ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 109 ความหวังเล็กๆ
ตอนที่ 109 ความหวังเล็กๆ
หลายวันก่อน ใต้เชิงเขาสีเลือด ข้างกำแพงเมืองที่บิดเบี้ยว
ลูเมี่ยนคุกเข่าลงบนพื้น มองไปยังมาดามลึกลับที่ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
คำพูดของอีกฝ่ายแทรกซึมเข้ามาในโสตประสาทเด็กหนุ่ม เพียงแต่มันไม่ชัดเจน
สองฝ่ามือลูเมี่ยนที่ใช้พยุงตัว จากแบอยู่กลายเป็นกำแน่น ราวกับจะบีบดินในมือให้แหลกเป็นของเหลว
เมื่อมาดามลึกลับหยุดยืนห่างออกไปราวหนึ่งเมตร เด็กหนุ่มฝืนพยุงตัวยืน ถามด้วยความร้อนรน
“ไหนคุณบอกว่ายังมีทางรอดไง?”
“คุณเป็นคนพูดไม่ใช่หรือ ว่าถ้าผมทำลายวัฏจักรด้วยตัวเองได้ ก็จะช่วยโอลัวร์กับคนอื่นๆ ได้?”
เสียงของลูเมี่ยนแหบพร่าขึ้นเรื่อยๆ
มาดามลึกลับไม่ตอบ เพียงมองเด็กหนุ่มอย่างเงียบงัน ความสงสารในแววตามิได้ลดลงเลย
ลูเมี่ยนชะงักนิดหนึ่ง ถามอย่างเปี่ยมหวัง
“ยังมีทางช่วยอยู่จริงๆ ใช่ไหม?”
“คงไม่ใช่ทุกเรื่องที่เป็นเพียงความฝัน… ในตอนที่ผมคุยกับโอลัวร์ เธอสามารถบอกเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เช่นการเอ่ยถึงพระนามอันทรงเกียรติอย่างคลุมเครือ สามารถชี้เป้าไปยังสองตัวตนได้!”
เด็กหนุ่มจ้องมาดามอย่างไม่ละสายตา คอยเก็บทุกรายละเอียด เต็มไปด้วยความหวังและความกลัว
ท้ายที่สุด มาดามลึกลับพยักหน้าเล็กน้อย
“ก็ยังมีทางช่วยจริงๆ นั่นแหละ”
ดวงตาลูเมี่ยนเปล่งประกายขึ้นมาทันที ใจจดใจจ่อรอให้อีกฝ่ายพูดประโยคถัดไป
มาดามกล่าวเสียงอ่อนโยน
“ในทางโลก โอลัวร์ได้จากไปแล้ว แต่ในทางศาสตร์เร้นลับ เธอยังไม่ตายเสียทีเดียว”
“ยังจำได้ไหม ทุกครั้งที่เต้นระบำเรียกสถิต ในช่วงท้ายจะได้ยินเสียงเล็กๆ ที่แผ่วเบา คล้ายกับดังมาจากข้างในตัวเอง? ยังจำได้ไหม ในช่วงท้ายของพิธีกรรมคืนที่สิบสอง มีแสงเล็กๆ ลอยจากโอลัวร์กับคนอื่นๆ เข้ามาในหน้าอกเธอ?”
