ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 128 ในฝัน
ตอนที่ 128 ในฝัน
ดอกไม้สีเลือดบานออกจากเถาวัลย์สีดำที่ห้อยลงมาจากหลังคา ปิดล้อมชั้นสามของปราสาทไว้อย่างสมบูรณ์
กิโยม·เบเนต์ ปิแยร์·แบรี ฌิบริล·แบรี คอยรับมือการโจมตีจาก ‘หมอตำแย’ และคนอื่นๆ ระหว่างที่รีบปรี่ไปยังหอคอย
ภาพที่ปรากฏในหัวลูเมี่ยนยังมีอีกหลายฉาก
ในหอคอยที่เต็มไปด้วยเด็กๆ เท้ากรงเล็บนก กิโยม·เบเนต์ที่กำลังล่องหน อาศัยความช่วยเหลือจากคนเลี้ยงแกะ ปิแยร์·แบรี ลอบเข้าไปใช้มือขวาจับไหล่ของหมอตำแยสำเร็จ จนฝ่ายหลังร่างระเบิด ราวกับมีคนวางระเบิดไว้ในตัวเธอ
ฌิบริล·แบรีถูกสาวใช้ฆ่า แต่คืนชีพอีกครั้งในร่างอีกฝ่าย ยึดครองร่างกายของเธอ
จากมุมมองกลางอากาศ ลูอิส·ลุนด์กำลังให้กำเนิดทารกในห้องห้องหนึ่ง
ลูอิส·ลุนด์ที่ยังเดินเหินได้ตามปกติ ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ปกครองบีโอส รุกหนักจนเอาชนะคนเลี้ยงแกะ ‘คลั่ง’ ปิแยร์·แบรีได้
บนทุ่งร้างที่ทอดยาวไปถึงภูเขา หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ถูกรายล้อมด้วยวิญญาณคนตายจำนวนมากที่สวมเสื้อป่าน
ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว แสดงออกถึงความเจ็บปวด คล้ายกับว่าความทรงจำเหล่านี้เป็นดาบที่เสียดแทงเข้าไปในวิญญาณ การฝืนดึงออกจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดทวีคูณ สัญชาตญาณจึงต่อต้านมิให้นึกถึง
ไม่นาน ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป ลูเมี่ยนหายใจเหนื่อยหอบ
“เป็นอย่างบ้าง ได้อะไรบ้าง” ซูซี่ถามไถ่อย่างอ่อนโยน คล้ายกับการถามว่ามื้อเช้ากินอะไรมา
ลูเมี่ยนครุ่นคิดก่อนตอบ
“ผมเห็นฉากที่พวกหลวงพ่อต่อสู้กับลูกน้องของคุณนายปัวริส ภาพที่เห็นทั้งยุ่งเหยิงและแตกสลาย”
“บ…บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น มองดูเหตุการณ์ บางครั้งก็เหมือนกับอยู่ห่างไกล แต่สามารถสังเกตการณ์ด้วยวิธีบางอย่าง…”
เด็กหนุ่มสับสนอย่างยิ่ง เกี่ยวกับบทบาทและตำแหน่งของตัวเองในเหตุการณ์นี้
บางครั้งเขาก็ดูเหมือนเป็นหนึ่งในสองฝ่ายที่กำลังห้ำหั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย บางครั้งก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงผู้ชมไร้พรรคพวก
ซูซี่ถามด้วยน้ำเสียงชักนำ
“นอกจากเรื่องนี้ ยังมีจุดใดที่คุณยังไม่เข้าใจในสถานการณ์ดังกล่าวหรือไม่?”
