ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 122 ต่างฝ่ายต่างมีแผน
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 122 ต่างฝ่ายต่างมีแผน
ตอนที่ 122 ต่างฝ่ายต่างมีแผน
บารอนบรินิแยร์ไม่ได้ตอบคำถามลูเมี่ยนทันที เพียงวางกล้องยาสูบไม้ท้อลง จิบกาแฟอย่างสบายใจ
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาจึงพูดยิ้มๆ
“ฉันไม่ใช่คนของทางการ ไม่มีหน้าที่ต้องช่วยพวกเขาจับผู้ต้องหา”
“ถ้าต้องคอยส่งคนในใบประกาศจับให้ทางการทุกคน แก๊งซาฟาห์ของเราคงต้องสูญเสียบุคลากรมากพรสวรรค์ไปไม่น้อย”
“ประเด็นสำคัญก็คือ ค่าหัวของคุณไม่มากเท่าไร ยังดึงดูดใจผมไม่ได้… แต่แน่นอน ถ้าเกิดว่าคุณทำไม่ดีกับพวกเราในเขตตลาด ผมก็ไม่ถือสาที่จะจับคุณมัด แล้วให้ใครสักคนพาไปส่งสถานีตำรวจเพื่อแลกกับเงินรางวัลที่พอจะจับต้องได้”
ความหมายแฝงของเขาก็คือ: แก๊งซาฟาห์ก็มีผู้ต้องหาบนหมายจับอยู่ไม่น้อย ตราบใดที่คุณเชื่อฟัง ผมก็จะทำเป็นมองไม่เห็น
“คุณให้คนสะกดรอยตามผม เพื่อดูว่าผมจะทำอะไรสินะ…” ลูเมี่ยน ‘กระจ่าง’
บารอนบรินิแยร์พยักหน้ารับด้วยความชื่นชม
“ผมดีใจนะที่คุณเข้าใจ”
ลูเมี่ยนมองกวาดไปตามใบหน้าของกลุ่มลูกน้อง แล้วจึงกล่าว
“ในเมื่อคุณเห็นหมายจับของผม ก็ต้องเห็นหมายจับใบอื่นๆ เช่นกัน…”
“ผมมาทรีอาร์ด้วยจุดประสงค์เดียว นั่นคือการตามหาพวกเขาให้พบ”
“ดีมาก” บารอนบรินิแยร์เข้าใจเป็นอย่างดี ที่ลูเมี่ยนพูดเช่นนี้ก็เพื่อแสดงเจตจำนงว่าไม่ต้องการขัดแย้งกับแก๊ง
เขาชี้ไปบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่นั่ง
“รับกาแฟสักหน่อยไหม”
“ไม่จำเป็น” ลูเมี่ยนปฏิเสธคำเชื้อเชิญ “ผมก็แค่อยากจะหาคนพวกนั้นให้เจอโดยเร็ว”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็กางแขนออก
“สุริยันจงเจริญ… ขอให้พวกเราได้อาศัยอยู่ท่ามกลางแสง!”
เมื่อสิ้นเสียง ลูเมี่ยนหันกายเดินไปทางบันได มิได้ใส่ใจว่าแผ่นหลังของตนกำลังเปิดช่องว่างให้กับปากกระบอกปืนลับๆ ของพวกลูกน้อง
พอเสียงฝีก้าวเลือนหายไปจากบันได บารอนบรินิแยร์หันไปมองมิซิลีที่ยังคงทำหน้าเครียด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เล่าให้ฉันฟังหน่อย นายถูกเขาพบได้อย่างไร ถูกข่มขู่ด้วยวิธีไหน เล่ามาทุกรายละเอียด ห้ามละเลยแม้แต่เรื่องเดียว”
ออกคำสั่งเสร็จ บารอนบรินิแยร์สอดกล้องยาสูบใส่ปาก เอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วหลับตาลงฟัง
ด้วยน้ำเสียงเจือความผวา มิซิลีเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไล่จากต้นจนจบ
ได้ฟังคำบรรยายของเขา หนึ่งในลูกน้องที่ไม่สบอารมณ์พูดขึ้น
“บารอน คุณน่าจะสั่งสอนไอ้เด็กนั่นเสียบ้าง ทำไมถึงปล่อยให้มันเดินออกไปง่ายๆ แบบนี้!”
บารอนบรินิแยร์ใช้กล้องยาสูบสีไม้ท้อเคาะโต๊ะเบาๆ สองหน แล้วตอบยิ้มๆ
“สั่งสอนเขา?”
