ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 120 เสียงพร่ำของคนเพ้อ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 120 เสียงพร่ำของคนเพ้อ
ตอนที่ 120 เสียงพร่ำของคนเพ้อ
อ็องโตนี·รีดมองหน้าลูเมี่ยน เริ่มกล่าวเสียงขรึม
“คุณมีธุระอะไร”
“ผมได้ยินมาจากปาวาร์ ว่าคุณเป็นนักค้าข่าวที่เชื่อถือได้” ลูเมี่ยนเล่าไปตามจริงว่าได้ยินมาจากใคร ไม่อยากเสียเวลาไปกับการหยั่งเชิง
อ็องโตนี·รีดเจ้าของแก้มอวบอิ่ม ทำหน้าเข้าใจ แล้วชี้ไปทางเก้าอี้ที่วางอยู่กลางห้อง
“คุณอยากได้ข่าวแบบไหน หรือว่าอยากจ้างผมสืบอะไร?”
เผชิญหน้ากับอ็องโตนี·รีดที่ดูซื่อตรงและน่าเชื่อถือ ลูเมี่ยนยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในที แต่ก็ยอมนั่งเก้าอี้และกล่าวโดยไม่พิรี้พิไร
“ผมอยากตามหาคนสองคน”
“ชื่อ หน้าตา จุดเด่น” อองโตนี·รีดมองไปที่เอวซ้ายของลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มทำหน้านึกพักสักแล้วจึงกล่าว
“คนแรกชื่อกิโยม·เบเนต์ เคยเป็นอธิการโบสถ์ของศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส อีกคนชื่อปัวริส·เดอ·โร้คฟอร์ ราวๆ หนึ่งเดือนก่อน เธอกับบีโอส สามีของเธอ และพ่อบ้านลูอิส·ลุนด์ รวมถึงสาวใช้คาสซี่เดินทางมายังทรีอาร์ด้วยกัน”
“ผมไม่มีรูปของพวกเขา แต่บรรยายได้ว่ากิโยม·เบเนต์มีผมสั้นสีดำ ตาสีน้ำเงิน หน้าตาขึงขัง อารมณ์ทางเพศสูง จุดเด่นที่สุดคือมีจมูกงุ้มคล้ายนกอินทรี ส่วนปัวริสมีผมยาวสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาลสว่าง คิ้วบางและห่าง ดูเรียบๆ แต่น่าหลงใหล…”
อ็องโตนี·รีดเงียบฟังจนจบแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปทางโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง ดึงลิ้นชักออก แล้วหยิบกระดาษสีขาวออกมาปึกหนึ่ง กับดินสอที่ถูกเหลาจนแหลม
เขาเริ่มวาดภาพประกอบขยุกขยิก และไม่นานก็วาดภาพเหมือนเสร็จสองรูป
“คล้ายไหม” อ็องโตนี·รีดยื่นภาพวาดนั้นให้ลูเมี่ยน
ลูเมี่ยนรับมาดู แลพบว่าทั้งภาพของอธิการโบสถ์และคุณนายปัวริสดูสมจริงอย่างยิ่ง ราวกับมีชีวิต ยังกับรูปถ่ายยกเว้นเรื่องที่เป็นสีขาวดำ
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองอ็องโตนี·รีดด้วยความทึ่ง กล่าวอย่างตกตะลึง
“คล้ายมาก”
เดิมทีเขาคิดว่าอ็องโตนี·รีดจะวาดร่างหลายๆ ภาพให้เขาเลือก แล้วจึงค่อยปรับปรุงขัดเกลา
อ็องโตนี·รีดยิ้มอย่างหาได้ยาก
“ผมก็แค่วาดเลียนแบบรูปถ่ายบนใบประกาศจับของทางการ”
“ทางการก็กำลังตามหาพวกเขาอยู่”
อย่างนี้นี่เอง… ลูเมี่ยนกระจ่างทันที
อดีตอธิการโบสถ์กิโยม·เบเนต์และคุณนายปัวริส ต่างก็เป็นสาวกเทพมารที่ได้รับ ‘พร’ หลังจากพวกไรอันรอดชีวิตกลับไปรายงานให้เบื้องบน เป็นธรรมดาที่จะมีการออกประกาศจับ!
คิดถึงตรงนี้ ความไม่สบายใจของเด็กหนุ่มเริ่มพอกพูน
“เราก็คงถูกประกาศจับเหมือนกัน… อ็องโตนี·รีดเห็นภาพวาดของเราหรือยัง? เขาจำเราได้ไหม?” หัวใจลูเมี่ยนพลันเต้นแรง แต่พยายามข่มจิตให้นิ่งและถามนักค้าข่าวตรงหน้า
“กะไว้แล้ว… ค่าหัวของพวกเขาเท่าไรหรือ?”
