง แม้จะถูกอีกฝ่ายข่มขู่ แต่ชาร์ลีก็ยังยืนกรานที่จะออกมาขอความช่วยเหลือ ผลลัพธ์คือการถูกซูซานน่า·มาติสขวางไว้ตรงบันไดชั้นสอง จนเกือบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเธอตลอดไป… เอ่อ… ประโยคหลังเป็นคำพูดของซูซานน่า·มาติสเอง”
“หลังจากนั้น ชาร์ลีล้มลงตรงทางลงบันไดในสภาพเกือบจะหมดสติ จนกระทั่งเขาเห็นแสงสว่างที่ดูเหมือนพระอาทิตย์ขึ้น”
ถือเป็นคำให้การที่ปกติและสมเหตุสมผลแล้ว สอดคล้องกับรายละเอียดการลงมือของทีม ‘ผู้ชำระ’ แถวหน้าที่อ็องกูแลมพามา ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นอ็องกูแลมหรือผู้ชำระอีกสองคน ก็ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของชาร์ลี
ตามความเข้าใจของพวกเขา ชาร์ลีคงพยายามออกไปขอความช่วยเหลือตามคำแนะนำที่ได้รับมา โดยปลายทางคือวิหารสุริยันเจิดจรัสใกล้ๆ
อ็องกูแลมกวาดตาไปรอบๆ ถนนอลเวงที่เงียบสงบอย่างหาได้ยาก แล้วจึงผงกศีรษะแผ่วเบา
“ตอนนี้พักเรื่องของชาร์ลี·คอร์แรงต์เอาไว้ก่อน แต่ถ้าในอีกสองสัปดาห์ เรายังหาถิ่นกำเนิดของซูซานน่า·มาติสไม่พบ ก็คงต้องพิจารณารับเขาเข้าทำงานในฝ่ายพลเรือน แล้วเล่าสถานการณ์ที่แท้จริงให้ฟัง”
นี่คือระเบียบปฏิบัติที่หน่วยผู้วิเศษทางการชอบใช้กัน เพื่อปกป้องคนธรรมดาที่ยังไม่หลุดพ้นจากอิทธิพลเหนือธรรมชาติ
แม้หลายคดีจะคลี่คลาย เหยื่อได้รับคำปลอบโยนให้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ แต่แล้วไม่กี่สัปดาห์ ไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ปีต่อมา พวกเขากลับต้องจบชีวิตอย่างเป็นปริศนา
อ็องกูแลมกล่าวต่อ
“ตอนนี้เรามีสองเป้าหมายหลัก: หนึ่ง ตรวจสอบทั้งบนดินและใต้ดินในละแวกนี้เพื่อค้นหาถิ่นกำเนิดของซูซานน่า·มาติส สอง ตามหาตัวผู้เขียนจดหมายเตือน เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้จักซูซานน่า·มาติสเป็นอย่างดี”
ก่อนปล่อยตัวชาร์ลี อ็องกูแลมและทีมได้แอบตรวจสอบโรงแรมระกาทองอย่างละเอียดแล้ว แต่ไม่พบจุดใดที่น่าสงสัยว่าเป็นแหล่งกำเนิดวิญญาณมาร
พวกเขายังใช้วิธีเหนือธรรมชาติตรวจสอบประสบการณ์และคำให้การของชาร์ลี เพื่อยืนยันว่าตั้งแต่เริ่มสวดวิงวอนต่อซูซานน่า·มาติสจนถึงถูกตำรวจจับ เหยื่อไม่ได้ติดต่อกับบุคคลที่น่าสงสัยใดเลย
ด้วยเหตุนี้ อ็องกูแลมจึงสรุปว่า ไม่จำเป็นต้องกังวลกับฝั่งชาร์ลีแล้ว
สำหรับคนส่งจดหมาย ผู้ใช้วิธีการอันชาญฉลาด เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์สูงในการรับมือกับพลังทำนายและพลังแกะรอย เพราะเลือกใช้สัตว์วิญญาณในการเขียนและส่งจดหมาย
ต้องไม่ลืมว่า แม้ผู้วิเศษคนเดิมจะใช้คาถาอัญเชิญเดียวกันเพื่อเรียกสัตว์จากโลกวิญญาณ แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันในแต่ละครั้ง
ด้วยคำจำกัดความเพียงสามประโยค ย่อมมีสัตว์โลกวิญญาณที่ตรงตามเงื่อนไขมากมายนับแสนนับล้าน หรืออาจมากกว่านั้น การอัญเชิญจึงต้องอาศัยโชคช่วยอย่างมาก
