ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 113 ผู้เช่า
ตอนที่ 113 ผู้เช่า
“นายนี่มันน่าสนใจจริงๆ! น่าสนใจมาก!”
ชาร์ลีที่เมาปลิ้นเกาะไหล่ลูเมี่ยนเดินออกจากบาร์ที่ปูด้วยกระเบื้อง
ข้างในบาร์ยังมีคนอีกราวๆ ยี่สิบกำลังร้องเพลง เล่นพนัน ตะโกนโหวกเหวก ปลดปล่อยอารมณ์ในใจอย่างเต็มเปี่ยม
เฉพาะในเวลานี้ พวกเขาดูเหมือนมิใช่พนักงานเงินเดือนกระจิริด แต่เป็นผู้กุมชะตากรรมตัวเอง
“ฉันนึกว่านายจะอยู่เล่นบิลลิบีกับพวกเขาเสียอีก” ลูเมี่ยนที่วางมืออยู่บนหลังชาร์ลี ยิ้มขณะเดินตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นสู่ชั้นบน
บิลลิบีเป็นเกมพนันยอดนิยมในทรีอาร์ ซึ่งลูเมี่ยนก็เพิ่งมีโอกาสได้ศึกษากฎกติกา
แตกต่างจากเกม ‘พิชิตจอมมาร’ ที่นิยมในทรีอาร์ บิลลิบีสามารถเล่นได้ด้วยกระดาษแผ่นเดียว — ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เล่น ผู้ดำเนินเกมจะวาดช่องบนกระดาษตั้งแต่ 9 ถึง 64 ช่อง โดยแต่ละช่องจะเขียนเลขลงไป และให้ผู้เล่นเลือกช่องเพื่อวางเดิมพัน
สุดท้าย ผู้ดำเนินเกมจะสุ่มหา ‘ลักกี้นัมเบอร์’ ด้วยการจับสลาก โยนเหรียญ หรือโยนลูกเต๋า ใครที่เลือกช่องเดิมพันถูกก็จะได้รับเงินไปทั้งหมด
หากไม่มีใครถูกเลย เงินทั้งหมดจะตกเป็นของผู้ดำเนินเกม
คนที่มาเที่ยวบาร์ใต้ดินของโรงแรมระกาทอง ส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าของโรงแรมหรือไม่ก็คนยากจนในละแวกใกล้เคียง กระเป๋าสตางค์พวกเขาโดยมากแล้วแฟบ จึงมักใช้เหล้าแทนเงินเพื่อเดิมพัน ตัวอย่างเช่น ผู้ชนะบิลลิบีในแต่ละรอบจะได้เหล้าหนึ่งแก้วที่ทุกคนลงขันกันซื้อ
ชาร์ลีเรอยาวๆ
“ฉันยังไม่ได้รับค่าจ้างของสัปดาห์นี้เลย ไม่อาจทำตัวสุรุ่ยสุร่ายได้!”
แล้วจึงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงตื่นเต้น
“รู้อะไรไหม? ตอนนี้ฉันทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟฝึกหัดที่โรงแรมหงส์ขาว บนถนนนวชาตในเขตน้ำพุร้อนนั่นแหละ”
“หมายความว่ายังไงน่ะหรือ? มันก็หมายความว่าฉันสามารถสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีแดง ชุดทำงานสีดำ และผูกโบหูกระต่ายเท่ๆ แถมทุกเดือนยังจะได้ค่าจ้างหกสิบห้าเฟลคินอีก! ถ้าฉันได้เป็นพนักงานเสิร์ฟเต็มตัวเมื่อไร ได้ยินว่าในช่วงท่องเที่ยวจะได้ทิปวันละเจ็ดเฟลคินเชียวล่ะ!”
“ถ้ารวยเมื่อไรนะ ฉันจะเปิดโรงแรมของตัวเอง ไม่สิ เอาเป็นโรงแรมหรูเลย ถึงตอนนั้นฉันจะจ้างนายเป็นหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟ… ไอ้เวรนั่นไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เดินไปเดินมาในชุดเทลโค้ต (Tailcoat) คอยจับผิดพวกเรา ก็ได้ค่าจ้างรายเดือนตั้ง 150 เฟลคินแน่ะ!”