ลูเมี่ยนพูดไปพลางย้อนนึก
“ผมไม่เห็นคุณนายปัวริสเลย… เห็นแค่หลวงพ่อถูกฝูงวิญญาณคนตายรุมล้อมบนทุ่งร้าง… แต่ในเหตุการณ์นั้น… ก็เหมือนจะมีเงาของคุณนายปัวริสปรากฏอย่างเลือนราง”
“พวกหลวงพ่อน่ะ แค่จะรับมือกับลูกน้องของคุณนายปัวริส อย่างลูอิส·ลุนด์ คาสซี่ บีโอส กับ ‘หมอตำแย’ ก็ดูจะเต็มกลืนแล้ว หากคุณนายปัวริสเข้าร่วมศึก ผมไม่เชื่อว่าเขาจะชนะได้…”
“ทำไมคุณนายปัวริสถึงเป็นฝ่ายยอมถอยจากหมู่บ้านกอร์ตูไปเอง? ไม่ยอมขัดขวางพวกหลวงพ่อจนถึงที่สุด…”
“มิใช่ยอมถอนตัวไปเอง แต่ถูกผลักไสออกมา” ซูซี่ช่วยแก้ไข “ในความฝันของคุณมีพิธีกรรมส่ง ‘นางฟ้าใบไม้ผลิ’ ออกไป นั่นคงเป็นสัญลักษณ์ของพิธีกรรมการขับไล่คุณนายปัวริส… ‘นางฟ้าใบไม้ผลิ’ สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ สื่อถึงการสิ้นสุดของฤดูหนาวอันแห้งแล้ง และการงอกเงยของชีวิตอันเปี่ยมล้น ซึ่งใกล้เคียงกับพลังวิเศษที่กลุ่มลูกน้องของคุณนายปัวริสแสดงให้เห็น”
“นั่นยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่…” เสียงของลูเมี่ยนค่อยๆ เจือปนความเจ็บปวด สองหมัดกำแน่น พบว่าตัวเองมิอาจระลึกถึงอดีตได้อีก
ซูซี่กล่าวอย่างอ่อนโยน
“ถ้าไม่อยากนึกถึงก็ไม่ต้องทำ ลำพังการรักษาทางจิตเวชเพียงครั้งเดียว ไม่มีทางปลุกความทรงจำออกมาได้ทั้งหมดอยู่แล้ว ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน”
ฟู่… ลูเมี่ยนบรรจงปล่อยลมหายใจออก ร่างกายมิได้ตึงเครียดเหมือนทีแรก
เมื่อเด็กหนุ่มสงบจิตใจได้ราวๆ หนึ่งนาที ซูซี่พูดต่อ
“คุณจะงีบก็ได้นะ ลองดูว่าเราจะพบข้อมูลเพิ่มเติมในความฝันบ้างไหม”
ในโสตประสาทของลูเมี่ยน เสียงของ ‘นักจิตบำบัด’ เริ่มต้นด้วยความอ่อนโยน แล้วค่อยๆ กลายเป็นเสียงอันเบาบางล่องลอย ราวกับถูกดึงออกไปไกล จนไปถึงอีกโลกหนึ่ง
เปลือกตาของเด็กหนุ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปิดลง
…………
ลูเมี่ยนเลิกเปลือกตา มองเห็นเพดานที่คุ้นเคย
เขาพลิกตัวนั่งทันที เพ่งมองเก้าอี้เอนหลัง โต๊ะไม้ริมหน้าต่าง ชั้นวางหนังสือข้างๆ และตู้เสื้อผ้าที่ติดกระจกเต็มตัว
นี่คือห้องนอนของเขา บ้านในหมู่บ้านกอร์ตู
ลูเมี่ยนนั่งเหม่ออยู่สักพัก ก่อนจะรีบลุกจากเตียง เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้อง
เด็กหนุ่มผลักเปิดประตูห้องนอนโอลัวร์ เห็นต้นฉบับวางอยู่บนโต๊ะทำงาน เห็นกระดาษ ปากกา ขมวดหมึก วางอยู่ในตำแหน่งเดียวกับความทรงจำ เห็นเก้าอี้ที่วางหมอนอิง แต่ยามนี้ว่างเปล่าไม่มีใครนั่ง
