ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 136 ทดลองอัญเชิญครั้งแรก
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 136 ทดลองอัญเชิญครั้งแรก
ตอนที่ 136 ทดลองอัญเชิญครั้งแรก
ลูเมี่ยนถูกครอบงำด้วยความยึดมั่นถือมั่นของคุณนายอลิซ จนหายใจได้ลำบากขึ้นตามลำดับ ร่างกายทวีความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนถูกวิญญาณมงต์ซูรีจู่โจมอีกครั้ง จนเข้าสู่ภาวะใกล้ตาย
ถือเป็นประสบการณ์เฉียดตายอย่างแท้จริง
ด้วยเกรงว่าตนอาจคลุ้มคลั่ง ลูเมี่ยนไม่ฝืนยื้อยุดต่อไป เพียงสั่งให้วิญญาณคุณนายอลิซออกจากร่าง
หลังจากหายใจหอบ เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เด็กหนุ่มกลับมาเป็นทนายมือใหม่เจ้าของบุคลิกเย่อหยิ่งตามเดิม
ภายใต้การประกบของตำรวจ เขาเดินกลับไปยังห้องสอบปากคำ
ชาร์ลีรีบลุกขึ้น โน้มตัวมาข้างหน้า สองมือเท้าโต๊ะ ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความตึงเครียดปนคาดหวัง
เขาไม่ต้องพูด ลูเมี่ยนก็คล้ายได้ยินอีกฝ่ายถามว่า ‘ผลเป็นยังไงบ้าง?’
เด็กหนุ่มผงกศีรษะรับด้วยใบหน้าเห็นใจ
ความหมายของเขาคือ ผลการตรวจสอบศพ ไม่ต่างจากที่คาดเดากันมากนัก
ความตึงเครียดบนใบหน้าชาร์ลีมลายหายไปในพริบตา ราวกับว่าเขาไม่หลงเหลือพลังงานอยู่อีก เพียงนั่งลงอย่างอ่อนแรง หลังพิงพนักเก้าอี้
ลูเมี่ยนกล่าวเสียงเคร่งขรึม จงใจให้ตำรวจสองนายตรงประตูได้ยิน
“เรื่องอื่นๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการให้เอง”
“หน้าที่เดียวของคุณก็คือ ในการสอบสวนครั้งหน้า คุณต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดกับพวกเขาโดยไม่ข้ามรายละเอียด ไม่ว่ามันจะดูน่าเหลือเชื่อเพียงใด หรือฟังดูไร้สาระแค่ไหนก็ตาม…”
“แล้วก็… จนกว่าคุณจะถูกนำตัวขึ้นศาล ห้ามเอ่ยถึงเนื้อหาที่เราคุยกันเด็ดขาด”
บทสนทนาระหว่างทนายกับลูกความ อาจรวมไปถึงกลยุทธ์ในการแก้ต่างบนชั้นศาลด้วย ซึ่งผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ทราบ ดังนั้น ตำรวจสองนายที่หน้าประตูจึงไม่เอะใจกับคำพูดของลูเมี่ยน เพราะอย่างไรเสีย ชาร์ลี·คอร์แรงต์ก็เป็นเพียงชายหนุ่มยากจนที่เพิ่งเคยพัวพันกับคดีอุกฉกรรจ์ จนถึงกับต้องใช้ทนายอาสา เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ทราบกฎเกณฑ์พื้นฐานเหล่านี้ ทนายความจึงต้องคอยกำชับไว้
ส่วนชาร์ลีก็เข้าใจความหมาย ‘ที่แท้จริง’ ของลูเมี่ยนเป็นอย่างดี
อย่าบอกตำรวจว่าเขาเป็นคนค้นพบปัญหาเกี่ยวกับภาพของซูซานน่า!