พนักงานเสิร์ฟฝึกหัดได้ค่าจ้างมากกว่ากรรมกรอีกแฮะ… ลูเมี่ยนอาจมีกลิ่นเหล้าติดตัว แต่แววตาของเขาปราศจากความเมามาย คอยพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบจะไม่สังเกตเห็น
เด็กหนุ่มจำได้ว่าตอนต้นปีเคยอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องหนังสือ เนื้อหาพรรณนาไว้อย่างปลื้มปีติว่ากรรมกรในทรีอาร์มีรายได้ประมาณ 700 เฟลคินต่อปี
เวลานั้นลูเมี่ยนยังกะเกณฑ์ไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นจำนวนที่มากหรือน้อย เพราะท้ายที่สุดแล้ว สมัยยังเป็นเด็กเร่ร่อน เขาสนใจเพียงว่าในแต่ละวันจะได้กินมากน้อยแค่ไหน มีผู้ใจบุญให้เงินมากี่ริกต์ แม้กระทั่งย้ายมาอยู่หมู่บ้านกอร์ตู ชาวบ้านส่วนใหญ่จะมีรายรับเป็นสินค้า ทำให้เด็กหนุ่มรู้เพียงราคาสินค้าบางชนิด รวมถึงมูลค่าของทองคำกับธนบัตรต่างๆ โดยที่มองไม่เห็นภาพรวมของสังคมเมือง
แน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโอลัวร์มีรายได้สูงลิบลิ่ว จนครอบครัวไม่ต้องกังวลกับสถานะทางการเงินเลย
ตามที่ลูเมี่ยนทราบมา หลังจากโอลัวร์โด่งดังแล้ว เมื่อยอดตีพิมพ์เพิ่มขึ้น จำนวนบทความที่ลงในคอลัมน์มากขึ้น รายได้ต่อปีของโอลัวร์ก็พุ่งทะยาน รายได้รวมจากค่าลิขสิทธิ์ของปีที่แล้วอยู่แถวๆ 130,000 เฟลคิน
ทว่า โอลัวร์หาเงินได้มากก็ใช้มาก ค่าใช้จ่ายหลักๆ คือการซื้อคาถา วัตถุดิบ และความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับ นอกจากนั้นยังคอยจุนเจือสมาชิกบางคนในสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกที่อัตคัดขัดสน รวมถึงการบริจาคให้องค์กรการกุศลที่รัฐบาลหรือศาสนจักรก่อตั้งขึ้น
แต่สิ่งที่ลูเมี่ยนไม่เข้าใจเลยก็คือ เมื่อเขาอำลาหมู่บ้านกอร์ตู ในบ้านกลับไม่พบ ‘ใบเสร็จฝากเงิน’ แม้แต่ใบเดียว
เด็กหนุ่มรู้ดีกว่าใครว่าโอลัวร์มีนิสัยอดออม ที่กล้านำเงินไปละลายมากเพียงนั้น ก็หลังจากฝากเงินไว้กับธนาคารซูสิตและอื่นๆ ไว้มากโขแล้ว
สำหรับเรื่องนี้ ลูเมี่ยนตั้งธงสงสัยไว้ก่อนว่า ในระหว่างที่ตนกับพี่สาวถูกพาตัวไปเป็นเครื่องสังเวยหรือภาชนะจนสูญเสียอิสรภาพร่างกาย เงินของโอลัวร์อาจถูกพวกหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์กับลิ่วล้อขโมยไป
เพียงก้าวมาถึงชั้นสองพร้อมกับชาร์ลีที่กำลังกอดคอกัน ลูเมี่ยนได้ยินเสียงคร่ำครวญอย่างเป็นทุกข์
“ไอ้สารเลว!”
ปัง! ตามมาด้วยเสียงประตูห้องถูกกระแทกปิด กักขังเสียงคร่ำครวญไว้แต่ภายในห้อง เหลือเพียงเสียงสะท้อนจางๆ ตามทางเดิน
ร่างหนึ่งสวมชุดทักซิโด้สีดำเรียบร้อย เดินจากสุดทางเดินอีกฝั่งมายังบันได
นี่ก็เป็นชายหนุ่มอายุไม่มาก รุ่นราวคราวเดียวกับชาร์ลี ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกหวีแสกสามต่อเจ็ด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มปราศจากอารมณ์ใด ริมฝีปากบางๆ กำลังเม้มแน่น
หน้าตาค่อนไปทางดี ถือหมวกสีดำ คล้ายกับกำลังไปร่วมงานสังคมชั้นสูง ซึ่งไม่เข้ากับบรรยากาศของโรงแรมระกาทองเลย
ที่ออกจากห้องมาพร้อมกันคือเสียงสะอื้นของสตรี ซึ่งแฝงไว้ด้วยความทุกข์ใจและสิ้นหวัง
ชาร์ลีที่หน้าแดงก่ำ จ้องตามหลังชายคนดังกล่าวไปจนกระทั่งลับสายตา ก่อนจะเบะปากนินทา
“ไอ้สารเลวเอ๊ย!”
