ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 121 คาบาเร่ต์ลมเอื่อย
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 121 คาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ตอนที่ 121 คาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ลูเมี่ยนมิได้หันหลัง มิได้หันกาย เพียงเดินต่อไปยังป้ายรถม้าสาธารณะ
เขามองรอบตัวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ สายตาทอดไปบนกระจกร้านกาแฟใกล้ๆ
บนกระจกสะท้อนภาพตัวเขาที่สวมเสื้อแจ็กเกตสีเข้ม และไม่ไกลจากเขานัก มีชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อแจ็กเกตแคนวาสกับหมวกแฟลตแก๊ป (Flat Cap)
หลังจากลูเมี่ยนถอนสายตากลับ เขาก็เร่งก้าวฉับพลัน ทำทีคล้ายกับจะไล่ตามรถม้าสองชั้นที่เตรียมออกจากป้าย
เด็กหนุ่มไม่แปลกใจเลยสักนิดที่สัมผัสได้ว่า ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปสีน้ำเงินเริ่มออกวิ่งเหยาะๆ แล้ว
ทันใดนั้น รถม้าสาธารณะเริ่มเคลื่อนตัวจากจุดหยุดนิ่ง มุ่งหน้าไปยังท้ายถนน ลูเมี่ยนที่กำลัง ‘ไล่ตาม’ จึงชะงักฝีเท้า ทำทีเป็นยืนเหม่อด้วยสีหน้าท้อแท้
เหล่มองสะท้อนกระจกร้านค้าริมถนนด้วยความแนบเนียน ลูเมี่ยนเห็นชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปชะงักฝีเท้าอย่างลุกลน รีบหันกายไปครึ่งหนึ่ง มองไปยังคาบาเร่ต์ฝั่งตรงข้าม
เด็กหนุ่มพยักหน้าบางเบาจนแทบไม่สังเกตเห็น เดินผ่านป้ายรถม้าด้วยภาษากายคล้ายเดินเล่น ก่อนจะเลี้ยวผลุบเข้าไปในซอยเงียบเปลี่ยวที่เต็มไปด้วยเครื่องกีดขวาง
ชายที่สวมหมวกแฟลตแก๊ปรีบรุดตามเข้าไป ข้ามเครื่องกีดขวางในจุดเตี้ยสุด แต่ก็มองไม่เห็นแม้แต่เงาของลูเมี่ยน
เป้าหมายที่ตนสะกดรอยตาม ดูเหมือนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในซอยนั้น
ขณะที่ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปเตรียมวิ่งตรงไป ลูเมี่ยนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงมุมเครื่องกีดขวางก็กระโดดตะครุบดุจดังเสือ กดมือลงบนบ่าอีกฝ่าย แล้วดึงร่างเข้ามากระแทกกับหัวเข่า
ปั่ก!
ลูเมี่ยนแทงเข่าใส่สะโพกของชายสวมหมวกแฟลตแก๊ป ทำเอาอีกฝ่ายเจ็บร้าวจนหน้าเบี้ยว ขาสองข้างไม่อาจพยุงรับน้ำหนักตัวได้อีก
ตุ้บ! ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปล้มลงกับพื้น ฝุ่นกระจายคลุ้งไปทั่ว
ลูเมี่ยนคุกเข่าลง จับท้ายทอยของผู้ไล่ตาม พูดด้วยเสียงต่ำ
“ใครสั่งให้แกสะกดรอยตามฉัน”
“ไม่ได้ตาม! ฉันแค่เลือกทางลัด!” ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปรีบแก้ต่างอย่างร้อนรน
ลูเมี่ยนแสยะยิ้ม จับหัวอีกฝ่ายโขกพื้นอย่างแรง
ด้วยเสียง ‘ปึก’ ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปเจ็บปวดรวดร้าวแต่ร้องไม่ออก หน้าผากเขียวช้ำซ้ำยังบวมตุ่ย มีเลือดซึมเล็กน้อย
“ใครสั่งให้แกตามฉัน?” ลูเมี่ยนถามย้ำเรื่องเดิม
ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปทำท่าเหมือนถูกปรักปรำ
“ฉันไม่ได้ตาม! ไม่รู้จักนายด้วยซ้ำ!”