“ตกลง” ชาร์ลีในตอนนี้ แตกต่างจากตอนที่เพิ่งถูกจับมาใหม่ๆ พอสมควร ไม่มีวี่แววความโกรธ หวาดกลัว หรือตื่นตระหนก แต่ก็ยังคงสงบปากสงบคำอยู่
ออกจากสถานีตำรวจเขตตลาด ลูเมี่ยนเดินวนสองรอบ หาซอยที่มีเครื่องกีดขวางมิดชิด เข้าไปแอบเปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดแว่นตา เปลี่ยนสไตล์การแต่งหน้า
“ตอนนี้มีเงินพอแล้ว มีปัญญาเตรียมแหล่งกบดานและสถานที่สำหรับปลอมตัว ตามที่โอลัวร์เขียนไว้ในนิยายได้แล้ว” ลูเมี่ยนนึกทบทวนนิยายของพี่สาว เพื่อหาทางกลบจุดบกพร่องในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน เขาเกิดอยากซื้อหนังสือ ‘สุนทรียศิลป์ของบุรุษ’ มาอ่าน
สำหรับการแต่งหน้า เด็กหนุ่มไม่สามารถเรียนรู้เองโดยไม่มีครู ปัจจุบันจึงต้องปลอมตัวด้วยทรงผม แว่นตา และเสื้อผ้าเป็นหลัก
ขณะเดินกลับโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนเริ่มคิดหาวิธีช่วยให้ชาร์ลีรอดพ้นจากปัญหา
“ซูซานน่า·มาติส หรือสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เธอกลายเป็น คือตัวอะไรกันแน่… ทำไมถึงต้องฆ่าคุณนายอลิซ?”
“ทำไมก่อนหน้านี้ถึงช่วยชาร์ลี แล้วทำไมถึงทำเรื่องอย่างว่ากับเขาในฝัน?”
“เขียนจดหมายถามมาดามเมจิกเชี่ยนดีไหม? ถามว่าอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใด มีความพิเศษแบบไหน? มีเพียงการเข้าใจซูซานน่า·มาติสอย่างแท้จริงเท่านั้น เราถึงจะคิดหาวิธีรับมือกับเธอได้ ไม่อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งต่างกันเกินไป…”
เมื่อนึกถึงการเขียนจดหมายถึงมาดามเมจิกเชี่ยน ลูเมี่ยนพลันลำบากใจ
อิงจากความเร็วในการตอบกลับครั้งก่อน รวมไปถึงเนื้อหาของจดหมาย ลูเมี่ยนที่เคยเป็นเด็กข้างถนน สัมผัสถึง ‘ความรู้สึก’ ที่มาดามเมจิกเชี่ยนไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญมาก อย่ารบกวนฉัน!”
หากเป็นตัวลูเมี่ยนเองที่ประสบปัญหา การเขียนจดหมายไปถามก็คงจะไม่เป็นไร แต่นี่เป็นเรื่องของเพื่อนบ้านที่ไม่เกี่ยวกับเขาโดยตรง
หรือก็คือ มีโอกาสสูงที่สุภาพสตรีลึกลับและทรงพลัง ผู้ไม่ชอบความยุ่งยากคนนั้น จะไม่ตอบจดหมาย
และมันอาจส่งผลต่อทัศนคติที่เธอมีต่อลูเมี่ยนด้วย
“ถ้าไม่ถามมาดามเมจิกเชี่ยน ไปถามในงานชุมนุมศาสตร์เร้นลับของมิสเตอร์ K ดีไหม? แต่ถ้าผู้ร่วมงานมีระดับพอๆ กับออสตา·ทรูเอล ก็คงจะไม่ได้คำตอบอะไร…” ลูเมี่ยนคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะเดินขึ้นบันไดกลับห้องตัวเอง
มองไปยังกระเป๋าที่ซ่อนสมุดบันทึกจอมเวทของโอลัวร์ เด็กหนุ่มพลันผุดแนวคิดใหม่
“ทำไมเราถึงต้องสืบข้อมูลของซูซานน่า·มาติส และพยายามกำจัดเธอด้วยล่ะ?”
“เป้าหมายของเรามีแค่การช่วยชาร์ลีไม่ใช่หรือไง!”
