ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 140 ภาพวาด
ตอนที่ 140 ภาพวาด
“คล้ายๆ กับสิ่งที่ชาร์ลีพบเจอ จุดต่างเพียงเรื่องเดียวคือการที่เหยื่อเป็นสตรี ส่วนชาร์ลีเป็นบุรุษ…”
“สิ่งมีชีวิตพิสดารที่น่าจะเป็นซูซานน่า·มาติสไม่เลือกเพศ หรือว่ามีสิ่งมีชีวิตพิสดารที่คล้ายๆ กันแต่เป็นเพศชายอยู่ด้วย?”
“น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะเหยื่อในเมืองอูเนต์เป็นสตรีทั้งหมด ไม่มีผู้ชายเลย…”
“หืม… ผู้หญิงสามคนนั้นกับชาร์ลียังมีข้อแตกต่างอีกหนึ่งจุด พวกเธอไม่มีคู่ครองทั้งในทางเปิดเผยและในทางลับ แต่สำหรับชาร์ลี หลังจากสวดวิงวอนกับซูซานน่า·มาติส ไม่นานก็ได้เป็นคนรักของคุณนายอลิซ… หรือว่าถ้าไม่มีคุณนาย ชาร์ลีก็จะลงเอยเหมือนเหยื่อสามรายนั้น? คึกคะนองเกินเหตุจนร่างกายอ่อนเพลียและตายไป?”
“คุณนายอลิซกลายเป็นเหยื่อแทนแล้ว… หรือนี่เพียงแค่เริ่มต้น?”
ข้อมูลจากผู้ชายที่ทาหน้าด้วยสี ช่วยให้ลูเมี่ยนจับต้นชนปลายได้ในระดับหนึ่ง ซ้ำยังผุดข้อสันนิษฐานบางอย่าง
ตอนนี้เขาหวังเพียงว่า ทางการจะให้ความสำคัญกับคดี และภาวนาให้อย่าเพิ่งรีบชำระล้างซูซานน่า·มาติส
สำหรับคำถามที่ว่า ‘จดหมายขอความช่วยเหลือ’ จะทำให้ทางการสงสัยหรือไม่ ว่าชาร์ลีอาจมีเพื่อนสักคนเป็นผู้วิเศษเถื่อน ลูเมี่ยนไม่กังวลสักเท่าไร — ภายในจดหมาย เขาจงใจเขียนเล่าสถานการณ์และข้อมูลของชาร์ลีให้คลุมเครือ ซ้ำยังจงใจเล่าผิดในจุดที่เป็นรายละเอียดเล็กๆ เพื่อให้ดูเหมือนคนที่คอยตามจองเวรซูซานน่า·มาติสมานาน และคิดจะใช้สถานการณ์ของชาร์ลีเพื่อดึงทางการมาช่วยแก้แค้นให้ตัวเอง เนื้อหาของจดหมายจึงมุ่งเน้นไปที่ตัวซูซานน่า·มาติสเป็นหลัก โดยยังขาดข้อมูลของฝั่งชาร์ลีอยู่พอสมควร
หลังจากที่ผู้ร่วมชุมนุมถกกันเรื่องคดีประหลาดของเมืองอูเนต์สักพัก คนรับใช้ของมิสเตอร์ K ก็หยิบสิ่งที่คลุมด้วยผ้าสีดำขึ้นมา
คนรับใช้อีกหนึ่งคนกล่าวแนะนำ
“นี่คือภาพที่เพื่อนของหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมวาดขึ้น”
“ผู้วาดก็เป็นผู้วิเศษเช่นกัน เสียชีวิตอย่างแปลกประหลาดเมื่อสองเดือนก่อน ภาพนี้ถูกวาดขึ้นก่อนที่เขาจะตายได้ไม่นาน”
พร้อมกันกับเสียงพูด คนรับใช้ที่คอยถือภาพวาด ดึงผ้าสีดำออกจากผิวภาพ เผยให้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของผู้วิเศษคนนั้น
เป็นภาพวาดสีน้ำมัน ใช้สีสันสดใสและฉูดฉาด เพื่อสร้างทิวทัศน์อันผิดแผกพิสดารคล้ายภาพหลอน
มีวัชพืชสีเขียวที่สูงเสียดฟ้า มีดวงอาทิตย์สีทองที่ซุกซ่อนอยู่ในบ่อ มีลำธารโลหิตที่ไหลลงจากผืนนภา มีเงาคนสีดำที่รวมตัวกันคล้ายเต้นรำ มีกลุ่มก้อนกะโหลกสีขาวที่ประกอบกันเป็นเมฆ…
เพียงมองภาพดังกล่าวไม่กี่วินาที ลูเมี่ยนก็รู้สึกวิงเวียนผสมตาลาย
คนรับใช้ที่พูดเกริ่นนำ กล่าวต่อไป
“ภาพวาดนี้มีตราประทับทางจิตที่รุนแรงมาก สามารถสร้างอิทธิพลทางใจให้กับผู้มอง จนเกิดเป็นความมึนงง วิงเวียน หรือตาลายในระดับที่แตกต่างกัน หากจ้องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการทางจิตได้”
“อ้างอิงจากจดหมายและบันทึกที่เจ้าของผลงานทิ้งไว้ ภาพนี้อาจแฝงข้อเท็จจริงบางอย่าง ซึ่งบ่งชี้ไปยังแก่นแท้ของโลกและต้นกำเนิดศาสตร์เร้นลับ”
“อีกทั้งยังอาจซุกซ่อนเหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาเสียชีวิตอย่างน่าประหลาดเอาไว้”
“หากมีผู้ร่วมชุมนุมคนใดสนใจนำไปศึกษา ราคาต่อรองกันได้”
ยังกล้าเอามาขายอีกหรือ? แม้แต่ให้ฟรีก็ไม่เอา! ลูเมี่ยนรำพันในใจ พลางเบือนสายตาไปทางอื่น
