ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 126 มองหาเหยื่อ
ตอนที่ 126 มองหาเหยื่อ
ลูเมี่ยนรีบกวาดตาอ่านจดหมายจากมาดามเมจิกเชี่ยน แล้วสรุปข้อควรจำสำคัญๆ เอาไว้
ชัดเจนว่า วิธีแรกกับวิธีที่สามที่อีกฝ่ายเสนอ เป็นเพียงการล้อเล่น ใช้ได้จริงแค่วิธีที่สอง นั่นคือการพึ่งพาปรอทเสื่อมทรามเพื่อแลกเปลี่ยนชะตากรรม ‘การพบเจอวิญญาณมงต์ซูรี’ ออกไปจากตัว
ด้วยความสัตย์จริง ก่อนหน้านี้ลูเมี่ยนไม่เคยคิดเรื่องการนำปรอทเสื่อมทรามมาแทงตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรม จนกระทั่งถูกวิญญาณมงต์ซูรีจู่โจม จนเข้าสู่ขอบผาแห่งความตาย เด็กหนุ่มจึงได้ค้นพบทางรอดเดียวที่เหลือท่ามกลางห้วงความคิดอันว้าวุ่น
ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ไม่มากพอให้เลือกเฟ้นอย่างละเอียด ลูเมี่ยนจึงรีบแลกเปลี่ยน ‘ชะตากรรมที่ถูกวิญญาณมงต์ซูรีจู่โจม’ มิใช่ ‘ชะตากรรมที่ได้พบกับวิญญาณมงต์ซูรี’ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เด็กหนุ่มยังไม่หลุดพ้นจากเงามืดแห่งความตาย แค่รอดพ้นจากวิกฤติแรกเท่านั้น
อย่างไรก็ดี แม้จะมีเวลามากพอให้เขาไตร่ตรองและคิดอย่างรอบคอบ ลูเมี่ยนก็คงจะเลือก ‘ชะตากรรมที่ถูกวิญญาณมงต์ซูรีจู่โจม’ เช่นเดิม มิใช่ ‘ชะตากรรมที่ได้พบกับวิญญาณมงต์ซูรี’ เพราะการโจมตีกำลังเกิดขึ้นจริง และไม่มีสิ่งใดรับประกันว่ามันจะหยุดเมื่อ ‘ชะตากรรมที่ได้พบกับวิญญาณมงต์ซูรี’ ถูกแลกเปลี่ยนออกไป ในสถานการณ์ดังกล่าว เด็กหนุ่มจึงเลือกปกป้องตัวเองด้วยวิธีที่แน่นอนไว้ก่อน
มันจะไปมีประโยชน์อะไรถ้าวิญญาณมงต์ซูรีลงมือฆ่าเราก่อน จึงค่อยนึกได้ทีหลังว่าไม่เคยพบเจอกัน? ถึงตอนนั้นก็ฆ่าผิดตัวไปแล้ว!
