ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 129 เพื่อนบ้าน
ตอนที่ 129 เพื่อนบ้าน
ถนนอลเวง โรงแรมระกาทอง ห้อง 207
ลูเมี่ยนโยนหนังสือพิมพ์เยินๆ ในมือลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงกับขอบเตียง
นั่งได้ไม่นานก็ทิ้งตัวนอนแผ่ รู้สึกเหนื่อยล้าจากส่วนลึกของร่างกาย จนไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป
สิ่งที่จะย้อนกลับสู่สภาพเดิม มีเพียงร่างกายและสภาพจิตใจเท่านั้น ไม่รวมถึงความคิด
เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะถอดเสื้อผ้า เพียงถอดรองเท้าหนังออก แล้วหลับตาลง
คืนนี้ลูเมี่ยนนอนหลับสนิทอย่างแท้จริง ไม่ฝันถึงสิ่งใดเลย
จนกระทั่งตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นกำมะถัน แสงอาทิตย์อัสดงยังคงแย้มมาจากด้านนอก
หันไปมองหน้าต่างที่ส่องประกายสีทองอมแดง ลูเมี่ยนรำพันกับตัวเอง
“เราหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเลยหรือไง…”
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกเช้าตอนหกโมงตรง เขาจะตื่นขึ้นเองตามธรรมชาติ
หลังจากเห็นคำไว้อาลัยบนหนังสือพิมพ์ จนความเศร้าในใจถูกระบายออกอย่างไม่อาจอดกลั้น ลูเมี่ยนพบว่าอารมณ์ของตนมั่นคงขึ้นมาก แต่ยังหลงเหลือความหดหู่อยู่บ้าง
แน่นอน เขาเองก็ทราบดีว่าความเศร้ามิได้หายไป ความเจ็บปวดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในอีกไม่ช้ามันจะหวนกลับมาใหม่ เพียงแต่ตนต้องปรับทัศนคติ กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องตกอยู่ในภาวะใกล้พังทลายเหมือนก่อนหน้านี้
สำหรับแนวโน้มเล็กๆ ของอารมณ์รุนแรง บ้าคลั่ง และทำลายตัวเอง เด็กหนุ่มเชื่อว่าตนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตราบเท่าที่มันไม่ร้ายแรงก็ยังพอทำเนา
“คงต้องเข้ารับการบำบัดไปเรื่อยๆ … ไม่อย่างนั้น ก่อนจะได้แก้แค้นสำเร็จ ก่อนจะคืนชีพให้โอลัวร์ คงเป็นบ้าไปเสียก่อน” ลูเมี่ยนถอนหายใจ พลิกตัวลงจากเตียง
เด็กหนุ่มหยิบ ‘บันเทิงคดีรายสัปดาห์’ เยินๆ ขึ้นมาอีกครั้ง อ่านหน้าแรกที่มีคำประกาศอาลัย ปล่อยให้ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยภายในใจ กระตุ้นตัวเองให้กลับมามีสติตื่น
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนพบปัญหาหนึ่ง
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้เป็นของสัปดาห์ที่แล้ว
เด็กขายหนังสือพิมพ์ ขายฉบับที่หมดอายุให้ตน!
“ไม่มีทาง… ไม่มีทางที่เด็กขายหนังสือพิมพ์จะเก็บหนังสือที่ขายไม่ออกไว้กับตัว…” ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว พบว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดและประจวบเหมาะเกินไป
หลังจากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง และจำได้ว่า ‘นักจิตบำบัด’ มาดามซูซี่ เคยกล่าวไว้ว่า
“หลายครั้งหลายครา การข่มความเจ็บปวดสิ้นหวังเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจมิใช่เรื่องดี มนุษย์ต้องการการปลดปล่อย ต้องการการผ่อนคลาย…”
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนกระจ่างแจ้ง
นี่คือส่วนหนึ่งของการบำบัดจิตใจ!