“สองหมื่นเฟลคินทั้งคู่ ค่าแจ้งเบาะแสคือห้าร้อยเฟลคิน” อ็องโตนี·รีดกล่าวเสียงสุขุมลุ่มลึก
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“ถ้าสืบจนพบข้อมูลที่มีประโยชน์ คุณก็จะได้เงินรางวัลเป็นสองเท่า”
ความหมายของเขาก็คือ อีกฝ่ายสามารถรับรางวัลจากทางการได้หนึ่งเท่า และจากตนอีกหนึ่งเท่า
อ็องโตนีพยักหน้า
“ผมรับงานนี้ ห้าร้อยเฟลคิน มัดจำหนึ่งร้อยเฟลคิน”
“นี่คือกฎของผม คุณสามารถไม่ยอมรับ และไปหานักค้าข่าวหรือนักล่ารางวัลคนอื่นแทน”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้ ลูเมี่ยนไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้าเบาๆ
“ตกลง”
เด็กหนุ่มเตรียมจะล้วงหยิบเงิน ก็มีเสียงปีนดังเปรี้ยงจากด้านนอกหน้าต่าง
อ็องโตนี·รีดสั่นสะดุ้งในทันที ราวกับได้พานพบศัตรูคู่อาฆาต รีบงอตัวซุกซ่อนอยู่ใต้โต๊ะไม้
ลูเมี่ยนมองด้วยความไม่เข้าใจ
ต้องขนาดนี้เลย? นี่มันสภาพแวดล้อมปกติของถนนอลเวงมิใช่หรือ?
เสียงปืน เสียงวิวาท เสียงความขัดแย้งดังขึ้นเป็นเนืองนิจ ผู้เช่าควรชาชินกับเหตุการณ์เหล่านี้ สิ่งเดียวที่ต้องทำคือการอยู่ให้ไกลจากหน้าต่าง หลีกเลี่ยงกระสุนลูกหลงที่อาจพรากชีวิต
ผ่านไปครู่เดียว เสียงเอะอะมะเทิ่งด้านนอกก็ซาลง
อ็องโตนี·รีดหยุดรออีกสักหลายอึดใจ แล้วจึงค่อยคลานออกจากใต้โต๊ะ
เขายิ้มขื่นขม พลางพูดกับลูเมี่ยน
“ต้องขอโทษด้วย ในสงครามเมื่อหลายปีก่อน ผมได้รับบาดแผลทางใจจากสนามรบ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไม่ได้ ต้องปลดประจำการและกลับมายังทรีอาร์”
แล้วทำไมถึงเลือกอยู่ในถนนอลเวงที่ยิงกันเป็นประจำ? ลูเมี่ยนไม่ถามซักไซ้ เพราะไม่สนใจสุขภาพจิตของอ็องโตนี·รีด
เด็กหนุ่มหยิบธนบัตรมูลค่าห้าสิบเฟลคินออกมา และใช้ปลายนิ้วลูบลงบนภาพครึ่งตัวของเลวองก์ รวมถึงภาพของทิวแถวร้านค้า กับพ่อค้าแม่ขายที่ผ่านไปผ่านมา
ขณะที่สัมผัสเหล่านั้นยังหลงเหลืออยู่ปลายนิ้ว ลูเมี่ยนส่งธนบัตรสีเทาน้ำเงินที่มีแถบลาย พร้อมกับเหรียญทองลูอิดอร์สองเหรียญ และเหรียญห้าเฟลคินที่แกะสลักภาพวิหคสุริยัน ให้อ็องโตนี·รีดสองเหรียญ
กระเป๋าเงินของเขาเบาลงไปหนึ่งในสามทันที อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกของการ ‘ใช้เงินต่างน้ำ’
มองดูตลาดคนซื่อที่อยู่ด้านหลังของธนบัตรสักพัก อ็องโตนี·รีดงอนิ้วเล็กน้อย สะบัดเล็กน้อย ส่องกับแดดเพื่อตรวจสอบความแท้จริงของธนบัตร
หลังจากยืนยันความถูกต้อง เขาเก็บเงินเข้าไป พลางถามกับลูเมี่ยน
“คุณจะมาหาผมเป็นประจำเพื่อดูว่ามีข่าวเพิ่มเติมไหม หรือจะให้ที่อยู่กับผม ให้ผมส่งข้อมูลตรงถึงห้องทุกครั้งที่มีข่าวใหม่?”