“อา… ต้องรีบหาเหยื่อ เพื่อใช้ปรอทเสื่อมทรามที่เก็บ ‘ชะตากรรมที่ถูกวิญญาณมงต์ซูรีจู่โจม’ ไปแลกกับชะตากรรมดีของเหยื่อ หลังจากนั้น เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม รักษาสภาพจิตใจให้สมบูรณ์มั่นคง แล้วใช้มีดแทงตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนชะตากรรมที่ดีกว่ากับ ‘ชะตากรรมที่ได้พบกับวิญญาณมงต์ซูรี’ และฝากมันไว้ในปรอทเสื่อมทราม…” ลูเมี่ยนรีบคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาตรงหน้า โดยผนวกประสบการณ์ส่วนตัวเข้ากับคำเตือนจากมาดามเมจิกเชี่ยน
เมื่อถึงตอนนั้น ปรอทเสื่อมทรามจะมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘มีดคำสาป’ โดยผู้ที่ถูกมันแทง จะต้องรับชะตากรรม ‘ตายทั้งโคตร รวมถึงตัวเอง’
ข้อเสียก็คือ ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเกิดผลลัพธ์
ลูเมี่ยนดึงปรอทเสื่อมทรามออกจากเอว มองส่วนคมที่ถูกห่อด้วยผ้าสีดำหลายชั้น พลางตระหนักถึงประโยชน์ของอาวุธวิเศษชิ้นนี้ได้มากกว่าครั้งไหนๆ
เด็กหนุ่มเริ่มคิดอย่างจริงจัง ถึงความเป็นไปได้ที่จะหาผู้เชี่ยวชาญมาซ่อมแซมปรอทเสื่อมทราม ไม่เช่นนั้นมีดวิเศษอาจมีอายุขัยถึงแค่สิ้นปี
ในแง่นี้ งานชุมนุมศาสตร์เร้นลับของมิสเตอร์ K อาจตอบโจทย์
“เหมือนที่เดาไว้ไม่ผิด มาดามเมจิกเชี่ยนให้เราติดต่อกับออสตา·ทรูเอลเพื่อเป็นทางผ่านไปเข้าร่วมชุมนุมของมิสเตอร์ K เพื่อไปเข้าร่วมองค์กรลับเบื้องหลังมิสเตอร์ K อีกที…” ลูเมี่ยนสวมแจ็กเกตสีดำสุภาพ หมวกกลมปีกกว้าง ออกจากห้อง 207 แล้วเดินลงบันได
ในฐานะนักล่า ถึงเวลาที่เขาต้องมองหาเหยื่อแล้ว
พอเดินพ้นประตูใหญ่ของโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนก็เห็นชาร์ลีนั่งอยู่บนบันไดหินสามชั้นที่ลาดไปสู่ถนน ใบหน้าดูซีดเซียว แหงนมองท้องฟ้าด้วยแววตาทึมทึบ มือขวาหนีบบุหรี่สีขาวที่ไฟยังติดอยู่
“เกิดอะไรขึ้น” เด็กหนุ่มเดินไปนั่งข้างชาร์ลี ไถ่ถามอย่างเป็นกันเอง
ชาร์ลีมิได้หันมองตอบ เพียงอัดบุหรี่หนึ่งลม แล้วจึงถอนหายใจพูด
“ฉันรู้สึกเหมือน… วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว ทุกอย่างกำลังจมดิ่ง”
ชาร์ล แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีแดง ข้อพับแขนซ้ายเหน็บเสื้อสูทสีดำ สื่อเป็นนัยว่ากลับมาทั้งเครื่องแบบของโรงแรม
ลูเมี่ยนยิ้มอ่อน พลางถามเจาะเข้าประเด็น
“‘ทำ’ กับคุณป้าไปแล้วสินะ?”
ชาร์ลีรีบหันขวับมามอง แล้วเน้นย้ำด้วยสีหน้าขึงขัง
“ช่วยเรียกเธอว่าคุณนายด้วย… เพิ่งจะแค่ห้าสิบกว่าเท่านั้น”