“นั่นคือวิญญาณของพวกเขาหรือ? เสียงของพวกเขาหรือ?” ลูเมี่ยนขัดจังหวะมาดามลึกลับด้วยคำถามอันร้อนรน
สุภาพสตรีตอบด้วยน้ำเสียงสงบเจือความเห็นใจ
“นับว่าเป็นเพียงเศษวิญญาณ”
“ในช่วงท้ายของคืนที่สิบสอง เธอกลายเป็นภาชนะให้กับพลังอันน่าพรั่นพรึงที่ถูกส่งลงมาจากองค์ซ่อนเร้น ส่งผลให้เศษวิญญาณของเหล่าสาวกรอบตัวเธอ รวมถึงเครื่องบูชาต่างๆ ล้วนแล้วแต่ถูกเธอดูดซับเอาไว้ ยกเว้นเพียงกิโยม·เบเนต์ผู้คอยดำเนินพิธี”
“ในภายหลัง เศษวิญญาณเหล่านี้รวมถึงพลังที่มากล้นไปด้วยมลพิษ ล้วนถูกพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ของฉันผนึกไว้ในหน้าอกซ้ายของเธอ”
“ดังนั้น ยิ่งเธอ ‘ตื่น’ มากขึ้นในความฝัน จนสามารถรับรู้วันเวลาและวัฏจักร โอลัวร์กับชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ยิ่งเสมือนจริงมากขึ้น ถึงขั้นตระหนักรู้ในตัวเอง และมีความคิดเป็นของตัวเอง”
“ดังนั้น ถ้าเธออยากตื่นจากความฝันอย่างแท้จริง อยากคืนชีพพลังวัฏจักรที่กระจายไปรอบๆ ซากปรักหักพัง เธอต้องคิดหาทางออกด้วยตัวเอง ค้นหาความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด เผชิญหน้ากับทุกสรรพสิ่ง ไล่ล่าความหวังอันริบหรี่”
“ถ้าให้ฉันแก้ไข ตัวเลือกก็มีเพียงหนึ่งเดียว คือการทำลายเธอกับซากปรักหักพังของหมู่บ้านกอร์ตูให้สิ้นซาก ไม่อย่างนั้นมลพิษในตัวเธอจะแพร่กระจายออกไปอย่างไม่อาจยับยั้ง ในแง่ดังกล่าว โอลัวร์กับทุกคนก็จะถือว่าตายอย่างแท้จริงในทางศาสตร์เร้นลับ”
ได้ยินมาดามลึกลับเอ่ยถึงพิธีกรรมในคืนที่สิบสอง ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกกลับไป
หัวสมองของเขาปวดแปลบฉับพลัน โดยในนั้นมีเศษเสี้ยวภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้น:
โอลัวร์เจ้าของแววตาอันว่างเปล่า ผลักเขาออกจากแท่นบูชา
ละอองแสงลอยออกจากโอลัวร์และชาวบ้านรอบข้าง หลั่งไหลเข้ามายังวังวนบนหน้าอกของเขา
หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์เผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด แล้วรีบหันหลังหนีออกจากแท่นบูชา
แต่นอกเหนือจากนี้ หากไม่นับเหตุการณ์ที่เกิดในความฝัน ลูเมี่ยนจดจำอะไรไม่ได้แล้ว ราวกับมีพลังงานบางอย่างป้องกันมิให้เขาระลึกถึง
ใบหน้าเด็กหนุ่มเริ่มบิดเบี้ยว ร่างกายสั่นสะท้านขณะพึมพำ
“ผม… ลืมไปหลายเรื่องมาก…”
มาดามพยักหน้า
“ถือว่าปกติแล้ว… มันคือกลไกการป้องกันตัวตามจิตใต้สำนึก มิให้ความทรงจำที่เศร้าโศกเกินไปทำร้ายจิตใจเธอจนแตกสลาย เข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด แล้วอีกอย่าง มีบางสิ่งที่เธอไม่ได้เห็นกับตาและไม่ทราบความจริง แน่นอนว่าฉันก็เช่นกัน”