สายตาของลูเมี่ยนเลื่อนไปหาเตียงนอนที่ไม่มีคน แล้วบรรจงถอนกลับอย่างเชื่องช้า
เด็กหนุ่มปิดประตูห้องอย่างเบามือ แล้วหันไปยังห้องข้างๆ
ในห้องอ่านหนังสือยังคงไม่มีร่างที่ตนคุ้นเคย
ลูเมี่ยนเริ่มวิ่ง ย่ำเท้าลงบันไดเสียงดัง
วิ่งอย่างบ้าคลั่งผ่านหมู่บ้านกอร์ตู จนไปถึงประตูโบสถ์สุริยันเจิดจรัส
ตลอดทาง เขาไม่พบชาวบ้านคนใดเลย ทุกหลังคาเรือนเงียบสงบจนเหมือนกับว่างเปล่า
เงยหน้ามองหลังคาโดมรูปทรงคล้ายหัวหอม ลูเมี่ยนเดินเข้าไปในโบสถ์ด้วยย่างก้าวใหญ่ๆ
แท่นบูชาถูกดัดแปลงใหม่ ประดับด้วยดอกทิวลิปและกานพลู แกะสลักสัญลักษณ์หนามสีดำที่คล้ายกับมีของเหลวไหลผ่านบนพื้นผิว
ในโบสถ์ก็ไม่มีใครเลยเช่นกัน
ลูเมี่ยนลองรื้อค้นห้องของหลวงพ่อ ลองเดินกลับไปยังห้องใต้ดินนั่นอีกครั้ง
รอบห้องใต้ดินมีกองกระดูกสีขาว มีหนังแกะ ตรงกับสภาพแวดล้อมในฝันแทบทุกจุด เพียงแต่แท่นบูชากึ่งกลางไม่ได้รับความเสียหาย
ลูเมี่ยนลองยืนยันจนมั่นใจ ก็พบว่าหน้าอกมิได้ร้อนรุ่ม
หลังจากที่เด็กหนุ่มตระหนักว่าตนกำลังฝัน พลังอำนาจในขอบเขต ‘อดีต’ ‘ปัจจุบัน’ และ ‘อนาคต’ ดูเหมือนจะหายไปด้วย
ลูเมี่ยนที่ไม่พบข้อมูลใหม่เลย ยืนอยู่ข้างแท่นบูชาใต้ดิน ครุ่นคิดไปสักพัก ก็วิ่งกลับขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง แล้วออกจากประตูฝั่งด้านข้าง เดินไปยังสุสานติดกับโบสถ์
อาศัยความทรงจำจากฝันครั้งก่อน ไม่นานเขาก็เจอหลุมศพที่นกฮูกบินเข้าไป จึงก้มตัวลง ดันแผ่นหินที่ปิดทางเข้าออก
โดยไม่ลังเล ลูเมี่ยนเดินลงไปทีละขั้น ผ่านทางเดิน จนกระทั่งเห็นโลงศพสีดำวางอยู่ในห้องเก็บศพอันมืดมิด
ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ แล้วเดินตรงไปยังโลงศพสีดำนั่น
ฝาโลงเลื่อนลงมาอยู่ข้างๆ ก่อนแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดคอยปกปิดสภาพภายในโลง
นึกถึงความฝันที่โอลัวร์เกือบคลุ้มคลั่งเพราะแอบมองศพจอมเวท ลูเมี่ยนลังเลอยู่ชั่วขณะ
แต่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มก้าวไปข้างหน้าด้วยแววตาเคร่งขรึม เข้าใกล้โลงศพสีดำ และก้มมองสิ่งที่อยู่ภายใน
กระจกตาของเขาสะท้อนภาพศพในโลง
ศพดังกล่าวมีผมสีบลอนด์ยาว สยายเกลี่ยทั้งสองข้าง ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าค่อนข้างซีด สวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินที่ดูเบาสบาย
โอลัวร์!
ในโลงของจอมเวทที่ตายไป คือโอลัวร์ที่กำลังนอนอยู่!