เขาอัดบุหรี่อีกหนึ่งลม พ่นวงควันออกมา
“นายรู้อะไรไหม… เธอให้สร้อยคอเพชรกับฉันด้วย มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,500 เฟลคิน ฉันต้านทานไม่ไหวจริงๆ เธอทั้งเปล่งประกาย น่าหลงใหลอย่างยิ่ง รุกหนักเข้ามาในใจฉันได้ทันที”
“มัน” ลูเมี่ยนช่วยแก้คำ
ชาร์ลียิ้มเขินๆ
“คุณนายอลิซก็น่าหลงใหลไม่แพ้กัน ไม่ง่ายเลยที่จะรักษาเสน่ห์ระดับนี้ไว้ได้ในวัยของเธอ… คุณนายบอกว่าจะอยู่ทรีอาร์อีกครึ่งปี จะจ่ายให้ฉันเดือนละห้าร้อยเฟลคิน…”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของชาร์ลีเริ่มทุ้มต่ำ แววตาเจือความเศร้าหมองอีกครั้ง
ขณะลูเมี่ยนคิดว่าอีกฝ่ายจะรำพึงรำพันทำนอง ‘วิญญาณหลุดออกจากร่าง’ ชาร์ลีถอนหายใจเฮือกยาวแล้วกล่าว
“ทำไมเธอถึงอยู่ได้อีกแค่ครึ่งปีกันนะ…”
ลูเมี่ยนยื่นฝ่ามือซ้ายออกไป ตบไหล่ชาร์ลีแผ่วเบา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อย่าหักโหมเกินไปนักล่ะ”
เปลือกตาชาร์ลีกระตุกทันที ก่อนจะรีบแก้ต่าง
“ปกติฉันจะยับยั้งชั่งใจมากกว่านี้นะ แต่คุณนายอลิซร้อนแรงเกินต้านทานจริงๆ … เมื่อคืนฉันเหนื่อยจนไม่ฝันเห็นสิ่งที่ดีงามเลย”
ลูเมี่ยนหันไปพูดยิ้มๆ
“ทำไมถึงกล้าเล่าเรื่องสร้อยคอมูลค่า 1,500 เฟลคินให้ฉันฟังตรงๆ ล่ะ? ในย่านถนนอลเวงนี้น่ะ มันคือสมบัติที่ทำให้ใครต่อใครสูญสิ้นเหตุผลมานักต่อนัก ไม่กลัวว่าฉันจะชิงไปบ้างหรือ?”
ชาร์ลีหัวเราะเบาๆ ขณะตอบ
“ฉันอยากระบายให้ใครสักคนฟัง ไม่อย่างนั้นข้างในจะอึดอัดเกินไป…”
“เท่าที่ฉันเห็น นายไม่ได้ขัดสนเงินทอง เรียกได้ว่าใจกว้างเลยแหละ ไม่มีทางก่ออาชญากรรมเพียงเพราะเงินพันสองพันเฟลคินแน่”
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ฉันเพียงแสร้งทำเป็นร่ำรวย เพื่อหลอกล่อให้คนอย่างนายลดความระมัดระวัง”
ใบหน้าชาร์ลีแข็งกระด้างทันที เหม่อลอยจนเกือบจะถูกบุหรี่ไหม้ซอกนิ้ว
ลูเมี่ยนไม่สานต่อเรื่องเดิม เปลี่ยนไปถามอย่างเป็นกันเอง
“มีคนที่นายเกลียดมากๆ จนคิดว่า ‘ไอ้เวรนี่สมควรตาย’ บ้างไหม…”
ชาร์ลีกดก้นบุหรี่ลงบนขั้นบันได ถามกลับด้วยความฉงน
“นายจะอยากรู้ไปทำไม?”
ทีแรกเขาตั้งใจจะเก็บก้นบุหรี่ที่ดับแล้วเข้ากระเป๋าเสื้อ แต่หลังจากคิดไปคิดมา ชาร์ลีเงื้อแขนแล้วขว้างก้นบุหรี่ออกไป
คนไร้บ้านที่อยู่ใกล้ๆ เห็นดังนั้นก็รีบตะครุบเก็บทันที ดื่มด่ำกับบุหรี่ด้วยความร้อนที่ยังหลงเหลือ
ไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบ ชาร์ลีเล่าขึ้นมาเอง
“ตอนนี้คนที่ฉันเกลียดที่สุดคือหัวหน้าเด็กเสิร์ฟนี่แหละ นายไม่รู้หรอกว่าหมอนั่นน่ารำคาญแค่ไหน หึหึ… แต่ฉันยังไม่อยากให้เขาตายหรอกนะ แค่หวังว่าสักวันจะมีโอกาสได้ปิดหน้าแล้วสาวหมัดเน้นๆ สักเปรี้ยง”