“อา… หลังจากนี้ฉันจะส่งเธอไปทำงานในทรีอาร์ ที่นั่นฉันรู้จักนักจิตวิทยามือดีหนึ่งคน ไม่สิ สองคน สามารถนัดหมายให้ได้ ดูว่าใครว่างมารักษาเธอบ้าง เผื่อจะจดจำอะไรได้มากขึ้น พยายามรื้อฟื้นสิ่งที่เกิดขึ้นในกอร์ตูให้ได้มากที่สุด”
ลูเมี่ยนฟังด้วยความรู้สึกมากมายที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ แต่ถ้อยคำนับพันที่เอ่อล้นมาถึงปาก กลับถูกกลั่นจนเหลือเพียงหนึ่งคำ
“ขอบคุณครับ…”
เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ถามอย่างร้อนรน
“ถ้าอยากคืนชีพให้โอลัวร์ ผมต้องทำยังไงบ้าง”
มาดามตอบอย่างถอนใจ
“ฉันก็ไม่รู้”
เมื่อเห็นแววตาลูเมี่ยนหม่นหมองฉับพลัน หญิงสาวรีบเสริม
“แต่ขอให้เธอเชื่อว่า โลกนี้มีปาฏิหาริย์ที่แท้จริงอยู่”
“องค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ฉันเคยเอ่ยถึงไป คือตัวแทนของ ‘ปาฏิหาริย์’”
ความสิ้นหวังและแอบหวัง เติบโตอย่างบ้าคลั่งในใจลูเมี่ยนพร้อมๆ กัน
แม้เด็กหนุ่มจะเผื่อใจไว้แล้วว่ามาดามลึกลับตรงหน้าอาจเพียงแค่ปลอบประโลมตน แค่ให้ความหวังตน แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“คุณเคยบอกว่าหลังจากผมไขปริศนาความฝันได้ จะยอมบอกพระนามขององค์ผู้ยิ่งใหญ่”
สีหน้าแววตาของมาดามเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที น้ำเสียงกลายเป็นสำรวม
“เอาล่ะ จงจำเอาไว้ให้ดี”
“พระนามอันทรงเกียรติของพระองค์ก็คือ:”
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
เมื่อคำเหล่านั้นถูกเปล่ง ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนได้เข้าสู่ภวังค์ ราวกับกำลังเห็นสายหมอกสีเทาจาง และเหนือหมอกสีเทาเหล่านั้น ในตำแหน่งสูงล้ำไร้สิ้นสุด มีปราสาทหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอย่างเลือนราง
ในเวลาเดียวกัน ทั่วทั้งหมู่บ้านกอร์ตูเริ่มสั่นสะเทือน สายหมอกสีเทาจางที่ปกคลุมอยู่ทั่วเจือจางลงด้วยความเร่ง
เมื่อลูเมี่ยนได้รับสติและการมองเห็นกลับคืน แสงแดดกำลังสาดลงมาจากฟากฟ้า ฉาบภูเขาเลือดและทุ่งร้างด้วยสีทองอร่าม
ลูเมี่ยนนึกทบทวนพระนามสามท่อนเมื่อสักครู่ นึกทบทวนบทสนทนากับโอลัวร์ในความฝัน
หัวใจกลับมาเจ็บแปลบอีกครั้ง จึงยิ้มอย่างขื่นขม
“ผมนึกว่าจะมีคำนิยามที่เกี่ยวข้องกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต”
มาดามลึกลับในชุดกระโปรงยาวสีส้ม ‘อืม’ หนึ่งคำแล้วพูด
“ในอนาคตอาจจะมี แต่ถ้าตอนนี้สวดวิงวอนถึงพระองค์ด้วยนิยามอื่นนอกจากสามท่อนข้างต้น ฉันไม่รับประกันว่าจะไปถึงพระองค์”
“เธอคงรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันเสี่ยงแค่ไหน”
ลูเมี่ยนเงียบไปหลายวินาที แล้วจึงถามอย่างมีหวังเล็กๆ
“หากผมช่วยทำงานให้คุณอย่างขยันขันแข็ง จะมีสักวันไหมที่สามารถวิงวอนขอให้พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ช่วยคืนชีพให้โอลัวร์?”