“นายรู้หรือว่าเขาอยู่ลำดับใด มีพลังแบบไหน และมีอาวุธอะไร?”
“ไม่ทราบครับ” ลูกน้องตอบเถรตรง
บารอนบรินิแยร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าด มือขวาจับกล้องยาสูบสีไม้ท้อ ฟาดเข้าที่ศีรษะของลูกน้องอย่างแรง
ท่ามกลางเสียง ‘ผัวะ’ หน้าผากของลูกน้องแตกเป็นแผลเล็ก เลือดแดงสดไหลซึม แต่ก็ไม่กล้าแหกปากหรือวิ่งหนี เพียงยืนนิ่งอย่างหวาดกลัวปนตกใจ
บารอนบรินิแยร์ดึงกล้องยาสูบกลับ มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา
“นายไม่รู้อะไรเลย แต่คิดจะสั่งสอนเขา?”
“ลองมานั่งในตำแหน่งของฉันดูไหม? อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้สักกี่วัน!”
ไม่รอให้ลูกน้องตอบ บารอนบรินิแยร์ยิ้มออกมาอีกครั้ง
หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวจากกระเป๋าหน้าอกเสื้อ ขณะเช็ดกล้องยาสูบก็พลางพูดอย่างเป็นกันเอง
“ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติจากใบประกาศจับของลูเมี่ยน·ลีบ้างหรือ…”
“รางวัลในการจับส่ง กับรางวัลแจ้งเบาะแสแทบไม่ต่างกันเลย อันหนึ่งสามพันเฟลคิน อีกอันหนึ่งห้าร้อยเฟลคิน”
“สิ่งนี้หมายถึงอะไร? มันแปลว่าทางการไม่อยากให้เราจับลูเมี่ยน·ลีส่ง แค่แจ้งเบาะแสไปก็พอ พวกเขาจะลงมือกันเอง”
“สำหรับตอนนี้ ฉันคิดออกได้แค่สองสาเหตุ หนึ่ง ลูเมี่ยน·ลีอันตรายอย่างมาก ถ้าปล่อยให้พวกนักล่ารางวัลจับกันเอง เกรงว่าจะเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง เกิดความสูญเสียโดยใช่เหตุ สอง ลูเมี่ยน·ลีพกสิ่งของที่มีมูลค่าสูงไว้กับตัว ทางการไม่อยากให้มันตกไปอยู่ในมือของนักล่ารางวัล”
“ถ้าเมื่อครู่ฉันสั่งสอนลูเมี่ยน·ลี หากเป็นกรณีที่สองก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นกรณีแรก นายคิดว่าโอกาสรอดของพวกเราอยู่ที่เท่าไร?”
ลูกน้องคนนั้นเพียงพยักหน้ารับ ไม่กล้าโต้แย้งใดๆ
บารอนบรินิแยร์นั่งลงไปอีกครั้ง ยกถ้วยกาแฟพลางกล่าว
“แล้วอีกอย่าง คำนึงจากสิ่งที่เขาทำกับมิซิลี คำนึงจากความกล้าหาญที่ขอพบฉันโดยตรง เราสามารถสรุปได้ว่าเขาเป็นคนเหี้ยมโหด ตัดสินใจเด็ดขาด และมั่นใจในฝีมือของตัวเอง”
“พนันได้เลยว่า ถ้าเมื่อครู่ฉันเลือกใช้วิธีข่มขู่ให้เขายอมจำนน ทางนั้นจะสู้กลับแน่ และไม่ลังเลเลยที่จะฆ่าคน”
“หึหึ นี่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย… ยังไม่รู้จักความสามารถของฉันแท้ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคาบาเร่ต์แห่งนี้มีกับดักมากน้อยเพียงใด แต่กลับกล้าบุกเข้าถ้ำเสือด้วยทัศนคติที่พร้อมจะฆ่าคนปิดปาก นิสัยแบบนี้จะทำให้เขาเจอดีในสักวัน”
บารอนบรินิแยร์จิบกาแฟแล้วหลับตาลง
“ไว้เรามาดูกันอีกที ว่าควรให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองเขาหรือไม่… หนุ่มน้อยจิตใจเหี้ยมหาญจากชนบทที่มีหมายจับคนนี้ จะต้องเป็นมีดที่ดีแน่”
…………