“นายรู้จักเขาหรือ” ลูเมี่ยนค่อนข้าง ‘ใส่ใจ’ กับเพื่อนบ้านรอบข้าง อย่างน้อยเขาอาจต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะ ยิ่งรู้จักสภาพแวดล้อมดีเพียงไหนก็ยิ่งปลอดภัย
ชาร์ลีกล่าวด้วยเสียงดูแคลน
“หมอนั่นชื่อโลรองต์ ลูกชายของนางลาคาซานที่อยู่ห้อง 201”
“นางลาคาซานต้องทำงานเย็บถุงเท้ากับงานฝีมืออื่นๆ ถึงสิบหกชั่วโมงต่อวันเพื่อเลี้ยงดูไอ้เวรนั่น แต่มันกลับก็เอาแต่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบหรู ใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับร้านกาแฟแพงๆ โดยอ้างว่าจะได้พบปะกับชนชั้นสูงเพื่อเปิดช่องทางรวย!”
“หึหึ คงคิดว่าตัวเองเก่งมากมั้ง…”
ก่อนที่ชาร์ลีจะพูดจบ เสียงทะเลาะวิวาทหนักข้อของชายหญิงคู่หนึ่งก็ดังมาจากสักห้องหนึ่ง
ดูเหมือนกำลังแลกเปลี่ยนคำดูถูกกันโดยไม่มีใครยอมใคร
“เป็นคู่รักที่หนีมาอยู่ด้วยกันที่ชั้นสามน่ะ พอเงินใกล้หมดก็ทะเลาะกันทุกที” ชาร์ลียิ้มเยาะ “สหาย นายต้องทำใจให้ชินนะ ที่นี่เป็นย่านตลาด ถนนอลเวง โรงแรมระกาทอง นอกจากที่เห็นยังมีคนป่วยหนัก บุคคลล้มละลาย พ่อค้าที่หลอกขายของให้นักท่องเที่ยว คนต่างถิ่นที่ไม่เคยออกไปไหนเลย มากสุดคือลงไปดื่มในบาร์ โสเภณีข้างถนนที่เงินขาดมือ คนบ้าที่มีสติสตังเป็นบางครั้ง ช่างก่อสร้างตกงาน ทหารผ่านศึก คนแก่แกล้งจน และอาชญากรมีค่าหัว…”
“พวกเขาต้องขอบคุณที่มิสเตอร์เอฟฟ์เป็นคนดี เว้นแต่จะผิดนัดชำระค่าเช่า ในเรื่องอื่นเขามีความอดทนสูงมาก”
“มิสเตอร์เอฟฟ์… เจ้าของโรงแรม? คนที่คุณนายเฟลล์บอกว่าขี้ตืด?” ลูเมี่ยนย้อนถาม
ชาร์ลีหัวเราะทันที
“ใช่! คนขี้ตืดที่ใจกว้าง อย่าลืมว่าเขาเตรียมกำมะถันให้ทุกห้องฟรีๆ เลยนะ!”
“สะอึ๊ก! ฉันไม่ได้เจอมิสเตอร์เอฟฟ์มาหลายวันแล้ว… กลัวว่าเขาจะขี้ตืดจนไม่ยอมไปถนนกำแพงเมืองหรือเจ้าหญิงสีชาด แต่หน้ามืดสอยโสเภณีริมถนนอลเวงมาสักคนจนติดโรคร้าย…”
พูดจบ ชาร์ลีโบกมือ
“ชาร์ล สะอึ๊ก! ฉันขอตัวขึ้นไปนอนก่อน พรุ่งนี้ต้องออกตั้งแต่หกโมงเช้า ต้องไปถึงโรงแรมให้ทันเจ็ดโมง”
“สะอึ๊ก! ถ้านายหางานไม่ได้ บอกฉันได้เลยนะ เดี๋ยวช่วยแนะนำให้ ถ้ามาเป็นคนงานที่โรงแรมของฉัน อย่างน้อยๆ ก็ได้เดือนละห้าสิบเฟลคิน ทำไปนานๆ แม้แต่เจ็ดสิบห้าเฟลคินก็เป็นไปได้ แถมยังมีอาหารฟรีให้ทุกมื้อ ตกเย็นยังมีไวน์ให้อีกคนละลิตร!”