“มาดามซูซี่เริ่มจากการชี้ให้เห็นว่าสภาพจิตใจของเราไม่ดี มีแนวโน้มที่จะทำลายตัวเอง จากนั้นก็ใช้ความหวังในการคืนชีพให้โอลัวร์เพื่อนำร่อง เมื่อเราจมอยู่กับความเจ็บปวดเพราะความหวังนั้น ก็จัดแจงให้เด็กขายหนังสือพิมพ์ นำข่าวการตายฉบับหนึ่งสัปดาห์ก่อนมาขาย อาศัยความจริงอันขื่นขมทำลายเกราะป้องกันทางใจของเรา จนสามารถปลดเปลื้องความเจ็บปวดสิ้นหวังที่สะกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ…” ลูเมี่ยนพึมพำกับตัวเอง
หลังจากกระจ่างแจ้ง เขารู้สึกดีใจ โล่งใจที่ได้พบกับนักจิตบำบัดมือดี ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะหลุดพ้นจาก ‘บ่อโคลนแห่งจิตใจ’
ดวงตาของลูเมี่ยนกลอกไปมาอย่างไร้จุดหมาย แลเห็นตัวเรือดมุดเข้ามาในห้อง
นาสิกประสาทบอกกับเด็กหนุ่มว่า ห้องข้างๆ ได้จุดกำมะถันเพื่อไล่ตัวเรือด แต่พวกมันส่วนใหญ่ไม่กล้าหนีเข้ามาในห้องลูเมี่ยน
หวนนึกถึงวันแรกที่ย้ายเข้า ตัวเขาและเพื่อนบ้านห้องติดกัน พยายาม ‘เล่นงาน’ กันและกัน ต่างฝ่ายต่างใช้กำมะถันเพื่อไล่ตัวเรือดเข้าไปในห้องของอีกฝ่าย ลูเมี่ยนหุบยิ้มไม่ได้
เขาสวมรองเท้าหนัง ออกจากห้อง เดินไปยืนอยู่หน้าห้อง 206
สำหรับชั้นสองของโรงแรมระกาทอง ซอยด้านหลังของถนนอลเวงจะมีห้องน้ำที่เชื่อมกับห้อง 201 ถึง 204 และตรงข้ามห้อง 204 ก็ยังมีอีกหนึ่งห้อง เช่นเดียวกันกับห้อง 205 ถึง 208 โดยที่สุดทางเดินทั้งสองฝั่งจะเป็นระเบียงใหญ่
นอกจากชั้นสองแล้ว ชั้นสาม สี่ และห้าต่างก็มีสิบห้องพัก ห้องน้ำรวมชั้นละสองห้อง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ลูเมี่ยนงอนิ้ว เคาะประตูห้อง 206
“ใคร?” เสียงที่เจือปนความตื่นตระหนก ดังมาจากหลังประตู
“ห้อง 207 ข้างๆ” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ “อยากรู้จักเพื่อนข้างห้องน่ะ”
ไม่กี่วินาทีถัดมา ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับเสียงเสียดสี เบื้องหน้าลูเมี่ยนคือชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง
สูงไม่ถึงหนึ่งเมตรเจ็ด สวมเสื้อลินินสีขาวที่ซักจนซีด กางเกงขายาวสีดำพร้อมสายรัด สวมแว่นตากรอบดำเลนส์หนา ผมสีน้ำตาลกระเซอะกระเซิงแถมยังมันเยิ้ม คงไม่ได้สระมาหลายวัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเจือความระแวงที่เก็บซ่อนไม่มิด
“มีอะไรหรือ?” อีกฝ่ายถาม
ลูเมี่ยนยิ้มพร้อมกับยื่นมือขวาออกไป
“ผมคงอยู่ที่นี่อีกสักพัก อยากรู้จักห้องข้างๆ ไว้น่ะครับ”
“ให้เรียกคุณว่าอะไร?”
ชายหนุ่มลังเลสักพัก แต่สุดท้ายก็ยื่นมือขวาออกมา จับกับมือลูเมี่ยน
“กาเบรียล แล้วคุณล่ะ?”