“เอางั้นก็ได้” ลูเมี่ยนคลายมือขวา
วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มใช้สันมือสับใส่กกหูของผู้ไล่ตาม
ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปสลบไปโดยไม่ได้ครางสักแอะเดียว
ลูเมี่ยนช่วยพยุงเขาขึ้นมา จงใจกดปีกหมวกให้ต่ำลงจนปิดบังดวงตาที่กำลังหลับสนิท
จากนั้นก็ทำเหมือน ‘ช่วยพยุงเพื่อนเมา’ ก้าวเดินออกจากซอย เลี้ยวตรงมุมถนน
ที่นั่นมีทางเข้าสู่โลกใต้ดิน
ลูเมี่ยนเลือก ‘รอ’ ผู้ไล่ตามในซอยเมื่อสักครู่ เพราะเชื่อว่าหากเกิดอะไรขึ้น ตนสามารถพาลงใต้ดินได้โดยง่าย อีกทั้งสภาพแวดล้อมก็ยัง ‘เงียบสงบ’ มากพอ
…………
ชายที่สวมหมวกแฟลตแก๊ปได้สติตื่น แลพบว่าตนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงเล็กๆ จากตำแหน่งไกลๆ ที่ยังพอจะช่วยให้มองเห็นเค้าโครงรอบตัว
เสียงดัง ‘กังกัง กังกัง’ เล็ดลอดผ่านอุปสรรคหลายชั้นจนกระทั่งมาถึงโสตประสาท เสียงดังจากไกลมาใกล้ แล้วก็ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เป็นคนท้องถิ่นของตลาดคนซื่อ เขามิได้แปลกใจกับสถานการณ์นี้ เชื่อว่าตนคงถูกนำตัวลงมายังใต้ดิน โดยที่ ‘ถนน’ ข้างๆ มีรถไฟไอน้ำวิ่งผ่าน และแสงน้อยๆ ก็มาจากตรงนั้น
ลูเมี่ยนนั่งอยู่ในความมืด มองหน้าชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปแล้วพูดยิ้มๆ
“ตอนนี้นายมีสองทางเลือก หนึ่งคือบอกฉันว่าใครเป็นคนสั่งให้สะกดรอยตาม สองคือถูกฉันพาเข้าไปลึกกว่านี้ และถูกฝังที่นั่น… นายคงจะรู้ดีว่าในกรุงทรีอาร์มีคนหายไปทุกวัน เพิ่มไปอีกสักคนก็ไม่มีใครใส่ใจหรอก”
เมื่อเห็นว่าผู้ไล่ตามเงียบไป ไม่ยอมตอบในทันที ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปว่าจิตใจอีกฝ่ายเริ่มสั่นคลอน จึงเสริมเข้าไปอีกหนึ่งประโยค
“และฉัน… จะเดินผ่านถนนใต้ดินนี้ไปโผล่เขตอื่น”
เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนเตรียมทางหนีทีไล่ไว้เป็นอย่างดี ดูพร้อมฆ่าหมกศพได้ทุกเมื่อ แล้วหลบหนีไปให้ไกล ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปจึงเริ่มไม่อาจสะกดความกลัวในจิตใจ สารภาพไปอย่างหมดท่า
“บ…บารอนบรินิแยร์!”
บารอนบรินิแยร์? หัวหน้าหน่วยของแก๊งซาฟาห์ เจ้าหนี้ของออสตา·ทรูเอล? มาสะกดรอยตามเราทำไม? เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็เมื่อวานที่ถนนเสื้อนอกขาว คุยกันสักคำก็ยังไม่… ลูเมี่ยนฟังด้วยความสับสนปนสงสัย
สิ่งนี้ทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจว่าชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปมิได้โกหก เพราะถ้าจะโกหก ก็คงไม่เลือกพูดชื่อของคนที่ลูเมี่ยนคาดไม่ถึง และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกลายมาเป็นผู้บงการได้
ลูเมี่ยนขมวดคิ้วถาม
“ทำไมเขาถึงสั่งให้สะกดรอยตามฉัน”
“ไม่รู้” ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปตอบเสียงสั่นเครือ “เขาแค่สั่งให้สะกดรอยตามนาย ดูว่านายไปที่ไหนบ้างแค่นั้น”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดสักพักแล้วถาม