“ได้เลย” ลูเมี่ยนยิ้มขณะมองชาร์ลีเดินขึ้นไป
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองเงียบงัน
“การยั่วยุง่ายๆ ไม่ช่วยในการย่อยโอสถสักเท่าไร…”
เขาประกอบ ‘เครื่องวัดความโง่’ ในบาร์เพื่อหวังยั่วยุทุกคนที่นั่น และผลลัพธ์ก็เป็นไปด้วยดี แต่ก็มิได้นำไปสู่การย่อยโอสถเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้ ระหว่างเดินทางจากดาลีแอชมายังทรีอาร์ ลูเมี่ยนหมั่นยั่วยุคนอยู่เนืองนิจ บางครั้งก็สัมผัสได้ว่าโอสถกำลังย่อย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้ผล
หากเขาไม่สามารถหาวิธีสวมบทบาทที่ถูกต้อง เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งปีเพื่อย่อยโอสถนักยั่วยุให้หมด
ระหว่างทางกลับห้อง 207 ลูเมี่ยนได้ยินเสียงไอแรงๆ จากชั้นบน ได้ยินเสียงผู้หญิงด่าคนรักว่า ‘ไอ้ทึ่มสันหลังยาว’ ‘ไอ้คนไร้ค่า’ ได้ยินเสียงปืนดัง ‘ปัง!’ ตามด้วยเสียงคนจำนวนมากวิ่งเฮโลอยู่ด้านนอก
นี่คือโรงแรมระกาทอง นี่คือถนนอลเวง
ตามที่ชาร์ลีบอก เมื่อตกกลางคืน แม้แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเดินเตร็ดเตร่คนเดียว ต้องมีเพื่อนร่วมงานสักคนช่วยเสริมความอาจหาญให้กันและกัน
หยิบกุญแจทองเหลืองออกมา ลูเมี่ยนเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไป
ดูเหมือนว่าฝูงตัวเรือดจะสัมผัสถึงบางอย่างได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ย้อนกลับมา
ลูเมี่ยนได้กลิ่นกำมะถัน จึงเงยหน้ามอง และพบจดหมายหนึ่งฉบับนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ หยิบกระดาษที่พับสี่เหลี่ยมจัตุรัสขึ้นมา
จดหมายตอบกลับจากมาดามเมจิกเชี่ยน? ลูเมี่ยนพึมพำขณะคลี่จดหมาย อ่านโดยอาศัยแสงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง
“ฉันดีใจที่เธอมาถึงทรีอาร์ได้อย่างปลอดภัย สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเธอชำนาญหลักพื้นฐานของการหลบหนีในยามถูกไล่ล่าแล้ว อีกทั้งยังได้สัมผัสประสบการณ์การเดินทางในด้านมืดของสังคม”
“วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ บ่ายสามโมงครึ่ง ร้านกาแฟเมสันในเขตสวนพฤกษศาสตร์ บูธ D… นักจิตวิทยาคนหนึ่งจะรอรักษาเธอ”
“สำหรับช่วงนี้ งานของเธอคือการไปแถวๆ สุสานใต้ดินในเขตหอดูดาว ตามหาชายที่ชื่อ ‘ออสตา·ทรูเอล’ เขามักจะปลอมตัวเป็นจอมเวทอยู่แถวนั้น คอยหลอกเอาเงินจากนักท่องเที่ยวและชาวเมือง”
“จะด้วยวิธีใดก็ได้ ทำให้ออสตา·ทรูเอลไว้วางใจ และหาโอกาสเหมาะๆ เพื่อเปิดเผยตัวว่าเธอก็มีพลังวิเศษเช่นกัน”
เขตสวนพฤกษศาสตร์และเขตหอดูดาวล้วนอยู่ฝั่งตะวันออกของเขตตลาดคนซื่อ ทั้งสองเขตที่ว่ามาอยู่ติดกัน อันแรกอยู่ทางใต้ อันหลังอยู่ทางเหนือ ติดกับแม่น้ำเซอเรนโซ่
ลูเมี่ยนอ่านจดหมายตอบจากมาดามเมจิกเชี่ยนซ้ำอีกหลายรอบ ท่องจำสถานที่ เวลา และชื่อคนจนขึ้นใจ ก่อนจะจุดไม้ขีดไฟเผากระดาษที่เขียนด้วยภาษาอินทิส
จัดการทุกอย่างเสร็จ เด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำใกล้ๆ เพื่อทำความสะอาดร่างกายง่ายๆ จากนั้นก็หยิบ ‘ปรอทเสื่อมทราม’ ที่พันผ้าสีดำไว้ออกมา ถอดเสื้อนอกออก ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
ทิวทัศน์ตรงหน้าคือเพดานที่เต็มไปด้วยร่องรอยการเดินของตัวเรือด ได้ยินเสียงไอแห้งที่ดังๆ หยุดๆ อย่างต่อเนื่อง ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ รวมถึงเสียงทะเลาะกันเบาๆ
ผ่านไปสักพัก คู่รักที่หนีมาอยู่ด้วยกัน ใช้การเคลื่อนไหวร่างกายอันหนักหน่วงผสมผสานกับเสียงหายใจสั่นกระเส่าเร่าร้อน เพื่อป่าวประกาศว่าพวกเขากลับมาคืนดีกันแล้ว
บนถนนด้านนอกตึก เสียงหยาบๆ กำลังร้องเพลงลามกจกเปรต แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงปืน ตามด้วยเสียงสบถด่า เสียงไม้ปะทะกัน และเสียงมีดเสียบเข้าไปในเนื้อ
เมื่อเทียบกับหมู่บ้านกอร์ตู ยามค่ำคืนของที่นี่อึกทึกครึกโครมกว่ามาก
……………………………………………………..