“ผมอยู่ที่ห้อง 207” ลูเมี่ยนทราบดี ตนคงปิดเรื่องที่พักอยู่ในโรมแรงระกาทองจากอ็องโตนี·รีดไม่ได้ จึงบอกเลขห้องไปตามจริง
ออกจากห้อง 305 แล้ว สีหน้าของเด็กหนุ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตึงเครียด พึมพำกับตัวเองในใจ
“ในช่วงหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ เราคงต้องระวังตัวเพิ่มเป็นสองเท่า เพื่อป้องกันการหักหลังจากอ็องโตนี·รีด…”
“หรือควรหาโอกาสแสดงฝีมือต่อหน้าเขา? ทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเราจะแก้แค้นจนถึงที่สุด?”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดขณะเดินไปทางบันได
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงคนกำลังหัวเราะสลับร้องไห้ พลางแหกปากโหวกเหวก
“ฉันกำลังจะตาย! ฉันกำลังจะตาย!”
ลูเมี่ยนมองไปตามเสียง แลเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งยองอยู่หน้าห้อง 310
ชายคนดังกล่าวสวมเสื้อเชิ้ตลินินสกปรก กางเกงขายาวสีเหลือง ผมสีดำรกรุงรังยาวถึงบ่า
ในเวลานี้ เขาใช้สองมือกุมหัว ก้มมองลงพื้น เอาแต่พึมพำไม่หยุด
“ฉันกำลังจะตาย! ฉันกำลังจะตาย!”
เสียงของเขาเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา บางครั้งดูหวาดกลัว บางครั้งก็ดูเหมือนคนบ้า
คนบ้าที่ชาร์ลีพูดถึง? ที่บอกว่าบางครั้งก็มีสติ? ลูเมี่ยนมองไปได้สักพัก แล้วจึงเข้าไปใกล้ ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ทำไมถึงคิดว่าตัวเองกำลังจะตายล่ะ เป็นโรคร้ายแรงหรือ?”
ชายคนนั้นไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ยังคงตะโกนว่า
“ฉันกำลังจะตาย! ฉันกำลังจะตาย!”
ลูเมี่ยนยิ้มแล้วเดินผ่านร่างเขาไป เข้าไปในห้อง 301 ที่ประตูไม้เปิดอ้าซ่า
เค้าโครงของห้องคล้ายกับห้อง 207 ที่เขาพัก ดูสะอาดตา ยกเว้นตัวเรือดที่เดินไปมาเป็นครั้งคราว
ขณะลูเมี่ยนมองไปยังตะเกียงน้ำมันก๊าด หนังสือเล่มใหญ่ ปากกา และกระเป๋าเดินทาง คนบ้าหน้าห้องก็ลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยท่าทีงุนงง
“นี่ห้องฉัน”
“ฉันรู้” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ “แต่นายกำลังจะตายไม่ใช่หรือ? สภาพนี้คงไม่มีลูกหลานหรือญาติมิตร ก็เลยว่าจะรับมรดกแทนเพื่อเอาไปช่วยเพื่อนบ้านที่ยากจนคนอื่นๆ น่ะ”
เขาสังเกตเห็นว่าคนบ้ารายนี้มีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด หนวดเคราสีดำไม่ผ่านการโกนมานานแล้ว รกทึบไปเสียทุกแห่ง จนนัยน์ตาสีน้ำเงินดูเหมือนซุกซ่อนอยู่ในป่าดงดิบ
ชายคนดังกล่าวเงียบไปสักพัก เอาแต่จับหัวตัวเอง ร้องออกมาด้วยความเร็วปวด
“พวกเขาตายหมดแล้ว พวกเขาตายหมดแล้ว!”
“ฉันเห็นวิญญาณมงต์ซูรี พวกเขาตายหมดแล้ว และฉันก็กำลังจะตายตามไป!”
วิญญาณมงต์ซูรี? ในที่สุดลูเมี่ยนก็ได้ยินคำอื่นจากปากชายคนนี้
เมื่อสักครู่ เขาจงยั่วยุและกระตุ้นอีกฝ่าย เพื่อดูว่าจะมีปฏิกิริยาต่างออกไปหรือไม่
ผลตอบรับที่ดี ทำให้เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงการย่อยของโอสถ
หนึ่งในกฎของการสวมบทบาทเป็นนักยั่วยุก็คือ: การยั่วยุเป็นเพียงวิธี มิใช่ผลลัพธ์? ลูเมี่ยนมองคนบ้าพลางครุ่นคิด ก่อนจะถามไถ่
“ทำไมวิญญาณมงต์ซูรีถึงทำให้พวกเขาตาย และทำให้นายกำลังจะตาย?”