“ชาร์ล” ลูเมี่ยนมองเข้าไปในห้อง 206 พลางถาม ‘ทำที’ ว่าอยากรู้อยากเห็น “ทำไมถึงจุดกำมะถันตอนนี้ล่ะครับ? นี่ก็เย็นแล้ว ถึงเวลาออกไปหาอะไรกินแล้วกระมัง”
กาเบรียลผลักแว่นขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขื่นขม
“ผมเป็นนักเขียนบทละคร คืนนี้ว่าจะทำงานโต้รุ่งน่ะครับ”
“นักเขียน?” ลูเมี่ยนยกมือขึ้นลูบคาง
เด็กหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะเล่น ‘ซุกซน’ เบาๆ เพื่อละลายพฤติกรรมกับเพื่อนบ้าน
กาเบรียลเน้นย้ำ
“นักเขียนบทละคร คือผู้เขียนบทละครสำหรับโรงละครต่างๆ”
“ฟังดูไม่เลวเลย” ลูเมี่ยนชื่นชมจากใจ “ผมนับถือคนที่แต่งเรื่องราวเก่งๆ มากเลยล่ะ ไอดอลของผมก็เป็นนักเขียนเหมือนกัน”
เมื่อเห็นแววตาจริงใจของคู่สนทนา กาเบรียลรู้สึกเขินเล็กๆ จากคำชมนั้น
“อาชีพนี้ไม่ได้เลิศหรูอย่างที่คุณคิดหรอก… บทล่าสุดที่ผมเขียนน่ะ ใช้พลังงานไปตั้งมาก ผมเชื่อว่ามันไม่ด้อยไปกว่าบทละครคลาสสิกเรื่องไหนเลย แต่กลับไม่มีผู้จัดละครเวทีคนไหนสนใจจะชายตามอง…”
“ก็เลยต้องรับงานเขียนจากหนังสือพิมพ์หัวเล็ก เพื่อแต่งเรื่องใต้สะดือห่วยๆ คอยประทังชีวิตให้ไม่ต้องอดตาย ฮะฮะ! ตอนนี้ก็กำลังปั่นต้นฉบับนั่นอยู่ ในหัวพวกบรรณาธิการน่ะมีแค่ ‘ทำยังไงก็ได้ให้นางเอกขึ้นเตียง’ ไม่มีอย่างอื่นเจือปน กลุ่มผู้อ่านของพวกเขาชอบอะไรแบบนี้…”
คงเพราะถูกกระตุ้นแผลใจ กาเบรียลรู้สึกอยากจะแบ่งปันกับใครสักคน จึงเล่าออกมาเป็นชุด
ลูเมี่ยนตั้งใจฟังจนจบ แล้วพูดอย่างจริงใจ
“ผมเคยอ่านประวัติหรือบทสัมภาษณ์ของนักเขียนมาหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการยอมรับมาก่อน ต้องอาศัยในโรงแรมราคาถูกหรือห้องใต้หลังคา… ผมเชื่อว่าสักวันคุณจะได้พบกับคนที่อยากอ่านบทละครของคุณ และกลายเป็นนักเขียนบทละครที่โด่งดังได้แน่”
กาเบรียลถอดแว่นตาออก ใช้มืออีกข้างขยี้ใบหน้าตัวเอง
“ไม่มีใครให้กำลังใจผมมานานแล้ว… คุณเป็นคนที่สอง คนอื่นๆ เอาแต่หัวเราะเยาะความฝันของผม บอกว่าผมไม่ยอมอยู่กับความจริง”
ถ้าไม่ใช่เพราะนายประกอบอาชีพคล้ายๆ โอลัวร์ ฉันก็คงจะหัวเราะเยาะเหมือนกัน แถมยังหนักกว่าพวกนั้นอีก… ลูเมี่ยนจิกกัดอย่างขบขัน แล้วถามด้วยความสงสัย
“ใครคือคนแรกที่ให้กำลังใจคุณ?”
“คุณซาฟารีห้อง 309 นะ” กาเบรียลแหงนมองเพดาน “เธอเป็นนางแบบเปลือย ผมไม่เห็นมาหลายวันแล้ว คงย้ายออกไปแล้วกระมัง”
นางแบบเปลือยที่คู่สามีภรรยารูเอลเคยเล่าให้ฟัง? ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ แล้วเชิญชวน
“ไปดื่มที่บาร์กันไหม”
กาเบรียลดูสนใจในที แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจตัวเองไว้ได้
“ไว้คราวหน้านะ ผมต้องส่งงานพรุ่งนี้แล้ว”
“ตกลง” ลูเมี่ยนโบกมือลา แล้วเดินกลับห้องตัวเอง
หลังจากมองดูทิวทัศน์อันคึกคักของถนนอลเวงจากริมหน้าต่าง เด็กหนุ่มตัดสินใจเสาะหาร้านดีๆ กิน เพื่อลิ้มรสชาติอาหารของกรุงทรีอาร์
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงหวีดแหลมของสตรีดังมาจากชั้นบน
“ไอ้สารเลว! ไอ้หมูตอน!”
“แม่ของแกไปนอนกับปีศาจแล้วคลอดแกออกมา…”
เสียงด่าหยุดลงกะทันหัน คล้ายกับถูกขัดจังหวะด้วยกำลัง
ลูเมี่ยนเกิดความสนใจ จึงเปิดหน้าต่างในห้อง
“ถ้าแกชอบผู้หญิงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่กลับไปหาแม่ของแกล่ะ?”