“นั่นคือหนึ่งในทางเลือก” หญิงสาวกล่าวเสียงเบา “เธอสามารถมองหาหนทางอื่นด้วยตัวเอง ฉันจะไม่ห้าม เพียงอยากเตือนเอาไว้ว่า การคืนชีพในหลายๆ วิธีจะมาพร้อมข้อบกพร่องร้ายแรง”
ลูเมี่ยนผงกหัว เป็นนัยว่าทราบดี
เขาไม่กล้าถามเรื่องนี้สักเท่าไร แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ
“โอกาสในการคืนชีพ… มีมากน้อยแค่ไหน”
มาดามลึกลับเหลือบมองเด็กหนุ่ม ถอนหายใจแล้วตอบ
“น้อยมาก… แต่ฉันรู้ว่าเธอจะยังคงไล่ล่ามัน”
ลูเมี่ยนจิกปากแน่น แต่ไม่ได้กล่าวคำใด
ใช่ว่าเขาไม่อยากพูดว่า ‘ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อคืนชีพโอลัวร์ให้ได้!’ แต่เด็กหนุ่มหวั่นเกรงว่าหากตนเปิดปาก อารมณ์อันพลุ่งพล่านและความเศร้าโศกจะล้นทะลักออกมา
สองสามวินาทีให้หลัง เขาถามด้วยเสียงแหบแห้ง
“คุณอยากให้ผมทำอะไรในทรีอาร์”
“เข้าร่วมองค์กรลับ ช่วยฉันรวบรวมข้อมูล” มาดามกล่าวเรียบง่าย “สำหรับวิธีติดต่อ ไว้จะบอกอย่างละเอียดเมื่อเธอไปถึงทรีอาร์แล้ว”
สุภาพสตรีเสริม
“ยังมีอีกหนึ่งวิธีในการสืบหาความจริงเบื้องหลังความทรงจำของเธอ… ลองไปถามจากพวก ‘ผู้รอดชีวิต’ ดูสิ”
“ผู้รอดชีวิต?” ลูเมี่ยนหรี่ตาทันที
มาดามพยักหน้า
“นอกจากเธอ ยังมีอีกห้าคนที่รอดชีวิต… คุณนายปัวริส บีโอส ลูอิส·ลุนด์ คาสซี่ กลุ่มนี้ออกจากหมู่บ้านกอร์ตูก่อนคืนที่สิบสอง และกิโยม·เบเนต์ที่เป็นผู้ดำเนินพิธีกรรม เขาถูกคุ้มครองในระดับหนึ่ง ช่วยให้หนีรอดได้ก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรม”
“หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่?” มุมปากลูเมี่ยนยกขึ้นเล็กน้อย
มาดามลึกลับมองเข้าไปในตาเด็กหนุ่ม
“หากคำทำนายของฉันไม่ผิดพลาด พวกเขาควรจะซ่อนตัวอยู่ในทรีอาร์”
“เยี่ยมเลย” ลูเมี่ยนแสยะยิ้มขณะยกมือขึ้นมาเช็ดหางตา
มาดามหันไปทางไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์ ซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ข้างกำแพงเมืองหนาม พลางพูดกับลูเมี่ยน
“คิดจะทำยังไงกับพวกเขา?”
“ถ้าคนเหล่านี้รอดกลับไปได้ เธอคงถูกหมายหัวแน่ กลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่จะถูกตามล่าโดย ‘หน่วยแปด’ ‘จิตแห่งจักรกล’ และ ‘ศาล’”
“นับจากนี้ไป เธอจะทำได้เพียงหลบซ่อน หมดสิทธิ์ใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดด มีเพียงความมืด บ่อโคลน และอันตรายเป็นเพื่อนคู่ใจ”
มองไปทางพวกไรอัน ลูเมี่ยนถามยิ้มๆ ด้วยเสียงแหบพร่า
“ฆ่าพวกเขาแล้วโอลัวร์จะฟื้นไหม?”
มาดามส่ายหน้า
“ไม่”
เด็กหนุ่มก้มศีรษะลงพร้อมกับหลับตา
“องค์กรที่ผมต้องเข้าร่วมมีชื่อว่าอะไร… ไปถึงทรีอาร์แล้วต้องติดต่อคุณยังไง?”
มาดามถอนหายใจเบาๆ
“ไว้ถึงเวลาแล้วจะบอก”
“เดี๋ยวจะบอกวิธีอัญเชิญผู้ส่งสารของฉันกับสื่อกลางให้ด้วย เธอสามารถใช้มันติดต่อหาฉันได้ทุกเมื่อ”
ลูเมี่ยนเงียบไปสักพัก ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นถาม
“ผมมีพลังที่ทำให้หมู่บ้านกอร์ตูเข้าสู่วัฏจักรได้ด้วยหรือ?”
