ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 119 สิ่งมีชีวิตประหลาด
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 119 สิ่งมีชีวิตประหลาด
ตอนที่ 119 สิ่งมีชีวิตประหลาด
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนรู้สึกขนลุกขนพองที่ต้นคอ ความหนาวเย็นแผ่ไปทั่วแผ่นหลัง ชัดเจนว่าร่างกายกำลังเตือนภัย
อาศัยสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มชักปรอทเสื่อมทรามที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา เตรียมฉีกผ้าสีดำที่ห่ออยู่ทุกเมื่อ
ร่างกึ่งโปร่งใสที่มีเส้นผมยาวๆ สีเขียวอมฟ้าและใบไม้ปกปิดส่วนสำคัญของร่างกาย เพียงลอยอยู่กลางอากาศ จ้องมองลูเมี่ยนภายในห้อง ดวงตาสีเขียวมรกตบางครั้งก็พร่าเลือน บางครั้งก็ยิ้มอย่างมีเล่ห์ บางครั้งก็ดูเหมือนห้วงน้ำวนลึกล้ำ ดึงจิตวิญญาณของมนุษย์ให้จมดิ่งอย่างมิอาจต้านทาน
ในแง่หนึ่ง ลูเมี่ยนถูกความรู้สึกทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกประหลาดรุกรานจิตใจ ความคิดส่วนใหญ่กำลังสับสนอลหม่าน ในอีกแง่หนึ่ง เขารู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้ง ราวกับแมลงที่พานพบแมงมุมซึ่งกำลังทอใย
เด็กหนุ่มลดจังหวะเต้นให้ช้าลง เตรียมหยุดชะงักงันได้ทุกเมื่อ
ร่างกึ่งโปร่งใสของหญิงสาวแสดงออกชัดเจนว่าอยากเข้าหา แต่อีกด้านหนึ่ง สัญชาตญาณก็ร้องเตือนว่าไม่ถูกต้อง จนลังเลที่จะเข้าใกล้ลูเมี่ยน
ร่างของเธอเดี๋ยวโผล่ออกจากม่าน เดี๋ยวหดกลับหลังม่าน สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร
เมื่อลูเมี่ยนเต้น ‘ระบำเรียกสถิต’ จบ ก็เกิดเสียงเล็กเสียงน้อยดังขึ้นในโสตประสาท รู้สึกใกล้ราวกับอยู่ด้านข้าง
ระหว่างนั้น สิ่งมีชีวิตประหลาดที่พล่านอยู่ในห้องก็ทยอยหายไปทีละหนึ่ง
สิ่งสุดท้ายที่ออกจากห้อง คือร่างของหญิงสาวที่มีผมยาวสีเขียวอมฟ้าและใบไม้ปกปิดร่างกาย เธอดูสองจิตสองใจเจือสับสน
ลูเมี่ยนถอนหายใจ หลับตาลง เงียบฟังเสียงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายในร่างกาย
เด็กหนุ่มได้ยินไม่ชัดเจน แต่ก็อยากฟังให้ออก
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนลืมตาขึ้น มองไปยังหน้าต่างที่ถูกม่านโทรมๆ บดบัง พึมพำกับตัวเองไร้เสียง
“นั่นมันตัวอะไรกันแน่?”
สัญชาตญาณของเขาบอกว่าร่างหญิงสาวกึ่งโปร่งใสนั่น อยู่คนละระดับสิ่งมีชีวิตประหลาดตัวอื่น มิใช่ระดับที่ผู้วิเศษฝีมือเท่าๆ ลูเมี่ยนจะรับมือไหว
หากมิใช่เพราะมลพิษที่ถูกผนึกบนหน้าอก กับลวดลายสีดำอมเขียว ซึ่งแม้จะยังไม่ถูกกระตุ้นก็สามารถทำให้สัตว์โลกวิญญาณหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ ลูเมี่ยนสงสัยว่าตนอาจได้สัมผัสประสบการณ์ไม่คาดฝัน
สิ่งนี้สร้างความสงสัยให้เด็กหนุ่ม
“พวกนักเต้นคนอื่นเอาชีวิตรอดกันยังไง?”