สิ่งที่ซุกซ่อนข้อเท็จจริง แก่นแท้ และต้นกำเนิด เด็กหนุ่มไม่อยากสัมผัสแม้แต่กระผีกเดียว อ้างอิงจากคำเตือนของโอลัวร์ สิ่งที่ไม่ควรดูก็อย่าดู ไม่ควรศึกษาก็อย่าศึกษา
ลูเมี่ยนสนใจเพียงสิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่นตะกอนพลัง สูตรโอสถ สมบัติวิเศษ อาวุธวิเศษ หรือความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับที่นำไปใช้งานจริงได้
ค่อนข้างชัดเจนว่า ผู้ร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ไม่อยากจ่ายเงินซื้อภาพวาดอัปมงคลที่ไม่รู้ว่าซ่อนความลับแบบใดไว้
ลงเอยด้วย คนรับใช้ของมิสเตอร์ K ก็ต้องเก็บมันกลับไปแล้วคลุมผ้าดำไว้ตามเดิม
ถัดมา การชุมนุมเข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนอิสระ ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือและตำนานต่างๆ แต่ก็พยายามปกปิดข้อมูลที่อาจทำให้ตัวตนจริงแดงขึ้นมา
สี่ทุ่มสิบห้า มิสเตอร์ K ประกาศสิ้นสุดการชุมนุม บรรดาผู้เข้าร่วมค่อยๆ ทยอยออกไปทีละกลุ่ม
ขณะเดินออกจากประตู ลูเมี่ยนสัมผัสได้อย่างชัดแจ้ง ว่าผู้จัดงานกำลังจ้องมองตน ด้วยแววตาที่แฝงเจตนาตรวจสอบ
“จะส่งคนตามมาสืบเราหรือไง?” ลูเมี่ยนผุดความคิดนี้ขึ้นมา
เด็กหนุ่มไม่เพียงจะไม่ถือสา แต่ยังคาดหวังอยู่ลึกๆ
สำหรับตอนนี้ หากไม่นับการอัญเชิญผู้ส่งสารเป็นครั้งคราว เขาก็แทบไม่มีความผิดปกติด้านอื่นแล้ว พร้อมรับการตรวจสอบทุกรูปแบบ!
ตราบใดที่ลูเมี่ยนคอยนั่งทับมือไว้ กลั้นใจไม่ติดต่อกับมาดามเมจิกเชี่ยน เด็กหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานมิสเตอร์ K ก็คงได้รับรายงานที่ใกล้เคียงข้อเท็จจริงตามนี้:
ชาร์ลีเป็นผู้วิเศษเถื่อนจริง โดยยังขาดความรู้พื้นฐานที่สำคัญหลายเรื่อง ต้องสงสัยว่ามาจากหมู่บ้านกอร์ตู และกำลังตามหาตัวกิโยม·เบเนต์กับคนอื่นๆ โดยที่ตัวเขาก็มีค่าหัวเช่นกัน
ในแง่ดังกล่าว หากลูเมี่ยนแสดงฝีมือและทัศนคติที่สุดโต่งให้เห็นอีกครั้ง ไม่นานก็คงถูกมิสเตอร์ K ชักชวนไปเป็นลูกน้อง กลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่อยู่เบื้องหลังเขา
ในบางครั้ง การเปิดเผยจุดอ่อนกับสถานการณ์จริงๆ ของตน ‘โดยไม่ตั้งใจ’ ก็เป็นวิธีซื้อใจคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนกับออสตาหามุมอับในบ้านเลขที่ 19 ถนนเฌอร์เพื่อเปลี่ยนการปลอมตัว แล้วจึงเดินทางกลับตลาดคนซื่อ
ขณะเดินไปตามถนนอลเวง ลูเมี่ยนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เขาไม่พบว่ามีใครสะกดรอยตามมา
“เป็นเพราะมิสเตอร์ K ยังไม่คิดจะสืบเรื่องของเรา หรือว่าคนที่ถูกส่งมาสอดแนมมีฝีมือสูงส่ง ซ้ำยังมีพลังวิเศษในระดับที่เราสัมผัสไม่ถึง?” ลูเมี่ยนคิดอยู่สักพักแล้วจึงปล่อยผ่าน
อย่างไรเสีย เขาไม่กลัวการขุดคุ้ยอยู่แล้ว เว้นแต่ว่ามิสเตอร์ K จะเป็นพวกเดียวกับแก๊งหนามพิษ
เดินเข้าไปในโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนเห็นว่ายังไม่ดึกมากนัก จึงเดินผ่านห้องโถงที่ทำความสะอาดแล้ว เลี้ยวลงบาร์ที่อยู่ชั้นใต้ดิน
ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบสถานการณ์ในบาร์ เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกที่เปี่ยมไปด้วยพลังของชาร์ลี
“พวกนายต้องไม่เชื่อแน่! สามชั่วโมงก่อนฉันยังอยู่ที่สถานีตำรวจ ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร แต่สามชั่วโมงถัดมา ฉันได้มาอยู่ที่นี่ ได้ดื่มและร้องเพลงไปพร้อมกับทุกคน!”