“ฉันคิดว่าคนที่สมควรตายจริงๆ มีไม่เยอะนักหรอก… หนึ่งในนั้นคือบารอนบรินิแยร์ หัวหน้าหน่วยของแก๊งซาฟาห์ในเขตตลาด หมอนั่นรวมหัวกับพวกพ่อค้าเงินกู้ดอกเบี้ยสูง ทำให้คนล้มละลายไปนักต่อนักแล้ว… เคยมีคนรู้จักของฉันถูกบีบคั้นจนตัดสินใจกระโดดตึกตาย แต่รู้อะไรไหม… มันไม่มีประโยชน์เลย หลังจากนั้นลูกชายของเขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ลูกสาวถูกพาตัวไปที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย บอกว่าไปทำงานร้องเพลง แต่ความจริงแล้ว… หึหึ…”
“นั่นสินะ ถ้ามีความกล้าที่จะฆ่าตัวตาย ทำไมถึงไม่คิดหาวิธีฆ่าคนอย่างบารอนบรินิแยร์แทน?” ลูเมี่ยนพยักหน้ารับเบาๆ
ชาร์ลีหันขวับมามองลูเมี่ยนด้วยใบหน้าระคนความตกใจ
“ความคิดของนายมันออกจะ… รุนแรงไปหน่อยนะ”
ตามด้วยกล่าว
“อีกหนึ่งไอ้ระยำที่ควรตายก็คือมาร์โกต์ หัวหน้าหน่วยของแก๊งหนามพิษ ชอบส่งคนไปล่อลวงผู้หญิงที่เพิ่งมาถึงกรุงทรีอาร์ ปอกลอกจนพวกเธอสิ้นเนื้อประดาตัว แล้วบังคับให้ไปยืนขายตัวริมถนน คุณอีแซงซ์ที่อยู่ห้องหมายเลขแปดบนชั้นสี่ก็เหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องมาจมปลักอยู่โรงแรมระกาทอง เงินส่วนใหญ่ที่หามาได้ก็ถูกมาร์โกต์รีดไถไปหมด เธอพยายามหนีหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพ้นจากถนนอลเวง ถูกทำร้ายจนปางตาย”
เขตตลาดมีหลายแก๊งนี่เอง ตอนกลางคืนถึงได้วุ่นวายนัก… ลูเมี่ยนชำเลืองมองชาร์ลีพลางกล่าว
“จากเท่าที่ฟัง ดูนายจะเห็นใจคุณอีแซงซ์นะ”
ชาร์ลียืดอกตอบ
“สุภาพบุรุษอินทิสขนานแท้ต้องเห็นใจในความทุกข์ยากของสตรี และยินดีให้ความช่วยเหลือเมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม”
ลูเมี่ยน ‘อืม’ หนึ่งคำ
“…พอจะรู้ไหมว่ามาร์โกต์อาศัยอยู่แถวไหน”
“ไม่รู้สิ” ชาร์ลีส่ายหน้า “แต่ช่วงเย็นๆ มันมักจะมาที่โรงแรมเพื่อไถเงินคุณอีแซงซ์ ถ้านายได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ ร้องโหยหวน หรือคำสบถด่าจากชั้นสี่ ให้เดาไว้เลยว่ามาร์โกต์มาพร้อมกับลิ่วล้อ”
ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ ด้วยท่าทีครุ่นคิด แล้วจึงถาม
“ยังมีใครอีกไหมที่นายคิดว่าสมควรตาย?”
“โมไนต์… ไอ้ชาวหมู่เกาะนั่น มันหลอกเอาเงินฉันไปสิบเฟลคิน!”
“เชื่อเขาเลย ช่วงนั้นฉันตกงานมาพักใหญ่ๆ แล้ว ยังไม่ใกล้เคียงจะหางานใหม่ได้… นั่นคือเงินเก็บก้อนสุดท้ายเชียวนะ! อีกนิดเดียวก็จะท้องหิวตายอยู่แล้ว!”