เขายืนยันเบื้องต้นแล้วว่าแถวนี้ไม่อันตรายมาก จึงกล้าเต้นระบำเรียกสถิต แต่ก็ยังเกือบจะเกิดอุบัติเหตุ แล้วนักเต้นคนอื่นหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทำนองนี้อย่างไร?
“พรของเราได้มาจากการลักขโมย จึงขาดความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับที่เกี่ยวข้อง? หรือนักเต้นคนอื่นสามารถอัญเชิญมาได้เพียงสิ่งมีชีวิตในระดับพอๆ กับตัวเองเท่านั้น? ผนวกกับเรื่องที่พลัง ‘ระบำเรียกสถิต’ มาจากองค์ซ่อนเร้น จึงไม่เกิดปัญหาใดๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ?” ลูเมี่ยนครุ่นคิดกับตัวเอง ยิ่งไตร่ตรองก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ผิดปกติคือตนเอง
เขาได้ข้อสรุปว่ามลพิษในร่างกายมีระดับสูงเกินไป ถึงจะถูกผนึกไว้บางส่วน บางครั้งบางคราวก็ยังเผลอเรียกสิ่งมีชีวิตประหลาดๆ ที่น่าพรั่นพรึงออกมาได้
“โชคยังดี มลพิษก็ถือเป็นเกราะป้องกันประเภทหนึ่ง…” ลูเมี่ยนถอนหายใจยาว เก็บปรอทเสื่อมทราม จุดโคมไฟคาร์ไบด์ นั่งลงหน้าโต๊ะไม้ และเริ่มเปิดดูบันทึกของโอลัวร์
การอ่านบันทึกศาสตร์เร้นลับจากหลังไปหน้า ถือเป็นงานหินเอาเรื่อง ยิ่งขาดความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว มีบ่อยครั้งที่ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้การศึกษา จำต้องเปิดอ่านบันทึกในช่วงต้นเพื่อศึกษาสัญลักษณ์กับความหมายเชิงศาสตร์เร้นลับ
แต่เด็กหนุ่มมิอาจใจเย็นค่อยๆ อ่านจากหน้าไปหลังได้ ด้วยเหตุผลว่า ‘หากบันทึกเล่มนี้มีข้อมูลสำคัญซ่อนอยู่จริง’ มันก็ต้องอยู่ในเนื้อหาช่วงปีสองปีหลัง—ช่วงเวลาที่หมู่บ้านกอร์ตูเริ่มเกิดความผิดปกติ และคนเลี้ยงแกะเริ่ม ‘ออกล่า’
หลังจากปลุกปล้ำกับความรู้ที่เรียกว่า ‘เวทฟ้าผ่า’ อยู่เกือบสองชั่วโมง ลูเมี่ยนยกธงขาวยอมแพ้ ตัดสินใจว่าค่อยมาสู้ต่อในคืนถัดไป
เด็กหนุ่มล้างหน้าแปรงฟันเล็กน้อย แล้วนอนราบลงบนเตียง
นึกถึงสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เพิ่งอัญเชิญออกมา ลูเมี่ยนวางปรอทเสื่อมทรามไว้ข้างหมอนเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ก่อนจะออกจากหมู่บ้านกอร์ตู เขาลองตรวจสอบมีดสั้นสีเงินผสมดำเล่มนี้มาแล้ว ยืนยันว่ามันได้รับชะตากรรม ‘ทุกข์ทรมานจากการถูกไฟไหม้’ มาจากสัตว์ประหลาดไฟ
ยิ่งเวลาล่วงผ่าน ความมืดมิดยิ่งล้ำลึก แต่ถนนอลเวงไม่เคยสงบแม้แต่วินาทีเดียว เสียงร้องรำทำเพลง เสียงตะโกน เสียงด่าทอคนร้องเพลง เสียงทะเลาะกัน เสียงการวิ่งไล่ เสียงไอจาม เสียงร้องห่มร้องไห้ เสียงเดินไปเดินมา ทั้งหมดดังสลับกัน ดังผสมปนเป ราวกับเป็นการบรรเลงซิมโฟนียามค่ำคืน