“ต่อให้เราค้นพบจุดอ่อนของเธอ จนเอาชนะเธอได้จริง แต่จะบังคับให้สิ่งมีชีวิตพิสดารแบบนั้นไปมอบตัวที่สถานีตำรวจยังไง?”
“หรือถ้าเธอกล้าไปที่สถานีจริง พวกตำรวจก็คงไม่จับเธอหรอก ด้วยรูปลักษณ์แบบนั้น เกรงว่าจะจัดปาร์ตี้เสียผู้เสียคนกันแทนน่ะสิ…”
ลูเมี่ยนรีบทำความเข้าใจระหว่าง ‘เป้าหมาย’ กับ ‘วิธีการ’
เพื่อล้างมลทินให้ชาร์ลี และพาอีกฝ่ายออกจากสถานีตำรวจ ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากขนาดนั้น!
แค่หาทางทำให้คนของหน่วยแปด ศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส หรือศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ เอะใจว่าปัญหาของชาร์ลีเกี่ยวข้องกับปัจจัยเหนือธรรมชาติ จนเข้ามามีส่วนร่วมกับการสืบสวนก็พอแล้ว!
“ฉัน ผู้ไม่มีเครือข่ายข่าวกรอง ไม่มีพลังวิเศษที่เกี่ยวข้อง เป็นเพียงผู้วิเศษลำดับต่ำ ยังสามารถค้นพบปัญหาของซูซานน่า·มาติส และค้นพบว่าคุณนายอลิซตายด้วยน้ำมือของพลังงานที่มองไม่เห็น… ก็ไม่มีเหตุผลที่ผู้วิเศษทางการจะทำไม่ได้ ถึงตอนนั้น พวกเขาไม่เพียงจะยืนยันความบริสุทธิ์ให้ชาร์ลี แต่ยังจะช่วยขจัดปัญหาเกี่ยวกับซูซานน่า·มาติสด้วย หรือแม้กระทั่งกำจัดหล่อนให้สิ้นซาก” ลูเมี่ยนนึกทบทวนประสบการณ์ของคนบ้าห้องชั้นบน ซึ่งตัดสินใจไปปรึกษากับวิหารหลังจากทราบว่าตนถูกคำสาปของวิญญาณมงต์ซูรีเล่นงาน พลางคาดเดาพัฒนาการของเรื่องราว
ที่กำชับให้ชาร์ลีเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบในการสอบปากคำ ก็เพราะหวังจะดึงดูดความสนใจของผู้วิเศษทางการ
แต่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนต้องทำอะไรสักอย่างด้วย ไม่ควรฝากความหวังไว้กับตำรวจธรรมดาเพียงอย่างเดียว
ถ้าเกิดพวกเขาคิดว่าชาร์ลีแต่งเรื่องเพื่อเยาะเย้ยสติปัญญาของตำรวจ แล้วใช้วิธีรุนแรงเพื่อทรมานให้รับสารภาพล่ะ?
ลูเมี่ยนมองไปยังหนังสือพิมพ์เยินๆ ที่วางบนโต๊ะไม้ นึกถึงการตัดคำจากหนังสือเล็กปกฟ้าที่ตนหรือพี่สาวเคยทำเป็นจดหมายขอความช่วยเหลือ
“เขียนสิ่งที่ชาร์ลีพบเจอเป็นจดหมาย แล้ว ‘ส่ง’ ไปยังวิหารใกล้เคียง?” ลูเมี่ยนพยักหน้ากับตัวเอง ตัดสินใจทำตามนั้น
การเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ ผนวกกับคำให้การของชาร์ลี ควรจะดึงดูดความสนใจของผู้วิเศษทางการได้ไม่มากก็น้อย
ขณะเริ่มมองหาคำที่เหมาะสมจาก ‘บันเทิงคดีรายสัปดาห์’ ลูเมี่ยนเกิดขมวดคิ้วกะทันหัน
“การใช้วิธีขอความช่วยเหลือแบบเดียวกัน จะทำให้ทางการเชื่อมโยงไปถึงคดีหมู่บ้านกอร์ตูไหมนะ… จากนั้นก็เชื่อมโยงเรา ผู้ต้องหาที่มีค่าหัว เข้ากับชาร์ลี?”
เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่ารายงานการสืบคดีของพวกไรอัน ถูกกระจายไปทั่วประเทศแล้วหรือยัง แต่เขาไม่อยากเสี่ยง
“หรือจะเลียนแบบลายมือของโอลัวร์ดี?”
“แตกต่างจากลายเซ็นของทนายที่ไม่มีใครสนใจ หากเป็นจดหมายขอความช่วยเหลือ มีโอกาสสูงที่จะถูกส่งไปตรวจสอบด้วยกรรมวิธีต่างๆ รวมถึงการทำนาย…”
“ปลอมตัวดีๆ แล้วออกไปหาคนช่วยเขียนแทน?” ขณะความคิดมากมายแล่นผ่านไป ลูเมี่ยนผุดแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจ “อัญเชิญสัตว์โลกวิญญาณออกมาเขียนแทนก็ได้นี่!”
“ถึงตอนนั้น ต่อให้ทางการตรวจพบปัญหา แต่ถ้าพวกเขาไม่รู้คาถาที่เราใช้ ย่อมไม่สามารถอัญเชิญสัตว์โลกวิญญาณออกมาชี้ตัวเราได้!”
ยิ่งลูเมี่ยนคิด ก็ยิ่งพบว่าเป็นทางเลือกที่ดี จึงดึงเก้าอี้ออกมานั่งแล้วเริ่มออกแบบคาถาอัญเชิญ
ประโยคแรกไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็น “วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า”
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาเขียนประโยคที่สอง
“สิ่งมีชีวิตเป็นมิตรที่ยอมทำตามคำสั่ง”
สัตว์โลกวิญญาณที่ถูกอัญเชิญมา จะต้องทำตามคำสั่งลูเมี่ยนเท่านั้น จึงจะสามารถช่วยเขียนจดหมายแทน ส่วนการระบุว่า ‘เป็นมิตร’ คือมาตรการป้องกันตัวของผู้อัญเชิญ
ส่วนประโยคที่สาม ลูเมี่ยนไม่โลภมาก แค่อยากรวม ‘ความอ่อนแอ’ เข้ากับ ‘สามารถเขียนภาษาอินทิส’ เท่านั้น
หลังจากใช้เวลาไม่กี่สิบวินาทีในการเรียบเรียงและตกผลึกความคิด ประโยคที่สามก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ:
“ผู้อ่อนแอที่ชำนาญภาษาอินทิส”
ฟู่ว… หลังจากเขียนเสร็จ ลูเมี่ยนถอนหายใจยาว
เด็กหนุ่มเริ่มเปิดอ่านสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ เพื่อแปลศัพท์บางคำที่ตนยังไม่เข้าใจ ให้เป็นภาษาเฮอร์มิส
ตามด้วยการสร้างแท่นบูชา แล้วดำเนินพิธีอัญเชิญ
ไม่นานเขาก็จัดการเสร็จ แลเห็นเปลวไฟเทียนไขที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเทา ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าหัวคน
ร่างอันพร่ามัวกึ่งโปร่งใสลอยออกมา ศีรษะคล้ายวัว ส่วนที่เหลือคล้ายสุนัข
“ช่วยฉันเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ” ลูเมี่ยนมองไปยังสัตว์โลกวิญญาณ กล่าวเป็นภาษาเฮอร์มิส
‘บูลด็อก’ (Bulldog) ไม่ยอมตอบสนอง
“ฉันขอสั่งให้แกช่วยเขียนจดหมาย” ลูเมี่ยนเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นภาษาเฮอร์มิสเช่นเดิม
‘บูลด็อก’ ดูงงงวย ราวกับฟังไม่เข้าใจ
ลูเมี่ยนพยายามอีกหลายหน แต่บูลด็อกก็ยังไม่ตอบสนอง
ไม่มีทางเลือก เพื่อประหยัดพลังวิญญาณ เขาตัดสินใจรีบตัดจบพิธีกรรมอัญเชิญนี้
เด็กหนุ่มเริ่มไตร่ตรองถึงปัญหา
“สื่อสารกับมันไม่ได้…”
“การยอมเชื่อฟังไม่ได้แปลว่าจะคุยกันรู้เรื่อง…”
คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนตัดสินใจเปลี่ยนประโยคท่อนที่สองให้เป็น “สิ่งมีชีวิตเป็นมิตรที่สามารถสื่อสาร”
ถ้าสื่อสารกันได้ ก็เท่ากับว่าออกคำสั่งได้!