เว้นแต่จะมีสื่อกลางและคำนิยามที่เฉพาะเจาะจง ลำพังการถอดรหัสคาถาอัญเชิญเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่เพียงพอที่จะเรียกสัตว์โลกวิญญาณที่ต้องการออกมา ประกอบกับสัตว์โลกวิญญาณส่วนใหญ่ก็แทบไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
อ็องกูแลมเคยลองขอความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ โดยใช้จดหมายฉบับดังกล่าวเป็นสื่อกลางในการอัญเชิญสัตว์วิญญาณที่สอดคล้องกัน หวังว่าจะได้เบาะแสจากมัน แต่ไม่ว่าจะเป็น ‘ผู้เขียนจดหมาย’ ‘ผู้ร่างจดหมาย’ หรือ ‘ผู้ส่งจดหมาย’ ก็ไม่สามารถเรียกอะไรออกมาได้เลย
สาเหตุที่ไม่สามารถอัญเชิญสัตว์วิญญาณ อาจเป็นเพราะคำนิยามในจดหมายมีจุดผิดพลาด หรืออาจเป็นเพราะสัตว์วิญญาณตระหนักถึง ‘เจตนาไม่ดี’ จึงปฏิเสธการถูกอัญเชิญ
แม้พิธีกรรมจะไร้ที่ติ แต่การอัญเชิญอาจล้มเหลวได้ สาเหตุหลักคือสัตว์โลกวิญญาณที่ตรงกับคำอธิบายอาจไม่ตอบสนองต่อคำเรียก มีเพียงโอสถที่เชี่ยวชาญการอัญเชิญเท่านั้นจึงจะเพิ่มโอกาสสำเร็จหรือบังคับได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้วิเศษมักไม่ถูกปฏิเสธ เพราะคำนิยามสามประโยคครอบคลุมสัตว์โลกวิญญาณจำนวนมหาศาล ย่อมมีบางส่วนที่อยากมาเยือนโลกความจริงเพื่อสูบพลังวิญญาณ
…………
ลูเมี่ยนแกล้งทำเป็นหลับ เตรียมพร้อมสำหรับการหนีทุกเมื่อ
จนกระทั่งเสียงระฆังดังกังวานจากวิหารใกล้เคียง บอกเวลาหกโมงเช้า เด็กหนุ่มจึงได้หายใจโล่งคอ
ดูเหมือนว่าศึกระหว่างผู้วิเศษทางการกับซูซานน่า·มาติสจะสิ้นสุดลงแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าเรากับเธอเคยเผชิญหน้ากันสั้นๆ … ลูเมี่ยนพลิกตัวลงจากเตียง ลูบไล้ใบหน้าของตัวเองเบาๆ
เขายังไม่แน่ใจว่าซูซานน่า·มาติสถูกผู้วิเศษทางการกำจัดอย่างสิ้นซากหรือยัง และไม่มั่นใจว่าปัญหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว
เมื่อนึกถึงความโกรธแค้นอันแรงกล้าที่ซูซานน่า·มาติสมีต่อตน ลูเมี่ยนรู้สึกว่าไม่ควรหวังพึ่งพาโชคชะตาเพียงอย่างเดียว
เขาตัดสินใจเขียนจดหมายถึงมาดามเมจิกเชี่ยนโดยทันที เพื่อรายงานความคืบหน้าว่าได้ติดต่อกับมิสเตอร์ K แล้ว และเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของซูซานน่า·มาติส ว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใด และมีจุดอ่อนหรือไม่
เพื่อกันเหนียว ลูเมี่ยนยังตั้งใจจะถาม ‘เฮล่า’ รองประธานของสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกเผื่อไว้ด้วย เพราะมาดามเมจิกเชี่ยนมิใช่ผู้รอบรู้
เด็กหนุ่มเขียนจดหมายสองฉบับแยกกัน ทำความสะอาดห้อง แล้วจึงอัญเชิญผู้ส่งสารทั้งสองด้วยเวลาห่างกันสิบนาที เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละคนได้รับจดหมายถูกฉบับ
เมื่อล้างหน้าเสร็จและเดินกลับมายังห้อง 207 เขาพบจดหมายตอบกลับสองฉบับวางอยู่บนโต๊ะไม้
“หืม… มาดามเมจิกเชี่ยนก็ตอบเร็วเหมือนกัน? สองผู้ส่งสารมาเจอกันพอดีหรือเปล่า? ถ้าพวกเขาเจอกัน หัวข้อการสนทนาจะเป็นอะไร?” ลูเมี่ยนรำพันพลางหยิบจดหมายตอบกลับขึ้นมาหนึ่งฉบับ