ลูเมี่ยนเคยชินกับเสียงรบกวนแล้ว มิหนำซ้ำมันยังมอบความรู้สึกของการมีชีวิตให้เขา
โดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มผล็อยหลับไป
หกโมงเช้า วิหารที่อยู่ไกลๆ ตีระฆังดังกังวานเป็นจังหวะเดียวกับหมู่บ้านกอร์ตู
ลูเมี่ยนตื่นตรงเวลา แต่ไม่อยากลืมตา
ผ่านไปสักไม่กี่นาที เด็กหนุ่มพลิกตัวนั่ง เหน็บปรอทเสื่อมทรามกลับไปไว้ที่เอว
เขาฝันว้าวุ่นทั้งคืน แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ
“สงสัยจะคิดมากไปเอง…” ลูเมี่ยนพึมพำขึ้นมา
เขาเปิดประตูห้อง เดินเข้าไปในห้องน้ำใกล้ๆ แล้วอาศัยแสงอรุณจากนอกหน้าต่าง มองไปที่ตัวเองในกระจกเงา
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อวาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นเลย
สีย้อมผมและส่วนที่ต่อให้ยาวขึ้นล้วนเป็นสิ่งนอกกาย จึงมิได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพร่างกาย
ลูเมี่ยนโน้มตัวลงไปแปรงฟัน
ขณะกลั้วปากก็เห็นชาร์ลีเดินเข้ามาจากมุมหางตา
“นายอยู่ชั้นห้าไม่ใช่หรือไง” ลูเมี่ยนบ้วนปากแล้วหันไปถามชาร์ลี
ชาร์ลีเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวอมเหลืองแล้ว พับแขนเสื้อขึ้นมาตรงข้อศอก หาวคำใหญ่เสร็จแล้วก็พูด
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พวกนั้นตื่นก่อนหกโมงกันทุกคน ห้องน้ำชั้นห้าแน่นขนัดจนใช้การไม่ได้!”
จากนั้นก็ยิ้มอย่างเอิบอิ่ม
“ฉันชอบห้องน้ำชั้นสองที่สุดแล้ว รู้ไหมว่าทำไม? มันสะอาดยังไงล่ะ!”
“เจ้าโลรองต์นั่นถึงจะดูเย่อหยิ่ง แถมยังไม่เคยช่วยงานแม่ แต่ก็มีข้อดีอยู่บ้าง… เขารักความสะอาดมาก ถ้าวันไหนอยู่ที่ห้องก็จะทำความสะอาดห้องทุกวัน ลามมาถึงห้องน้ำรวมด้วย! ฮะฮะฮะ! ถ้าห้องน้ำสกปรกแล้วจะอึไม่ออกหรือยังไงนะ?”
เป็นเขาเองหรือที่ทำความสะอาด… ลูเมี่ยนประหลาดใจไม่เบา
สำหรับเขา ภาพจำของคนหนุ่มนามว่าโลรองต์คือเย็นชา เย่อหยิ่ง แต่งกายดี หัวสูง และไม่เข้าใจสถานการณ์ของแม่ ไม่ใช่คนที่จะอาสาทำความสะอาดห้องน้ำรวมได้เลย
ก่อนหน้านี้ลูเมี่ยนยังคิดว่าคงเป็นผู้เช่าคนอื่นบนชั้นสอง ที่ไม่ทนกับความขี้ตืดของมิสเตอร์เอฟฟ์ ตัดสินใจทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลางด้วยตัวเอง
เห็นใบหน้าที่ดูอิดโรยของชาร์ลี ราวกับคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ลูเมี่ยนถามยิ้มๆ
“เมื่อคืนไปที่ถนนกำแพงเมืองมาหรือไง?”