“…”
คราวนี้ เขามั่นใจว่าเสียงดังมาจากชั้นสี่
คุณอีแซงซ์ที่ถูกบังคับให้เป็นโสเภณีผิดกฎหมายคนนั้น? ลูเมี่ยนนึกถึงเรื่องเล่าของชาร์ลี
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หัวหน้าหน่วยของแก๊งหนามพิษ มาร์โกต์ พาลูกน้องมาไถเงินเธอแล้ว
ในสาธารณรัฐอินทิส โสเภณีจะแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่ง กลุ่มที่ลงทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย จะอยู่แถวถนนกำแพงเมือง ถนนเบรย์ดา และย่านเริงรมย์อื่นๆ
สอง กลุ่มที่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องจ่ายภาษี จะถูกทางการปราบปราม กลุ่มนี้มีจำนวนมากกว่ากลุ่มแรกนับสิบเท่า หรืออาจถึงยี่สิบ
หลังจากไตร่ตรองสักพัก ลูเมี่ยนสวมแจ็กเกตสีเข้ม เดินไประหว่างห้อง 202 กับ 203 ที่มีบันไดขาขึ้น
เด็กหนุ่มนำขวดน้ำหอมราคาถูกที่ซื้อจากบีกอร์ออกมา เดิมตั้งใจจะเทบางส่วนลงบนบันไดไม้ เพื่อให้มาร์โกต์กับลูกน้องเดินผ่านมาเหยียบ
ยังบอกไม่ได้ว่าการจู่โจมครั้งถัดไปของวิญญาณมงต์ซูรีจะมาตอนไหน ลูเมี่ยนอยากหาเหยื่อมารับเคราะห์โดยเร็ว จะได้รีบๆ แลกเปลี่ยนชะตากรรมออกไป
หลังจากคิดอยู่สักไม่กี่วินาที เขาเปลี่ยนใจไม่เทน้ำหอมลงไปตรงๆ แต่เลือกจะทำให้คล้ายคลึงกับ ‘อุบัติเหตุ’ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยพลังวิเศษบางสาย
ลูเมี่ยนคลายเกลียวฝาเล็กน้อย แสร้งทำเป็นมือลื่น จับขวดแก้วหนาๆ ไว้ไม่อยู่
เกิดเสียงแก้วกระทบพื้น ขวดน้ำหอมตกลงบนขั้นบันไดชั้นล่างสุด น้ำหอมกระฉอกออกมาบางส่วน กลิ่นหอมที่เกือบจะฉุนกระจัดกระจายไปทั่ว
ลูเมี่ยนคุกเข่าลงด้วยความ ‘เสียดาย’ พลางรีบเก็บขวดน้ำหอมขึ้นมา ปิดฝากลับไปอีกครั้ง
เด็กหนุ่มใช้มือเช็ดน้ำหอมที่หกกระฉอก แล้วป้ายลงบนเสื้อผ้าตัวเอง
ผ่านไปสักระยะ น้ำหอมส่วนใหญ่เริ่มแห้ง สายลมเย็นจากระเบียงก็ช่วยระบายกลิ่นที่เกือบฉุนให้จางลง
ลูเมี่ยนถอยกลับเข้าห้อง 207 เอนตัวพิงกับกรอบประตูที่เปิดค้างไว้ เก็บซ่อนร่างกายมิดชิด เหล่มองไปทางบันได
ผ่านไปราวๆ สิบนาที มีเสียงฝีเท้าดังมาจากขั้นบน เสียงขยับเข้าใกล้ทุกขณะ
สำหรับตอนนี้ กลิ่นน้ำหอมบนทางเดินจางลงไปมากแล้ว
ไม่นานก็มีชายสี่คนปรากฏตัวจากบันได ผู้นำกลุ่มเป็นชายสูงโปร่ง
ผมสีเหลืองตัดสั้น แต่ละเส้นตั้งชัน ตาชั้นเดียว นัยน์ตาสีฟ้า จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นเล็กๆ หย่อมหนึ่ง
ชายที่คาดว่าเป็นมาร์โกต์ สวมเสื้อเชิ้ตสีแดง เสื้อหนังสีเข้ม ระหว่างเดินลงมาก็สอดมือล้วงกระเป๋ากางเกงขายาวสีน้ำเงินกรมท่า
ตรงเอวซ้ายมีบางสิ่งพองขึ้นมา รองเท้าไม่มีเชือกผูก
ทันใดนั้น ชายคนดังกล่าวขมวดคิ้ว รีบกระโดดข้ามบันไดที่เปื้อนน้ำหอมทั้งสองขั้น รวมถึงบางส่วนของพื้นทางเดินชั้นสอง
สามคนที่ตามหลังมาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงย่ำลงบนรอยน้ำหอมเต็มๆ
ลูเมี่ยนที่แอบดูเหตุการณ์ พลันใจเต้นตึกตัก
“มาร์โกต์ไวต่อกลิ่นมาก และเกลียดการมีกลิ่นแปลกปลอมติดตัว?”
……………………………………………………..