“พูดตรงๆ ก็ไม่มี… อย่างน้อยก็เคยเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งเธอได้รับพร ‘คนในวง’” มาดามอธิบายเสียงเรียบ “ในเมื่อแถวนี้เต็มไปด้วยมลพิษจากองค์ซ่อนเร้นนั่น ผนวกกับพลังที่ถูกผนึกไว้ในหน้าอกซ้ายของเธอมีปริมาณค่อนข้างมาก เมื่อเธอที่อยู่ในสถานะขับเคลื่อนด้วยจิตใต้สำนึก เกิดความผันผวนทางอารมณ์ขึ้นมา ความพิเศษเหล่านั้นก็จะถูกระดมจนทุกอย่างเริ่มต้นใหม่”
สุภาพสตรีเว้นวรรคเล็กน้อย
“แต่ว่า… ตัวเธอก็อยู่ในวัฏจักรตลอดเวลาอยู่แล้ว”
“ในเวลาหกโมงเช้าของทุกวัน มลพิษในผนึกจะคอยย้อนกลับสภาพร่างกายของเธอ ให้เป็นเหมือนกับหกโมงเช้าหลังจากพิธีกรรมคืนที่สิบสอง มีเพียงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก ‘ตะกอนพลัง’ กับ ‘พร’ เท่านั้นที่สามารถเก็บรักษาไว้”
ถึงว่า… ทุกครั้งที่เราได้รับบาดเจ็บจากซากปรักหักพัง พอตื่นมาก็แทบจะหายดีเสมอ… ถึงว่าทำไมไม่เคยตื่นเพราะความหิว… ลูเมี่ยนกระจ่างทันที
เด็กหนุ่มก้มมองร่างกายตัวเอง ยิ้มพลางจิกกัดตัวเอง
“ผมติดอยู่ในวันนั้นมาตลอดเลยสินะ…”
วันแห่งฝันร้ายนั่น
โดยไม่รอให้มาดามตอบ เขาเงยหน้าแล้วพูดกับเธอ
“ผมต้องเรียกคุณว่าอะไร”
มาดามยิ้ม
“เธอต้องเรียกฉันว่า…”
ยังไม่ทันพูดจบ ไพ่หลายใบก็ปลิวว่อนในอากาศ
แต่ละใบมีลวดลายแตกต่างกัน ทั้งหมดโปรยปรายลงมาทางลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มเหยียดมือขวาขึ้นไปตามสัญชาตญาณ หวังคว้าไว้สักใบ
ทันใดนั้น ไพ่เกือบทั้งหมดเลือนหายไปราวกับโกหก เหลือไว้หนึ่งใบ
ไพ่ใบดังกล่าวลอยเบาๆ ลงมายังฝ่ามือลูเมี่ยน หงายหน้าขึ้น เผยให้เห็นภาพของชายผู้ใช้มือขวาชูคทาขึ้นฟ้า พร้อมกับใช้มือซ้ายชี้ลงพื้น
ไพ่ทาโรต์ เดอะเมจิกเชี่ยน
ลูเมี่ยนเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ แต่ก็พบเพียงว่ามาดามลึกลับหายตัวไปแล้ว
เราต้องเรียกเธอว่า ‘เดอะเมจิกเชี่ยน’ ? เด็กหนุ่มพลิกดูหลังไพ่ตามสัญชาตญาณ จนพบข้อความตัวเล็กๆ เขียนไว้หลายแถวเป็นภาษาอินทิส
“วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในโลกมายา สิ่งมีชีวิตจากโลกเบื้องบนที่เป็นมิตรกับมนุษย์ ผู้ส่งสารของเดอะเมจิกเชี่ยนแต่เพียงผู้เดียว”
ลูเมี่ยนมองไพ่อยู่สักพัก ก่อนจะเก็บเข้าไปในเสื้อ
เด็กหนุ่มมองพวกไรอัน ไม่นานก็หันหลังให้ เดินออกจากจุดเกิดเหตุในท่วงท่าที่ไม่มั่นคงนัก
ระหว่างเดิน ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปยังภูเขาสีเลือด มองไปยังกำแพงเมืองทรงวงแหวนหนามอันบิดเบี้ยว
หมู่บ้านกอร์ตูในความทรงจำกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว แทบไม่หลงเหลือเค้าเดิม แต่ลูเมี่ยนก็พยายามจ้องเขม็ง มองเข้าไป พยายามซ้อนทับภาพในหัวกับความจริง