ชายเสียสติก้มหน้าลง เอาแต่พึมพำกับตัวเอง
“ทุกคนเห็นที่ได้เห็นวิญญาณมงต์ซูรีจะต้องตาย ครอบครัวก็ไม่รอด ภายในหนึ่งปี ทุกคนจะต้องตาย!”
นี่เป็นอาการหลอนประสาทของคนบ้าหรือเรื่องจริง? ถ้าจริงมันคืออะไร? คำสาป? ลูเมี่ยนลองถามหยั่งเชิง
“ไปเห็นวิญญาณมงต์ซูรีมาจากไหน”
“ใต้ดิน… ใต้ดิน! ใต้ดินของเขตตลาดนี่เอง!” คนบ้านั่งยองลงอีกครั้ง หลังพิงกำแพง สองมือกอดตัวเองอย่างสั่นสะท้าน
โลกใต้ดินของเขตตลาด? ทำไมไม่แจ้งสองศาสนจักรหลัก ให้พวกเขาส่งคนไปชำระล้างปัดเป่า? ลูเมี่ยนพึมพำไร้เสียง
เมื่อเห็นว่าคนบ้ากลับสู่สถานะ ‘ฉันกำลังจะตาย ฉันกำลังจะตาย!’ อีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงยอมแพ้ไม่ถามต่อ เพียงออกจากห้อง 310 แล้วเดินลงบันได
ในเมื่อพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์แล้ว ลูเมี่ยนกะว่าจะไปเดินเล่นแถวๆ ร้านกาแฟเมสันในเขตสวนพฤกษศาสตร์ช่วงเที่ยงวันนี้ เพื่อทำความรู้จักกับละแวกดังกล่าวล่วงหน้า ช่วงบ่ายก็จะแวะไปแถวๆ สุสานใต้ดิน เพื่อดูว่าออสตาได้รับ ‘การตอบกลับ’ จากผู้จัดชุมนุมหรือยัง
ตามตรอกซอกซอยของถนนอลเวงเต็มไปด้วยกองหิน กองไม้ กิ่งไม้ และกองขยะวางสุมเป็นแนวกำแพงเตี้ย กระทั่งบนถนนหลักก็ยังพบเห็นได้ประปราย เพียงแต่กลางถนนถูกแหวกให้รถม้าสองคันแล่นผ่านไปได้พร้อมกัน
แนวกำแพงเหล่านี้ถูกเรียกว่า ‘เครื่องกีดขวาง’ พบเห็นได้ในหลายเขต ส่วนใหญ่มีรอยเขม่าจากไฟไหม้ บางอันก็มีคราบเลือดสีดำแห้งกรัง ถือเป็นทัศนียภาพเฉพาะตัวของกรุงทรีอาร์ ขั้วตรงข้ามกับถนนอาเขตที่มีซุ้มโค้ง
ลูเมี่ยนเดินข้ามเครื่องกีดขวางตรงส่วนที่เตี้ยที่สุด ก้าวออกจากซอยอันมืดสลัว เข้าสู่ถนนใหญ่
เขาเดินต่อไปยังป้ายรถม้าสาธารณะ เตรียมใช้ระบบขนส่งประเภทนี้เพื่อเดินทางต่อไปยังเขตสวนพฤกษศาสตร์
ระหว่างทาง ลูเมี่ยนเห็นคนไร้บ้านจำนวนมากกำลังนอนอาบแดด บ้างก็หาเหาอยู่ตรงมุมกำแพง ทุกคนดูสกปรก ผอมแห้งเหมือนหนังหุ้มกระดูก ดูไร้เรี่ยวแรง ไร้ชีวิตชีวา
ภาพนี้ทำให้เขานึกถึงช่วงชีวิตที่เคยตะลอนเร่ร่อน
แตกต่างจากอาณาจักรโลเอ็นที่ห้ามมิให้คนไร้บ้านนอนตามสวนสาธารณะหรือข้างถนน สาธารณรัฐอินทิสไม่มีข้อห้ามดังกล่าว เพียงแต่ไม่อนุญาตให้เข้าไปในจุดที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมหรือพื้นที่ส่วนบุคคล ชาวอินทิสมักจะเย้ยหยันชาวโลเอ็นถึงความไร้มนุษยธรรมอยู่เสมอๆ
ขณะความคิดล่องลอย ลูเมี่ยนที่กำลังเดิน พลันหรี่ตาแคบ
เขาสัมผัสได้ว่ามีคนแอบตามมา!
……………………………………………………..