ด้านนอกคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ลูเมี่ยนหันกลับไปมองรูปปั้นทรงกลมสีขาวที่ประกอบกันจากกะโหลกครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปยังป้ายรถม้าสาธารณะใกล้ๆ
เดิมทีเขาเตรียมแผนฆ่าปิดปากคนไว้จริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ถูกนำมาใช้
ตามแผนในหัว หากบารอนบรินิแยร์คิดจะข่มขู่ตนด้วยหมายจับ หรือแสดงท่าทีเป็นศัตรู เด็กหนุ่มจะแสร้งทำเป็นหวาดกลัว แล้วบอกอีกฝ่ายว่าตนถูกตั้งค่าหัวเพราะขโมยอาวุธวิเศษที่ทรงพลังมาจากซากปรักหักพังหมู่บ้านกอร์ตู และยินดีที่จะยกให้เพื่อแลกกับความคุ้มครอง
ถ้าบารอนบรินิแยร์แข็งแกร่งพอประมาณ จนมีความมั่นใจในตัวเองสูง ยินยอมให้ลูเมี่ยนถืออาวุธเข้าไปใกล้ เด็กหนุ่มจะรอให้ถึงระยะแล้ว ‘แสร้ง’ ทำเป็นชิงลงมือก่อน แต่แผนจริงๆ คือการแอบยัดปรอทเสื่อมทรามใส่มืออีกฝ่าย
ด้วยวิธีนี้ บารอนบรินิแยร์ที่ไม่ได้สวมถุงมือจะกลายเป็นหุ่นเชิดของมีดสั้นประหลาด — หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันมาสักพัก ผ่านการ ‘สื่อสาร’ ที่ไม่มากมายนัก ลูเมี่ยนค่อนข้างมั่นใจว่าปรอทเสื่อมทรามไม่กล้าขัดคำสั่งตน
ขอเพียงไม่ขัดแย้งกับสัญชาตญาณในการตามหา ‘ผู้ถือมีด’ มันยินยอมที่จะทำตามคำสั่งของลูเมี่ยน แม้จะถูกคนอื่นถืออยู่ก็ตาม
ถึงเวลานั้น บารอนบรินิแยร์จะเปลี่ยนท่าที จากศัตรูมาเป็นมิตร รอให้ผ่านไปสักระยะ จนกระทั่งไม่มีใครสงสัยลูเมี่ยน เขาจะพาลูกน้องที่รู้มากกลุ่มหนึ่งหายเข้าไปในโลกใต้ดินของทรีอาร์อย่างเป็นปริศนา แล้วไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย
หรือถ้าบารอนบรินิแยร์ไม่ยอมให้ลูเมี่ยนนำปรอทเสื่อมทรามเข้าใกล้ โดยให้ลูกน้องสักคนมารับมีดสีเงินดำไปแทน แผนของเด็กหนุ่มคือการเปลี่ยนให้ลูกน้องคนนั้นกลายเป็น ‘ผู้ถือมืด’ ก่อน อาศัยคำพูดกลบเกลื่อนความผิดปกติ คอยออกคำสั่งกับปรอทเสื่อมทรามอย่างเหมาะสม
หลังจากนั้น พอสบโอกาสก็สั่งให้หุ่นเชิดโจมตีบารอนบรินิแยร์ แลกชะตากรรมการเป็น ‘ผู้ถือมีด’ ให้อีกฝ่าย
เมื่อลงมือเสร็จ ลูเมี่ยนจะหลบหนีถ้าทำได้ ถ้าไม่ได้ก็ยอมจำนน รอให้ชะตากรรมแลกเปลี่ยนเสร็จ — แม้หุ่นเชิดเดิมจะตายไป แต่ตราบใดที่ปรอทเสื่อมทรามมิได้เสียหายรุนแรง การแลกเปลี่ยนชะตากรรมก็ยังไม่ยุติ
สำหรับการทรมานที่อาจตามมาหลังจากยอมจำนน ลูเมี่ยนไม่สนใจเลย ขอเพียงยังไม่ตาย เมื่อถึงหกโมงเช้าวันถัดไป ร่างกายของเขาก็จะกลับไปเป็นปกติ
ส่วนเรื่องที่บารอนบรินิแยร์ซึ่งกลายเป็น ‘ผู้ถือมืด’ จะเริ่มเน่าเปื่อยคล้ายซอมบี้ จนง่ายต่อการถูกคนรอบข้างสังเกตเห็นความผิดปกติ ลูเมี่ยนคิดทางแก้เตรียมไว้แล้ว
บารอนบรินิแยร์เคยพูดไว้เองว่า ในกรุงทรีอาร์ บุรุษแต่งหน้ากันเป็นปกติ อีกทั้งเขายังเป็นนักอ่านตัวยงของนิตยสาร ‘สุนทรียศิลป์ของบุรุษ’
น้ำหอมสามารถปกปิดกลิ่นศพ แป้งและเครื่องสำอางสามารถปิดบังผิวหนังที่เน่าเปื่อยได้!