เด็กหนุ่มยังอยากมอง ‘ยักษ์’ บนยอดเขาอีกสักครั้ง แต่ทราบดีว่านั่นจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บหนัก
โดยไม่รู้ตัว ลูเมี่ยนบรรจงเดินอ้อมภูเขาสีเลือดและกำแพงเมืองหนาม สายตาคอยกวาดไปตามวัตถุที่บิดเบี้ยวและโกลาหลทั้งหมด
เขาทราบดีว่าตนกำลังมองหาอะไร และทราบดีว่าคงไม่ได้พบมัน
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนกลับมายังบริเวณที่เคยถูกกีดขวางด้วย ‘กำแพงแมกไม้’
ตอนนี้สิ่งต่างๆ พังทลายไปเกือบหมด จึงมองเห็น ‘สวน’ ด้านหลังได้โดยตรง
พืชพรรณในสวนมีสีสันสดใส สวนทางกับภูเขาสีเลือด สวนทางกับกำแพงเมืองบิดเบี้ยว และสวนทางกับซากปรักหักพังอย่างยิ่ง
เปลเด็กที่ทำจากไม้สีน้ำตาลวางอยู่ตรงกลาง คล้ายคลึงกับอันที่ลูเมี่ยนเคยเห็นในปราสาทของมาดามปัวริสมาก
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้มันโดยไม่รู้ตัว และพบว่าบนเปลเด็กที่แกว่งไกวตามสายลม บนผ้ารองเปลสีขาวที่ดูค่อนข้างเก่า มีรอยเล็กๆ ที่น่าจะเกิดจากการนอนของทารกประทับอยู่ บ่งบอกว่าเคยมีเด็กนอนอยู่ตรงนั้น แต่ปัจจุบันไม่อยู่อีกแล้ว
สื่อถึงอะไร? เมื่อคำถามแล่นเข้ามาในหัวลูเมี่ยน แสงแดดบนท้องฟ้าพลันสว่างไสวอย่างผิดวิสัย
เขาเงยหน้ามองตามสัญชาตญาณ และเห็นเปลวไฟสีทองกำลังปกคลุม ‘ยอดเขา’ อย่างท่วมท้น
เขามองเห็นยักษาสามเศียรหกกรได้รางๆ ท่ามกลางทะเลเพลิง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังละลาย
ลูเมี่ยนจ้องมองอยู่หลายวินาที ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้า
‘แสงแดด’ มันจ้าเกินไป
…………
ภายในบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน ณ สุดขอบซากปรักหักพัง
ลูเมี่ยนพกเงิน 237 เฟลคิน 46 โกเปต์ที่รวบรวมมาได้ก่อนหน้านี้ หิ้วกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและความทรงจำ ลากขาอันหนักอึ้งไปทางห้องนอนของพี่สาว เหยียดมือออกไปผลักประตูเปิด
เขามาเพื่อบอกลา
เมื่อก้าวเข้าไป เด็กหนุ่มเห็นโต๊ะทำงานที่มีต้นฉบับนิยายวางอยู่ หัวสมองพลันปวดแปลบทันที พร้อมกับการผลุดโผล่ของฉากเหตุการณ์หนึ่ง:
นัยน์ตาโอลัวร์ขยับเล็กน้อย ไม่ดูว่างเปล่าอีกต่อไป มองมายังลูเมี่ยนที่กำลังถูกผลัก พร้อมกับฝืนพูดอย่างยากลำบาก
“บันทึก… ของฉัน…”
บันทึกเวทมนตร์ของพี่? ในนั้นมีข้อมูลสำคัญ? ลูเมี่ยนยกมือขึ้นมากดศีรษะ เดินไปยังโต๊ะทำงานพร้อมกับดึงเก๊ะด้านล่างออกมา
เด็กหนุ่มได้พบกับสมุดบันทึกสีเข้ม
เขานึกขึ้นได้ทันที ก่อนที่หมู่บ้านกอร์ตูจะถูกทำลาย โอลัวร์เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับให้ฟังมากมาย
…………
สถานีรถไฟไอน้ำแห่งหนึ่งในเขตดาลีแอช
พนักงานขายตั๋วมองออกมา แล้วถามกับลูเมี่ยน
“เอกสารยืนยันตัวตนไปไหน?”