ดวงตาลูเมี่ยนเบิกกว้างทันที ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูน่ากลัว
ฉากตรงหน้าค่อยๆ แตกสลายทีละนิด
…………
ลูเมี่ยนรีบเลิกเปลือกตา มองตรงไปข้างหน้าด้วยอารมณ์ซับซ้อน
“เห็นอะไรบ้างไหม” เสียงของซูซี่ดังอยู่ในโสตประสาท
ลูเมี่ยนตอบกลับด้วยเสียงล่องลอย
“ผมเห็นโอลัวร์นอนอยู่ในโลงของจอมเวทที่ตายไปแล้ว…”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้…”
ซูซี่กล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“นั่นคงจะเป็นเพียงสัญลักษณ์เสียมากกว่า”
“คุณลองคิดตามดูนะ ในความเป็นจริงไม่มีตำนานจอมเวท แต่ในฝัน เรื่องราวที่จิตใต้สำนึกของคุณสร้างขึ้นมานั้น ได้กำหนดให้บ้านของจอมเวท คือหลังเดียวกับที่คุณกับโอลัวร์อาศัยอยู่ โดยแม้แต่โอลัวร์ก็ไม่ทราบเรื่องนี้ ไม่เคยได้ยินตำนานนั่นด้วยซ้ำ…”
“หมายความว่า… ตำนานจอมเวทที่ตายไป สื่อถึงตัวโอลัวร์เอง? แล้วนกฮูกนั่นคือสัญลักษณ์ของอะไร เรื่องราวในตำนานคือสัญลักษณ์ของอะไร?” คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวลูเมี่ยน แต่ละคำถามเปรียบดังใบมีดที่คอยกรีดเฉือนความคิด
ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะยกสองมือขึ้น กุมลงบนศีรษะตัวเอง
“สำหรับคำถามเหล่านี้ เกรงว่าต้องรอให้คุณกู้คืนความทรงจำเพิ่มเติมเพื่อทำการวิเคราะห์… เหนือสิ่งอื่นใด ในบางกรณี สัญลักษณ์ก็มิได้มีเพียงหนึ่งชั้น แต่จะผสมผสานกันอยู่” ซูซี่พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “การรักษาของวันนี้จบลงแล้ว จิตใต้สำนึกของคุณแสดงออกถึงการต่อต้านอย่างชัดเจน หากยังฝืนดำเนินต่อไป อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม จนเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจของคุณ… อยากรับการรักษาอีกครั้งในอีกสองสัปดาห์ให้หลัง หรือหนึ่งเดือนให้หลัง?”
ลูเมี่ยนแทบไม่ต้องคิด
“สองสัปดาห์ให้หลัง”
ซูซี่เงียบไปสักพัก แล้วจึงพูด
“สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะเตือนคุณว่า ตอนนี้คุณมีแนวโน้มที่จะทำลายตัวเองอย่างมาก”
“ทำลายตัวเอง…” ลูเมี่ยนทวนคำซ้ำเสียงแผ่ว สีหน้ามิได้แปรเปลี่ยน
น้ำเสียงของซูซี่กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง ช่วยปลอบประโลมจิตใจของลูเมี่ยน
“ฉันเข้าใจดี ถึงเหตุผลที่คุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบัน และไม่มีเจตนาจะฝืนทำให้มันหายไป… เว้นแต่ว่าคุณจะยินยอมให้ฉันลบทุกความทรงจำที่เป็นรากเหง้าของปัญหา ไม่อย่างนั้นการรักษาหลังจากนี้จะเป็นเพียงการบรรเทา มิใช่การกำจัดทิ้งไป…”
“ฉันแค่อยากเตือนคุณว่า สิ่งที่ฉันเห็นในความทรงจำของคุณ โอลัวร์เป็นผู้หญิงที่รักชีวิต รักการใช้ชีวิต”
“เธอยังมีความปรารถนาอีกมากที่ยังไม่ได้ทำ เธออยากเห็นคุณเข้าเรียนมหาวิทยาลัย อยากมาเที่ยวกรุงทรีอาร์สักระยะในฐานะคนธรรมดา อยากตามหาเบาะแสของบ้านเกิด อยากสะสางปัญหาเรื่องพ่อแม่ให้เรียบร้อย อยากลิ้มลองอาหารทุกชนิดในทรีอาร์ อยากฟังทุกคอนเสิร์ต อยากดูทุกนิทรรศการงานศิลป์”