คราวนี้ สิ่งที่ลอยออกจากเปลวไฟสีเขียวอมเทาคือ ‘หอยทาก’ ตัวเขื่อง
“สวัสดี” ลูเมี่ยนลองทักทายด้วยภาษาอินทิส
‘หอยทาก’ เปล่งเสียงล่องลอย
“สวัสดี มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ”
มันก็ใช้ภาษาอินทิสเช่นกัน
“ช่วยเขียนจดหมายให้ฉันหน่อยสิ!” ลูเมี่ยนเริ่มกระหยิ่มใจ
‘หอยทาก’ ตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายกับลำบากใจ
“แต่ข้าไม่มีมือ”
“…” ลูเมี่ยนจำใจต้องยุติการอัญเชิญอีกครั้ง
หลังจากคิดไปคิดมา เขาเปลี่ยนจาก ‘ผู้อ่อนแอที่ชำนาญภาษาอินทิส’ เป็น ‘ผู้อ่อนแอที่สามารถเขียนภาษาอินทิส’
‘สามารถเขียน’ หมายถึงการมีทั้งความรู้และศักยภาพในการทำให้เกิดขึ้น
ไม่นานนัก ลูเมี่ยนอัญเชิญครั้งที่สามสำเร็จ
เด็กหนุ่มได้พบกับสัตว์ร่างกายกึ่งโปร่งใสที่ดูคล้ายกระต่าย
“ช่วยเขียนจดหมายให้ฉันหน่อยสิ” ลูเมี่ยนถามอย่างมีความหวัง
‘กระต่าย’ พยักหน้ารับ หยิบปากกาบนโต๊ะขึ้นมา แล้วเขียนคำภาษาอินทิสลงบนกระดาษ:
“จดหมาย”
“…” มุมปากลูเมี่ยนกระตุกแผ่วเบา
เจ้านี่คงไม่ฉลาดเท่าไร…
เด็กหนุ่มเปลี่ยนความคิดทันที หยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา รีบเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือหนึ่งฉบับ บรรยายรายละเอียดสำคัญอย่าง ภาพเหมือนของซูซานน่า·มาติส ความฝันวาบหวิว การตายของคุณนายอลิซ และการถูกจับของชาร์ลี
แล้วจึงพูดกับกระต่าย
“คัดลอกซะ!”
กระต่ายรับปากกาแล้วเริ่มคัดลอกอย่างเอาจริงเอาจัง
ไม่นานก็ทำจนเสร็จ
ลูเมี่ยนรับมาดู ผงกหัวด้วยความพึงพอใจ
แต่ทันใดนั้น รอยยิ้มของเขาพลันแข็งค้างบนใบหน้า
สัตว์ที่ไม่ค่อยฉลาดตัวนี้ ไม่เพียงคัดลอกเนื้อหาของจดหมาย แต่ยังคัดลอกลายมือด้วย
หรือก็คือ มันเขียนด้วยลายมือของลูเมี่ยนเอง!
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้า แล้วบรรจงคลายออก ชี้นิ้วไปทาง ‘บันเทิงคดีรายสัปดาห์’ พร้อมกับกล่าว
“ใช้ลายมือแบบนี้”
กระต่ายพยักหน้ารับอย่างไม่รีบร้อน แล้วเริ่มเขียนใหม่โดยไม่ปริปากบ่นสักแอะ
ไม่กี่นาทีถัดมา ลูเมี่ยนได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือที่เหมือนกับถูกพิมพ์ออกมา
……………………………………………………..