“ลืมเอามา” แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตผ้าลินิน แจ็กเกตสีเข้ม หมวกกลมสีดำและกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาล ลูเมี่ยนตอบกลับอย่างเฉยเมย
เขาจำใจต้องผละออกจากหน้าต่างช่องขายตั๋ว
ทันใดนั้น ชายร่างเล็กในหมวกทรงกึ่งสูงและชุดสูทสีดำเดินเข้ามาใกล้ เลียบเคียงถามลูเมี่ยนด้วยเสียงทุ้ม
“อยากขึ้นรถม้าไปแทนไหม? ส่งถึงบีกอร์”
“ต้องใช้เอกสารยืนยันตัวตนไหม” ลูเมี่ยนถามกลับ
ชายร่างเล็กหัวเราะในลำคอ
“ไม่จำเป็น ธุรกิจของเรากำลังจะถูกรถไฟไอน้ำปิดฉากอยู่รอมร่อแล้ว ยังต้องการเอกสารยืนยันตัวตนไปทำไมอีก?”
“จะนั่งไหม? นี่คือมนต์เสน่ห์สุดท้ายจากยุคเก่าเชียวนะ!”
ลูเมี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถาม
“ราคาเท่าไร”
ชายร่างเล็กกลายเป็นกระตือรือร้นทันที
“ยี่สิบเฟลคินไปถึงบีกอร์ ใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน ระหว่างทางแวะห้าสถานี แต่ละสถานีจะหยุดพักเพื่อเปลี่ยนคนขับกับม้า สองในห้าสถานีจะมีอาหารฟรีให้กิน”
โดยไม่ถามอะไรเพิ่ม ลูเมี่ยนตามชายร่างเล็กไปยังถนนเปลี่ยวใกล้ๆ
รถม้าขนาดใหญ่ที่ลากจูงด้วยม้าสี่ตัวกำลังจอดอยู่ริมถนน
หลังจากลูเมี่ยนขึ้นไป ก็พบว่าด้านในค่อนข้างโอ่อ่า แบ่งเป็นสองฝั่งเหมือนกับรถม้าสาธารณะ มีทางเดินตรงกลาง มีที่วางกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่
เด็กหนุ่มเลือกนั่งริมหน้าต่าง เก็บกระเป๋าเดินทางแล้วหยิบหนังสือปกสีแดงออกมา
ฟังเสียงจามของม้า เขาเปิดหนังสืออ่านโดยอาศัยแสงแดดจากนอกหน้าต่าง
นั่งข้างเด็กหนุ่มคือชายหนวดงามในวัยสามสิบ ผมสีน้ำตาลนัยน์ตาสีฟ้า แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
อีกฝ่ายมองหนังสือในมือลูเมี่ยน ถามด้วยความสนใจ
“‘รักนิรันดร์’ ? แต่งโดยโอลัวร์·ลี นางเอกชื่อกินสลีย์ พระเอกชื่อชาร์ล?”
“ใช่” ลูเมี่ยนพยักหน้า
ชายหนวดงามชวนคุยอย่างกระตือรือร้นทันที
“หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานในช่วงต้นๆ ของโอลัวร์·ลี เต็มไปด้วยความสดใหม่ โดยเฉพาะบทพูดระหว่างตัวละครที่นำมาใช้ในโลกความจริงไม่ได้เลย อีกทั้งยังอัดแน่นไปด้วยอารมณ์จนบางทีก็อ่านแล้วก็อึดอัด”
“ใช่” ลูเมี่ยนผงกศีรษะอีกครั้ง
เด็กหนุ่มก้มหัวลง เปิดไปยังหน้าท้ายๆ ของหนังสือ จดจ่อสายตาอยู่กับตัวหนังสือเหล่านี้:
“ในวาระสุดท้ายของชีวิต กินสลีย์กุมมือของชาร์ลพลางมองไปยังใบหน้าอันเจ็บปวดรวดร้าวของเขา เธอฝืนแค่นยิ้มพร้อมกับกล่าวอย่างยากลำบาก”
“จงมีชีวิตอยู่ต่อไป… เจ้าทึ่ม”
(จบบทที่หนึ่ง)
……………………………………………………..