“เธออยู่ห่างจาก ‘ความตายอย่างแท้จริง’ เพียงก้าวเดียวเท่านั้น หากโอลัวร์ยังมีสติ ฉันเชื่อว่าเธอจะไม่ยอมแพ้แน่นอน… ตอนนี้โอลัวร์ก็เหมือนกับคนที่ตกลงไปในหุบเหวลึก แต่ยังเกาะริมขอบผาไว้ได้ด้วยมือเพียงหนึ่งข้าง ถ้าแม้แต่คุณยังยอมแพ้ ก็คงไม่มีใครดึงเธอขึ้นมาได้อีกแล้ว”
สีหน้าแววตาของลูเมี่ยนเริ่มแปรเปลี่ยน แต่ก็ไม่ปรากฏอารมณ์ใดเป็นพิเศษ
ราวกับเขาลืมวิธีหัวเราะ ลืมวิธีร้องไห้ไปแล้ว
ซูซี่ไม่คาดคั้นเอาคำตอบจากเด็กหนุ่ม เพียงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกล่าวต่อ
“หลายครั้งหลายครา การกดอารมณ์ที่เจ็บปวดสิ้นหวังเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะมนุษย์เราต้องการการปลดปล่อย ต้องการการผ่อนคลาย”
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เวลาเดิม เราจะพบกันที่เดิมเพื่อดำเนินการรักษาครั้งที่สอง”
ลูเมี่ยนหลับตาลง
“ขอบคุณมากครับ มาดามซูซี่”
ซูซี่ไม่ตอบ ราวกับจากไปแล้ว
ผ่านไปสักสิบวินาที ลูเมี่ยนจึงค่อยๆ หายใจออกแล้วลืมตา
เด็กหนุ่มมองไปที่ประตูร้านกาแฟเมสันโดยไม่ได้คิดอะไร แลเห็นสุนัขตัวใหญ่ขนสีทอง สะพายกระเป๋าสีน้ำตาลใบเล็กไว้บนหลัง เดินลับสายตาไปตรงมุมถนนไกลๆ
คล้ายกับว่าข้างๆ สุนัขตัวนั้นยังมีร่างของหญิงสาวอยู่ด้วย
ลูเมี่ยนนั่งแช่อีกราวๆ สิบนาที ดื่มน้ำมะนาวอำพันวาฬที่เหลือจนหมด แล้วเดินออกจากร้านกาแฟเมสัน มาถึงป้ายรถม้าสาธารณะใกล้ๆ
รอไม่นาน รถม้าสองชั้นที่ทาสีเขียวก็แล่นมาจอดให้ผู้โดยสารทยอยขึ้น
ลูเมี่ยนจ่ายไปสามสิบโกเปต์ เลือกที่นั่งริมหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกโดยไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ
“หนังสือพิมพ์จ้า! หนังสือพิมพ์! หนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุด สิบเอ็ดโกเปต์ต่อฉบับ!” เด็กที่สวมเสื้อผ้าเก่าโทรมเดินเข้ามาใกล้หน้าต่างรถม้า ชูกองหนังสือพิมพ์ในมือขึ้น
ทำลายตัวเอง… มีชีวิตอยู่… ทำลายตัวเอง… มีชีวิตอยู่… ห้วงความคิดลูเมี่ยนเต็มไปด้วยคำพูดของนักจิตบำบัด คล้ายกับซอมบี้ที่เตร็ดเตร่ไปมา มิได้สนใจเด็กขายหนังสือพิมพ์เลย
แต่แล้ว เขาสังเกตเห็นว่าหนังสือพิมพ์ที่อีกฝ่ายเร่ขาย คือ ‘บันเทิงคดีรายสัปดาห์’
จริงสิ วันนี้เป็นวันอาทิตย์นี่นะ… ลูเมี่ยนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะหยิบเหรียญทองแดงห้าโกเปต์สองเหรียญ เหรียญทองแดงหนึ่งโกเปต์หนึ่งเหรียญ เปิดหน้าต่างรถม้า แล้วยื่นเงินให้เด็กขายหนังสือพิมพ์
หลังจากได้รับ ‘บันเทิงคดีรายสัปดาห์’ ลูเมี่ยนรีบกางออก อ่านโดยอาศัยแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป เด็กหนุ่มเห็นข่าวหนึ่งสะท้อนอยู่บนกระจกตา
“อำลาอาลัย:”
“หลังจากได้รับการยืนยันโดยแผนกบรรณาธิการของเรา สหายที่พวกเราจะจดจำไปตลอดกาล นักเขียนมือทองคนดังของเรา โอลัวร์·ลี ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับในอุบัติเหตุเมื่อเดือนเมษายน…”
ลูเมี่ยนอ่านด้วยสายตาแข็งทื่อ สองมือเริ่มสั่นเทา
เด็กหนุ่มก้มหน้าลง ยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาบังศีรษะ
ใต้แสงแดดยามบ่าย ผิวกระดาษหนังสือพิมพ์เริ่มปรากฏร่องรอยเปียกชื้น
รอยเปียกเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว
……………………………………………………..