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย! ฉันได้ผ่านประสบการณ์อันน่าเหลือเชื่ออีกครั้ง! และกล้าพนันว่าไม่มีใครในนี้เคยพบเจอเรื่องราวแบบเดียวกันแน่…”
พนักงานเสิร์ฟฝึกหัดรายนี้ยกขวดเบียร์ กระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะกลมตัวเล็ก แล้วเริ่ม ‘ปราศรัย’ ต่อหน้าลูกค้ารอบๆ
ผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาดูยุ่งเหยิง ราวกับไม่ได้จัดแต่งมาหลายวัน รอบปากก็มีหนวดเคราเขียวครึ้ม
“เร็วขนาดนี้เชียว?” ลูเมี่ยนเดิมคิดว่า กว่าชาร์ลีจะถูกปล่อยตัวก็คงต้องรออีกสักสองสามวัน
ชาร์ลีบนโต๊ะกลมเล็กเหลือบเห็นลูเมี่ยน จึงโบกแขนสั้นๆ พลางพูดกับลูกค้ารอบๆ ด้วยเสียงโหวกเหวก
“เดี๋ยวฉันจะกลับมาแบ่งปันเรื่องราวที่พิสดารยิ่งกว่านี้ให้ฟังต่อ!”
แต่งกายด้วยเสื้อลินิน กางเกงขายาวสีดำ ชาร์ลีกระโดดลงจากโต๊ะ ถือขวดเบียร์วิ่งไปยังเคาน์เตอร์บาร์ นั่งลงข้างลูเมี่ยน กล่าวกับบาร์เทนเดอร์ผู้มัดผมหางม้า—ปาวาร์·นีซองต์
“อัปแซ็งต์หนึ่งแก้ว! ขอบคุณ”
แล้วก็หันมาพูดกับลูเมี่ยน
“แก้วนี้ฉันเลี้ยง”
ลูเมี่ยนรับไว้อย่างสงบ พลางพูดยิ้มๆ
“สภาพยังดูดีอยู่เลยนี่”
“แน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกแขวนคอแล้ว… ฉันไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนตัวประกอบ แต่พอจะตายกลับถูกคนนับพันแห่มุงดู” ชาร์ลีพูดด้วยใบหน้าโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
ชาวทรีอาร์นิยมชมชอบการมุงดูนักโทษถูกประหารชีวิต
ทุกครั้งที่มีคนถูกนำขึ้นเวทีแขวนคอ หรือจุดยิงปืน ตามถนนและตรอกซอกซอยจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ในยุคโบราณก่อนเข้าสู่ยุคของจักรพรรดิโรซายล์ ความชื่นชอบเช่นนี้เคยทำให้เกิดประเพณีหนึ่งขึ้นมา:
ระหว่างที่นักโทษประหารถูกพาตัวจากคุกไปยังเวทีแขวนคอ หากมีประชาชนคนใดที่มามุงอยากแต่งงานด้วย บทลงโทษจะถูกแก้ไขทันที ถ้าไม่ลดหย่อน ก็จะถูกปล่อยตัวโดยไม่มีความผิด
“แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างล่ะ” ลูเมี่ยนถามต่อ
ชาร์ลีจิบเบียร์หนึ่งอึก เหลียวซ้ายแลขวาแล้วหรี่เสียงพูด
“ฉันเล่ารายละเอียดไม่ได้ เพราะลงนามในหนังสือคำมั่นสัญญาแล้ว… หนังสือที่ผ่านการรับรองน่ะ นายไม่รู้หรอกว่ามันวิเศษยังไง…”
ชาร์ลีรีบปิดปาก แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“เรื่องแย่ๆ เรื่องเดียวคือฉันตกงานอีกแล้ว ว่างงานอีกแล้ว ไอ้หัวหน้าเวรตะไลนั่นกล่าวหาว่าฉันทำให้ภาพลักษณ์ของโรงแรมเสื่อมเสีย… แต่ช่างเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะเอาสร้อยคอเพชรไปจำนำ พวกตำรวจให้คืนมาแล้วล่ะ ด้วยเงินก้อนนี้ ฉันคงอยู่ได้อีกสักพักเลยล่ะ สามารถไปที่ถนนเสื้อนอกขาวเพื่อเลี้ยงเครื่องดื่มพวกพนักงานเสิร์ฟ รอให้พวกนั้นช่วยแนะนำงานที่ดีกว่าเดิม!”