ถนนกำแพงเมืองคือย่านแสงสีที่มีชื่อเสียงในกรุงทรีอาร์
“อย่างฉันเนี่ยนะจะไป? แต่ในอนาคตต้องไปสักครั้งแน่นอน!” ชาร์ลีพูดพลางบดฟันกรอด “เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงโรงแรมก็สี่ทุ่มแล้ว ไปนั่งดื่มกับพวกที่บาร์จนถึงเที่ยงคืน… ตกดึกยังฝันดีอีก ฮะฮะ! เป็นความฝันที่สวยงามเหลือเกิน… ชาร์ล ชื่อของเราเหมือนกัน แค่ออกเสียงต่างกัน นายคงจินตนาการได้สินะ ยิ่งในฝันมีความสุข ตื่นมาก็ยิ่งเสียใจและ… เอ่อ… เอ่อ…”
“ว่างเปล่า?” ลูเมี่ยนช่วยคิดคำวิเศษณ์
“ใช่ๆๆ!” ชาร์ลีเดินเข้าไปในห้องส้วม แกะเข็มขัดออก
ด้วยท่าทีผ่อนคลาย เขาหรี่ตาที่เดิมก็เล็กอยู่แล้วลง
ลูเมี่ยนยกมือขึ้นบีบจมูก แล้วถามแซว
“เมื่อคืนฝันวาบหวิวมาสินะ”
ชาร์ลีสะดุ้ง รีบเขย่ามือขวาพลางหัวเราะเบาๆ
“ฝันนั่นสมจริงที่สุดในชีวิตฉันเลย นางในฝันสวยกว่าสาวๆ ที่ถนนกำแพงเมืองเสียอีก ทั้งน่ารักและน่าหลงใหล ทำเอาไม่อยากจะตื่นเลย”
“ดูทรงแล้ว นกกระจอกคงยังไม่ทันกินน้ำแน่ ถือว่าโชคดีแล้วล่ะที่ตื่นขึ้นมา” ลูเมี่ยนแซว
ชาร์ลีมิได้โต้แย้ง เพียงพูดหน้าขรึม
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยวางแผนว่า เมื่อได้เงินมา พอถึงวันอาทิตย์ที่ไม่ต้องทำงาน ฉันจะไปถนนไนติงเกล ที่นั่นมีคาบาเร่ต์เพียบ สามารถมองหา ‘ลูกแมวน้อย*’ ในราคาไม่แพง… เพื่อนร่วมงานของฉันบอกว่า ถ้าเป็นแถวนั้นล่ะก็ แค่ห้าสิบสองโกเปต์ก็ให้รางวัลตัวเองได้แล้ว…”
“แต่ตอนนี้เลิกสนไปแล้วล่ะ”
(*ลูกแมวน้อยในสแลงภาษาฝรั่งเศสมีความหมายแฝงสองประการ หนึ่ง โสเภณี สอง อวัยวะเพศของผู้หญิง)
เล่าถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา กดเสียงให้เบาลงแล้วพูดกับลูเมี่ยน
“มีอะไรจะเล่าให้ฟัง… ในโรงแรมที่ฉันทำงานน่ะ มีแขกคนหนึ่งทำดีกับฉันมาก เจาะจงเลือกให้ฉันนำอาหารไปส่ง แถมยังขอให้ช่วยจัดห้อง”
“ผู้ชาย?” ลูเมี่ยนจงใจถามแกล้ง
ชาร์ลีรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ผู้หญิงน่ะ… ฉันสงสัยว่าเธออาจจะชอบฉัน ตอนนี้ก็เลยลังเลขึ้นมา ถ้าวันดีคืนดีเธอยื่นข้อเสนออย่างว่ามาจริงๆ ฉันควรละทิ้งหลักการของตัวเองดีไหม? ในทรีอาร์น่ะ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก ฉันอาจจะได้ทองคำก้อนแรกจากเธอเลย ผ่านไปสักพักก็อาจมีโรงแรมเป็นของตัวเอง”