“ตอนนี้บารอนบรินิแยร์อยู่ที่ไหน”
“ถ้าไม่ติดธุระอะไร เขามักจะอยู่ที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยบนถนนใหญ่ตลาด” ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปพยายามมองหน้าลูเมี่ยนให้ชัดๆ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะแสงน้อยเกินไป
คาบาเร่ต์ลมเอื่อย? ลูเมี่ยนพอจะมีความทรงจำเกี่ยวกับอาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของเขตตลาดคนซื่ออยู่บ้าง
เป็นผลลัพธ์จากการ ‘เดินเล่น’ เมื่อวาน
ถนนใหญ่ตลาดหมายถึงถนนสายหลักจากตลาดคนซื่อไปยังสถานีรถไฟไอน้ำซูสิต ยาวประมาณสองกิโลเมตร คาบาเร่ต์ลมเอื่อยตั้งอยู่ใกล้กับตลาด รูปปั้นหน้าประตูมีเอกลักษณ์โดดเด่น ใครได้เห็นก็คงยากที่จะลืม
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนยกมุมปาก กล่าวกับคนไล่ตาม
“พาฉันไปที่นั่น ฉันอยากคุยกับบารอนบรินิแยร์”
ชายสวมหมวกแฟลตแก๊ปถอนหายใจโล่งอก รู้สึกว่าชีวิตของตนได้รับการไถ่ถอน
ไม่ว่าใครจะได้เปรียบเสียเปรียบที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย ใครจะ ‘ประสบอุบัติเหตุ’ มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว
…………
ที่ตั้งของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย คือสองชั้นล่างสุดของอาคารสีดินเหลือง ชั้นสองเป็นร้านกาแฟ ชั้นหนึ่งเป็นคาบาเร่ต์อันคึกคัก แต่ตอนนี้เพิ่งเปิดทำการ ยังมีลูกค้าไม่มากนัก
ที่ประตูหน้ามีรูปปั้นทรงกลมสีขาวซึ่งประกอบจากกะโหลกหลายชิ้น ด้านบนเขียนด้วยภาษาอินทิสว่า
“พวกเขาหลับใหลอยู่ที่นี่ รอคอยความสุขและความหวังที่จะมาถึง”
ลูเมี่ยนมองอยู่สักพัก ก่อนจะเดินตาม ‘ไกด์’ ผ่านรูปปั้น มาถึงประตูคาบาเร่ต์
ที่นั่นมีชายสองคนยืนอยู่ สวมเสื้อเชิ้ตขาวและเสื้อนอกสีดำของแก๊ง ทั้งสองรีบวางมือขวาไว้ตรงเอวพร้อมกัน ไถ่ถามชายสวมหมวกแฟลตแก๊ป
“มิซิลี หมอนี่เป็นใคร?”
“ข…เขามาหาบารอนบรินิแยร์” มิซิลีตอบอย่างตะกุกตะกัก
หลังจากเห็นทั้งสองมองตนหัวจรดเท้าด้วยสายตากังขา ลูเมี่ยนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฉันจะได้เข้าพบกับบารอนบรินิแยร์หรือไม่ คนตัดสินใจคือเขา ไม่ใช่พวกนาย”
“หรือว่าอยากทำพลาดแล้วกลายเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ล่ะ?”
ลังเลอยู่สักพัก หนึ่งในชายชุดดำหันหลังกลับ เดินเข้าไปในคาบาเร่ต์
ระหว่างรอ ลูเมี่ยนที่ดูผ่อนคลาย กล่าวกับผู้สะกดรอยตามที่ชื่อมิซิลี
“ทำไมที่นี่ถึงมีรูปปั้นกับคำสลักพวกนั้น? ไม่เข้ากับบรรยากาศของคาบาเร่ต์เลยสักนิด”
ถึงจะดูเจ๋งมากก็เถอะ
มิซิลีมองหน้าลูเมี่ยนที่กำลังยิ้ม พลางตอบกลับอย่างหวาดกลัว
“ที่นี่เดิมเป็นสุสานของวิหารนักบุญโรแบร์ ต่อมา กระดูกเหล่านั้นถูกย้ายไปยังสุสานใต้ดิน ทำให้พื้นที่ตรงนี้ว่างเปล่า ในภายหลังจึงสร้างอาคารหลังนี้ขึ้นมา”