เป็นจดหมายจาก ‘เฮล่า’
“มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นทั้งบนทวีปเหนือและใต้ ชายหญิงหลายคนมักฝันถึงเพศตรงข้าม มีสัมพันธ์สวาทด้วยกัน จนสุดท้ายก็เสียชีวิตเพราะร่างกายอ่อนแอ”
“หากเหยื่อมีคู่ครองหรือคนรักอยู่แล้ว ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นจะถูกสัตว์ประหลาดคล้ายๆ ซูซานน่า·มาติสฆ่าเรียงคน ดูเหมือนว่าเหตุผลก็คือ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถือว่าตัวเองเป็นภรรยาหรือสามีของผู้ที่ฝัน”
“กล่าวกันว่าพวกมันแข็งแกร่งมาก ไม่เป็นรองผู้วิเศษลำดับกลางเลย”
“จากรายละเอียดในบางจุด จะเห็นได้ว่าซูซานน่า·มาติสอาจเสียชีวิตแล้ว จนกลายเป็นวิญญาณอาฆาตหรือวิญญาณมาร…”
แข็งแกร่งอย่างที่คิด… ลูเมี่ยนระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน และค่อนข้างมั่นใจว่าหากตนไม่มีปรอทเสื่อมทรามไว้ข่มขู่ ถ้าไม่มีชาร์ลีไว้เป็นตัวประกัน และถ้าซูซานน่า·มาติสไม่ได้อ้างตัวว่าเป็นภรรยาของชาร์ลี เขาคงจะถูกอีกฝ่ายจัดการภายในหนึ่งนาที
หลังจากเสียดสีพลังวิญญาณเพื่อจุดไฟ และเผาจดหมายตอบกลับของเฮล่าทิ้ง ลูเมี่ยนคลี่อ่านจดหมายจากมาดามเมจิกเชี่ยน
“ฉันไม่แน่ใจว่าควรแสดงความยินดีหรือเห็นใจกับเธอดี ดูเหมือนว่าเธอจะมีโอกาสพบเจอสาวกเทพมารได้บ่อยกว่าผู้วิเศษทั่วไป นี่อาจเป็นอิทธิพลของมลพิษที่ถูกผนึกอยู่ในร่างกาย”
“สิ่งนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกฎการรวมตัวของตะกอนพลัง มันใกล้เคียงกับทฤษฎี ‘พลังที่ถูกโลกนี้ผลักไส ดึงดูดเข้าหากันเพราะถูกผลักไสเหมือนกัน’ เสียมากกว่า”
“นี่เป็นแค่การคาดเดาของฉัน ไม่รับประกันความถูกต้อง ถ้ามันผิด อย่าลืมเตือนฉันและบอกคำตอบที่ถูกต้องให้ฉันรู้”
“จากคำอธิบายของเธอ ฉันสงสัยว่าเดิมทีแล้ว ซูซานน่า·มาติสคงเป็นสาวกของเทพมารที่ได้รับพร โดยจะแข็งแกร่งทัดเทียมกับลำดับ 5”
“เทพมารองค์ดังกล่าว โลกของเราเรียกกันเองว่า ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ ห้ามทำความเข้าใจพระองค์โดยเด็ดขาด และห้ามคาดเดาพระนามเต็มของพระองค์”
“ซูซานน่า·มาติสคงจะเป็น ‘มารพฤกษาเสื่อมทราม’ หรือที่เรียกกันว่า ‘วิญญาณราคะ’ ในบางสถานที่ยังเรียกว่า ‘กามเทพน้อย’ พวกมันมีทั้งชายและหญิง ชอบมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ในความฝันเพื่อสูบพลังไปจากเหยื่อ เมื่อเวลาผ่านไป พวกมันจะเริ่มมองว่าตนคือภรรยาหรือสามีของเหยื่อ จนเกิดความคิดที่อยากครอบครอง และสังหารคู่รักหรือคนรักของอีกฝ่ายด้วยความหึงหวง”
“อย่างไรก็ดี ซูซานน่า·มาติสยังมีลักษณะของสัตว์วิญญาณร่วมด้วย จึงอาจเป็นไปได้ว่า เธอน่าจะเสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุ หรือไม่ก็รับพรจากเทพมารไม่ไหว จนกลายเป็นวิญญาณมาร กลายเป็นสิ่งมีชีวิตไร้เหตุผลที่เอนเอียงเข้าหาสัญชาตญาณมากขึ้น”
……………………………………………………..