ด้วยความสัตย์จริง ขณะอยู่ในร้านกาแฟชั้นสองของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ลูเมี่ยนสองจิตสองใจอยู่ไม่น้อย ลังเลว่าควรลงมือดีหรือไม่
ที่สุดท้ายตัดสินใจไม่ทำก็เพราะว่า อีกฝ่ายเผยความเมตตาประหลาดๆ กับตนที่เป็นคนร้ายในประกาศจับ
และความเมตตาในทำนองนี้จากวายร้าย ก็มักหมายถึงการหวังใช้ประโยชน์ในอนาคต
“ถ้าบารอนบรินิแยร์อยากใช้ประโยชน์จากเราจริง เขาก็ต้องช่วยเราปกปิดตัวตน และคอยแจ้งความเคลื่อนไหวของพวกนักล่ารางวัลให้เราทราบ…” ลูเมี่ยนอมยิ้มขณะครุ่นคิด
นี่ถือเป็นข่าวดี!
สำหรับประเด็นที่ว่า ในภายภาคหน้า เขาอาจตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจากการถูกใช้ประโยชน์ ลูเมี่ยนคิดแผนรับมือไว้แล้ว
ในเวลานั้น ตนกับบารอนบรินิแยร์คงจะสนิทสนมกันพอประมาณแล้ว
ความคุ้นเคยจะทำให้ลงมือได้ง่ายขึ้น!
หากเมื่อใดก็ตามที่เขาถูกอีกฝ่ายส่งไปทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ลูเมี่ยนมีทางเลือกเดียว นั่นคือการกำจัดบารอนบรินิแยร์ทิ้ง
ฟู่ว… ลูเมี่ยนทอดถอนใจ พลางคิดถึงการปลอมตัวเพิ่มเติมในอนาคต
เดิมที เด็กหนุ่มมั่นใจในฝีมือการปลอมตัวอยู่พอประมาณ ตราบใดที่ไม่ได้เป็นฝ่ายเล่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอธิการโบสถ์และคุณนายปัวริสก่อน เหมือนกับในกรณีของอ็องโตนี·รีด จนคู่สนทนาเกิดความเชื่อมโยง ก็คงยากที่จะมีใครมองออกในทันที
แต่คำพูดของบารอนบรินิแยร์ทำให้เขาตระหนักว่า ตนอาจดูแคลนความสามารถของผู้วิเศษเกินไป
ในเมื่อมี ‘นักล่า’ ที่ชำนาญการแกะรอย แล้วทำไมจะมีลำดับที่ชำนาญ ‘จำหน้าคน’ ไม่ได้?
“บารอนบรินิแยร์หรือไม่ก็ลูกน้องสักคน คงมีพลังวิเศษทำนองนั้น…” ลูเมี่ยนพยักหน้าแผ่วเบาจนแทบมองไม่ออก
ประเด็นนี้สอดคล้องกับการที่ออสตาย้ายบ้านหลายรอบแต่ก็ยังถูกตามตัวเจอเสมอๆ
คิดมาถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนหยุดอยู่หน้าป้าย เดินขึ้นรถม้าสองชั้นที่ทาสีน้ำตาล จ่ายเงินสามสิบโกเปต์เพื่อเลือกนั่งด้านในห้องโดยสาร — หากเขานั่งบนดาดฟ้า ซึ่งเป็นชั้นสอง จะต้องจ่ายเพียงสิบห้าโกเปต์เท่านั้น
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไปยังเขตหอดูดาว
ลูเมี่ยนมองออกไปนอกหน้าต่าง แลเห็นผู้คนที่เร่งรีบในเครื่องแต่งกายหลากหลาย มองเห็นจักรยานที่ตีกระดิ่งใบเล็ก มองเห็นรถม้ารับจ้างของบริษัทต่างๆ มองเห็นหุ่นยนต์ที่ประกอบจากเฟือง วาล์ว ท่อ และคันโยก ด้านหลังติดกระเป๋าโลหะ คอยพ่นไอน้ำสีขาวเพื่อดันตัวเองไปข้างหน้าทีละก้าว
“สุริยันจงเจริญ!”
แสงแดดเจิดจ้าส่องลงมายังผู้คนที่ยืนกางแขนอยู่ริมถนน
แต๊ง แต๊ง แต๊ง เสียงระฆังดังมาจากวิหารใกล้เคียง บ่งบอกถึงเวลาเที่ยงวัน
……………………………………………………..