“แม้กระดูกทั้งหมดจะผ่านการชำระล้างแล้ว บางอันก็เหลือเพียงเถ้า แต่พวกเราแก๊งซาฟาห์ที่ซื้อตึกนี้มา ยังมองว่าบรรยากาศน่ากลัวเกินไป เลยจ้างประติมากรสร้างรูปปั้นที่สื่อถึงความตายและสลักถ้อยคำแทนคนตายเอาไว้ เพื่อปลอบประโลมกระดูกที่อาจยังอยู่ใต้ดินและไม่ถูกขุดขึ้นมา”
จากที่นายเล่า ไม่ใช่ว่านักเต้นคาบาเร่ต์กำลังรบกวนกระดูกพวกนั้นอยู่หรือไง? ด้วยการเต้นแร้งเต้นกาบนหัวของพวกมัน… ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ
ขณะเดียวกัน สมาชิกแก๊งที่ออกไปเมื่อสักครู่ ย้อนกลับมาแล้วพูดกับลูเมี่ยน
“บารอนบรินิแยร์เชิญคุณไปที่ร้านกาแฟชั้นสอง”
“ตกลง” ลูเมี่ยนเงยหน้าขึ้น ก้าวเข้าไปในคาบาเร่ต์อย่างอกผายไหล่ผึ่ง
สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือ พื้นที่เต้นรำซึ่งล้อมกรอบด้วยราวกั้น เวทีไม้กึ่งสูงด้านหน้าซึ่งใช้สำหรับร้องเพลง รวมถึงที่นั่งระเกะระกะรอบเวที และกลิ่นหอมๆ จากน้ำหอมกับแป้งที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
มิซิลีครุ่นคิดสักพัก แล้วตัดสินใจตามหลังลูเมี่ยนไป
เขาได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าอย่างไรตนก็ควรไปรายงานกับบารอนโดยตรง ไม่เช่นนั้น อนาคตอาจจบลงด้วยการอันตรธานหายไปในโลกใต้ดิน
ขึ้นมาถึงชั้นสอง ลูเมี่ยนเห็น ‘สุภาพบุรุษ’ ที่ได้เจอกันเมื่อคืน
อายุรุ่นราวความสามสิบ สวมทวีดแจ็กเกตสีดำ ผมสีน้ำตาลเป็นลอนตามธรรมชาติ ดวงตาสีน้ำตาลยิ้มแย้มแลดูมั่นใจ เค้าโครงใบหน้าชัดลึก
บารอนบรินิแยร์วางถ้วยกาแฟลง จับกล้องยาสูบไม้ท้อด้วยมือข้างที่สวมแหวนเพชร
“คุณจะรับเครื่องดื่มไหม”
เขาแสดงออกถึงความสุภาพและใจกว้าง
ลูเมี่ยนมองไปยังสมาชิกแก๊งสี่คนที่กำลังกดมือไว้ตรงเอว พลางกล่าวกับบารอนบรินิแยร์
“ทำไมคุณถึงส่งคนมาสะกดรอยตามผม”
อีกฝ่ายยิ้มแย้มพร้อมกับสารภาพอย่างผ่าเผย
“เมื่อคืนผมเจอคุณที่ถนนเสื้อนอกขาว วันนี้ยังเห็นคุณอีกแถวๆ ถนนอลเวง พอเห็นหน้าบ่อยเข้าก็รู้สึกคุ้นตาขึ้นมา จึงให้มิซิลีตามไป เพื่อดูว่าคุณมาทำอะไรที่เขตตลาด”
“เมื่อคืนคุณก็ไปหาออสตามาสินะ?”
“หมอนั่นคิดจะหลอกเอาเงินผม” ลูเมี่ยนตอบหนึ่งประโยค แล้วชิงเปลี่ยนเรื่องถาม “หมายความว่ายังไงที่บอกว่าผมดูคุ้นตา?”
บารอนบรินิแยร์ดูดกล้องยาสูบ แล้วตอบยิ้มๆ
“ในสายตาของผู้มากประสบการณ์อย่างเรา การปลอมตัวของคุณ เรียกว่าปลอมตัวแทบไม่ได้เลย”
“เมื่อเราเริ่มสงสัยและสร้างการเชื่อมโยง ก็จำได้ทันทีว่าคุณคือลูเมี่ยน·ลี อาชญากรผู้มีค่าหัวสามพันเฟลคิน”
ค่าหัวของเราแค่สามพันเฟลคินเท่านั้น? ปฏิกิริยาแรกของลูเมี่ยนคือความสงสัย
ในฐานะต้นตอของวัฏจักรเวลาแห่งหมู่บ้านกอร์ตู เหตุใดทางการถึงตั้งค่าหัวต่ำกว่าหลวงพ่ออธิการโบสถ์กับคุณนายปัวริส?
“ลำพังการให้เบาะแสของคุณ ทางการก็จ่ายให้ห้าร้อยเฟลคินแล้ว” บารอนบรินิแยร์หัวเราะ “หนุ่มน้อย สิ่งที่คุณต้องการคือหนังสือ ‘สุนทรียศิลป์ของบุรุษ’ ไม่ต้องอายหรอก ในกรุงทรีอาร์น่ะ บุรุษแต่งหน้ากันเป็นปกติ มันจะช่วยให้คุณปกปิดใบหน้าจริงได้”
‘สุภาพบุรุษ’ รายนี้เองก็ใช้ดินสอเขียนตาและทาแป้ง
ลูเมี่ยนยิ้ม
“คุณคิดจะจับผมไปแลกเงินรางวัลหรือไง”
…………………………………………………….