เขาเตรียมจะเสริมคำว่า ‘ไว้ถึงตอนนั้น เราไปด้วยกันนะ’ แต่เมื่อระลึกถึงความกล้าและฝีมือที่ชาร์ลแสดงให้เห็น ชาร์ลีก็ปัดตกความคิดทิ้งไปอย่างเงียบงัน
ลูเมี่ยนจิบอัปแซ็งต์ที่บาร์เทนเดอร์ผลักมาให้ แล้วส่งสัญญาณบอกให้ชาร์ลีย้ายไปนั่งตรงมุมปลอดคน
หลังจากยืนยันว่าสภาพแวดล้อมจ้อกแจ้กจอแจเพียงพอ และไม่มีใครคอยแอบฟัง เด็กหนุ่มถามออกไป
“ปัญหาเกี่ยวกับซูซานน่า·มาติสได้รับการแก้ไขหรือยัง”
“ไม่รู้สิ” ชาร์ลีส่ายหน้า “พวกเขาก็ทำหลายอย่างอยู่นะ แต่ฉันเล่าไม่ได้”
“ทางนั้นได้สัญญาด้วยไหมว่าจะส่งคนมาคุ้มกันสักพัก?” ลูเมี่ยนถามด้วยสีหน้าราวกับครุ่นคิดบางอย่าง
ชาร์ลีตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“ฉันเล่าไม่ได้”
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“มีสินะ”
หากทางการไม่ได้รับปากกับชาร์ลีว่าจะส่งคนมาคอยคุ้มกัน ชาร์ลีก็ต้องเล่าได้แล้ว
แต่นี่เล่าไม่ได้ แสดงว่ามันอยู่ในเนื้อหาที่เขาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่
“เอ่อ…” ชาร์ลีคาดไม่ถึงว่าชาร์ลจะเดาได้แม่นขนาดนี้
ลูเมี่ยนเปลี่ยนเรื่องถาม
“แล้วพวกเขาแนะนำอะไรนายมาบ้าง? เล่าเท่าที่เล่าได้”
ชาร์ลีนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบ
“พวกเขาบอกว่าถ้าฉันฝันแบบเดิมอีก ไม่ต้องตื่นตระหนก รอจนถึงเช้าแล้วไปยังวิหารสุริยันเจิดจรัสใกล้ๆ … นายอาจยังไม่รู้ ตอนนี้ฉันกลายเป็นผู้ศรัทธาองค์สุริยันเจิดจรัสเต็มตัวแล้ว!”
ลูเมี่ยนยกมือขวาอย่างไร้อารมณ์ แล้ววาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนหน้าอก
“…” ชาร์ลีเงียบไปทันที
หลังจากดื่มกับชาร์ลีเสร็จ ลูเมี่ยนกลับห้อง 207 นั่งอ่านสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ต่อ
เด็กหนุ่มใช้ชีวิตตามตารางปกติ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก่อนเที่ยงคืน แล้วทิ้งตัวลงบนเตียง เข้าสู่ภาวะหลับลึก
ปึงปึงปึง! ปึงปึงปึง!
ลูเมี่ยนตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูเป็นบ้าเป็นหลัง
ใครกันนะ… เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว จับคว้าปรอทเสื่อมทรามแบบสลับด้าน เดินไปทางประตู บรรจงเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง
ที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องคือชาร์ลี
อีกฝ่ายยังคงใส่เสื้อลินิน กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนังไร้เชือก ใบหน้าอันซีดเซียวเปี่ยมล้นอาการผวา
พอได้เห็นลูเมี่ยน ชาร์ลีเหมือนกับพานพบที่พึ่งทางใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกที่แทบจะคุมไว้ไม่อยู่
“ฉันฝันถึงผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว!”
……………………………………………………..