“หมอนั่นพักอยู่ที่ไหน” ลูเมี่ยนถามผ่านๆ
“เคยอยู่ที่โรงแรมเรานั่นแหละ พอหลอกเงินฉันได้ก็ย้ายออกเลย ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว” ชาร์ลีเล่าด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ฉันรอให้เขาช่วยแนะนำงานดีๆ มาตลอด…”
หลังจากเริ่มสงบสติ ชาร์ลีขมวดคิ้วมองหน้าลูเมี่ยน
“ทำไมผมของนายเปลี่ยนสีล่ะ?”
บ้างก็ยาวบ้างก็สั้น สีทองผสมดำ
“ช่วงนี้เขากำลังนิยมกัน ดูไม่ออกหรือ?” ลูเมี่ยนย้อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง
ชาร์ลี ‘อืม’ หนึ่งคำ หน้าตาดูเคลือบแคลงอยู่บ้าง
เหตุการณ์ ‘เครื่องวัดความโง่’ ทำให้เขาระแวงว่า ลูเมี่ยนอาจแกล้งอำในลักษณะคล้ายๆ เดิม
ผ่านไปสักพัก ชาร์ลีเหลือบมองพ่อค้าแผงลอยริมถนน แล้วโบกมือพร้อมกับกล่าว
“ฉันต้องกลับโรงแรมแล้ว ไว้เจอกันคืนนี้”
ลูเมี่ยนไม่ได้ลุกขึ้นยืน ยังคงนั่งต่อไปบนบันไดหินด้านโรงแรม โบกมือไล่หลังชาร์ลีที่รีบร้อนจากไป
…………
ในตอนบ่าย ลูเมี่ยนโดยสารรถม้าสาธารณะมาถึงเขตสวนพฤกษศาสตร์ เดินอีกราวๆ สามร้อยเมตรจนถึงร้านกาแฟเมสัน
ร้านกาแฟตั้งอยู่ใกล้กับสวนพฤกษศาสตร์ อยู่ชั้นล่างสุดของอาคารสีขาวครีม
ผนังร้านด้านนอกปกคลุมด้วยพืชพรรณสีเขียว ตัวร้านค้ามิได้ชิดถนนเสียทีเดียว แต่ร่นเข้าไปด้านในประมาณหนึ่งเมตร ไว้วางต้นเสาค้ำยันและให้ผู้คนสัญจรผ่านไปมา
ผนังด้านนอกร้านถูกทาด้วยสีเขียวเข้ม หน้าต่างหลายบานเปิดอยู่ แสงแดดส่องผ่านกระจกเข้าไป สาดลงบนโต๊ะและเก้าอี้ที่วางเรียงรายไปจนถึงหน้าประตู
ลูเมี่ยน แต่งกายในชุดสุภาพสีเข้ม สวมหมวกกลมปีกกว้าง เดินเข้าไปในร้านกาแฟ
สิ่งแรกที่สะดุดตาคือรูปปั้นเชิงศิลป์ของพืชพรรณนานาชนิดบนผนัง รวมถึงข้อความภาษาอินทิสที่แปะไว้อย่างกระจัดกระจาย
“อำนาจสูงสุดของประเทศอยู่ในมือใคร? ประธานาธิบดี หรือสภา?”
“ร้านกาแฟ!”
“คดีที่ถูกยื่นฎีกาต้องพิจารณาโดยใคร? ศาลฎีกา?”
“ร้านกาแฟ!”
“ใครคือผู้มีอำนาจในวงการวรรณกรรม? วิทยาลัยวรรณกรรมอินทิส หรือหนังสือพิมพ์ ‘เดบาต์’ ?”
“ไม่ใช่ เป็นร้านกาแฟ! ยังคงเป็นร้านกาแฟ!” (หมายเหตุ 1)
หมายเหตุ 1: ดัดแปลงจากบทนำของ “ประวัติศาสตร์ร้านกาแฟกรุงปารีส” ซึ่งอ้างอิงจากเอกสารต้นฉบับในยุคต้นศตวรรษที่ 20 ข้อความต้นฉบับยาวเกินไปจึงถูกย่อให้สั้นลง
……………………………………………………..