“นึกว่าอย่างนายจะไม่ลังเลเสียอีก” แม้นรู้จักกันได้เพียงสองวัน แต่ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปว่าขีดจำกัดล่างของชาร์ลีสามารถยืดหยุ่นได้
ชาร์ลีถอนหายใจ พูดจาใบหน้าเคร่งเครียด
“เธอน่าจะเกินห้าสิบแล้ว”
ลูเมี่ยน ‘โอ้’ ลากเสียงยาว แสดงความรู้สึกในใจผ่านทางสีหน้า
เขาบอกลากับชาร์ลี เดินกลับห้องตัวเองเพื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อแจ็กเกตและกางเกงขายาวให้กลมกลืนไปกับถนนอลเวง แล้วออกไปซื้อแพนเค้กหัวหอมบนถนนในราคาหกโกเปต์ ซื้อไวน์แอปเปิลเปรี้ยวครึ่งลิตรในราคาหนึ่งริกต์ นั่งลงตรงมุมถนน เริ่มกินอาหารเช้าอย่างไม่รีบร้อน
ท่ามกลางเงาของอาคารสองฝั่งที่ฉาบปกคลุม เด็กหนุ่มดื่มด่ำไปกับความหวานของแป้งกับหัวหอม คอยมองดูพ่อค้าแม่ขายตะโกนเรียกลูกค้า มองดูแม่บ้านจับจ่าย มองดูคนงานเร่งฝีเท้าเดินงุดๆ มองดูเด็กๆ ที่เก็บขยะจากพื้น มองดูเครื่องกีดขวางในซอยอื่นไม่ไกล
จนกระทั่งเก้าโมงเช้า ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ตบเสื้อผ้า เดินกลับไปยังโรงแรมระกาทอง ขึ้นไปยังชั้นสาม เคาะประตูห้องหมายเลขห้า
นักค้าข่าว อ็องโตนี·รีด พักอาศัยอยู่ที่นี่
หลังจากสิ้นเสียงเคาะ ‘ปังปังปัง’ ก็มีเสียงอันหนักแน่นของผู้ชายดังออกมา เป็นสำเนียงทางชายฝั่งตะวันตก
“เข้ามาได้”
ลูเมี่ยนหมุนลูกบิดประตูเข้าไป กลิ่นแรกที่เตะจมูกค่อนข้างฉุน คล้ายกับสะระแหน่ คงเอาไว้ไล่แมลง
ไม่นานก็ได้เห็นชายวัยสี่สิบนั่งอยู่ข้างเตียง
อีกฝ่ายสวมเสื้อสีเขียวกองทัพ กางเกงสีเดียวกัน สวมรองเท้าหนังไร้เชือก ผมตัดสั้นเกรียนจนเหลือเพียงชั้นบางๆ
ท่าทีของเขาดูไม่กระฉับกระเฉง ดูไม่เจนโลกเหมือนทหารผ่านศึก ลูกผมสีเหลืองอ่อนถอยร่นขึ้นไปมากกว่าปกติ หน้าผากจึงดูกว้าง ใบหน้าเริ่มมีเนื้อนวล หนวดเคราโกนเกลี้ยงเกลา ผิวหน้าค่อนข้างมัน รูขุมขนบนจมูกเต็มไปด้วยจุดสิ่งสกปรกสีดำเล็กๆ บรรยากาศรวมๆ ดูซื่อสัตย์จริงใจ
อ็องโตนี·รีดหันมามองลูเมี่ยน กระจกตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนภาพของคู่สนทนา
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด เด็กหนุ่มพลันรู้สึกไม่สบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
……………………………………………………..