ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 1 คนต่างถิ่น
ตอนที่ 1 คนต่างถิ่น
“ฉันเป็นไอ้ขี้แพ้ที่แทบไม่เคยใส่ใจว่าฟ้าสว่างอยู่หรือไม่ เพราะไม่มีเวลา”
“ทางบ้านไม่ช่วยผลักดัน เรียนก็ไม่สูง ต้องไล่ล่าอนาคตอยู่ในเมืองตามลำพัง”
“ตระเวนหางานไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครจ้าง คงเพราะไม่มีใครชอบลูกจ้างพูดน้อย ไม่สุงสิงกับใคร และไม่สามารถแสดงฝีมือให้เตะตาคน”
“เคยใช้ขนมปังแค่สองก้อนเพื่อประทังชีวิตสามวันเต็ม ตอนนั้นท้องกิ่วจนตกดึกแล้วก็ยังไม่หลับ เคราะห์ดีที่จ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไว้หนึ่งเดือน จึงยังได้อาศัยห้องใต้ดินมืดๆ เพื่อเอาชีวิตรอดจากสายลมเย็นในฤดูหนาว”
“จนในที่สุดก็มีคนรับเข้าทำงาน เป็นยามเฝ้าโรงพยาบาล…เฝ้าห้องดับจิตกะดึก”
“ยามวิกาลของโรงพยาบาลอากาศเย็นกว่าที่คิดไว้มาก โคมไฟผนังบนทางเดินก็ไม่เปิด ความมืดแผ่ปกคลุมทุกซอกมุม มองเห็นแค่ปลายเท้าตัวเองโดยอาศัยแสงที่ซึมออกจากแต่ละห้อง”
“กลิ่นที่นั่นเหม็นบรรลัย ถุงศพบรรจุร่างถูกส่งเข้ามาเป็นระยะ พนักงานต้องช่วยกันย้ายเข้าไปในห้องดับจิต”
“อาจไม่ใช่งานที่ดีเด่อะไร แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้มีเงินซื้อขนมปัง และมีเวลาว่างสำหรับอ่านหนังสือตอนกลางคืน เพราะยังไงก็ไม่ค่อยมีใครแวะมาห้องดับจิตอยู่แล้ว เว้นเสียแต่จะมีศพใหม่เข้ามา หรือไม่ก็ต้องเคลื่อนย้ายออกไปเผา…ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันไม่มีเงินซื้อหนังสือหรอก ลำพังเงินออมยังแทบไม่เห็นความหวัง”
“คงต้องขอบคุณอดีตเพื่อนร่วมอาชีพล่ะนะ หากไม่ใช่เพราะเขาลาออกกะทันหัน แม้แต่งานพรรค์นี้ฉันก็คงไม่มีโอกาสได้ทำ”
“ก็ฝันไว้ว่าอยากทำกะกลางวันบ้าง ทุกวันนี้ต้องนอนตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตื่นตอนพระอาทิตย์ตก จนร่างกายเริ่มอ่อนแอลงนิดหน่อย ผนวกกับอาการปวดหัวกะปริบกะปรอย”
“อยู่มาวันหนึ่ง คนขนศพได้พาร่างใหม่เข้ามา”
“ฟังจากที่คนอื่นเล่า นี่คืออดีตเพื่อนร่วมอาชีพที่ลาออกไปกะทันหันคนนั้น”
“ฉันรู้สึกคาใจเกี่ยวกับเขา หลังจากทุกคนออกไป ฉันดึงตู้ออกมาแล้วรีบแกะถุงศพ”
“ด้านในเป็นชายชรา ใบหน้าซีดอมฟ้า เต็มไปด้วยริ้วรอย ชวนให้ขนลุกขนพองภายใต้แสงสลัว”
“เส้นผมเหลือไม่มาก เกือบทั้งหมดหงอกขาว ร่างกายเปลือยเปล่าไม่เหลือแม้แต่เศษผ้า”
“สำหรับคนตายที่ไม่มีครอบครัวแบบนี้ คนขนศพไม่มีทางพลาดโอกาสหาเศษหาเลย”
“ฉันเห็น ‘ตรา’ ประหลาดบนหน้าอกเขา เป็นตราสีดำอมเขียว อธิบายรูปร่างไม่ถูกเหมือนกัน ตอนนั้นแสงในห้องน้อยเกินไป”
“ลองเอื้อมมือสัมผัสตราดูแล้ว แต่ก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษ”
“จดจ้องอดีตเพื่อนร่วมอาชีพอยู่สักพัก ฉันเกิดคำถามว่าหากยังใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป พอแก่ตัวไปอาจต้องลงเอยเช่นเดียวกับเขา…”
“ฉันพูดกับเขาว่า พรุ่งนี้จะไปที่เตาเผาศพเป็นเพื่อน แล้วจะนำเถ้ากระดูกไปไว้ที่สุสานคนยากไร้ใกล้ๆ ด้วยตัวเอง…พวกขนส่งเถ้ากระดูกชอบมักง่าย แอบนำขี้เถ้าไปโปรยทิ้งแม่น้ำหรือพื้นที่รกร้าง”
“ฉันต้องสังเวยเวลานอนช่วงเช้าเพื่อทำแบบนั้น แต่ก็ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันก็เป็นวันอาทิตย์แล้ว ถึงตอนนั้นค่อยนอนชดเชยเอา”
“พอพูดจบ ฉันปิดถุงศพกลับไปตามเดิมแล้วยัดใส่ตู้อีกครั้ง”
“ไฟในห้องดูเหมือนจะหรี่ลงเอง…”
“หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่หลับ ฉันจะฝันถึงหมอกหนาเสมอ”
“ฉันมีลางสังหรณ์ว่า บางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า มีลางสังหรณ์ว่าในสักวัน บางสิ่งบางอย่างจะมาหาฉัน สิ่งที่ฉันเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเรียกมนุษย์ได้ไหม…แต่ก็ไม่มีใครยอมเชื่อที่ฉันเล่า ทุกคนเอาแต่บอกว่า ด้วยสภาพแวดล้อมการทำงานของฉัน สภาพจิตใจคงไม่ปกติและจำเป็นต้องไปหาหมอ…”
ลูกค้าชายคนหนึ่งซึ่งนั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ มองไปทาง ‘ผู้เล่าเรื่อง’ ที่อยู่ดีๆ ก็เงียบไป
“แล้วยังไงต่อ”
ลูกค้าชายในวัยสามสิบ สวมทวีดแจ็กเกต (Tweed Jacket) สีน้ำตาล กางเกงขายาวสีเหลืองอ่อน ผมหวีเรียบ ในมือถือหมวกทรงโบว์เลอร์ (Bowler) สีเข้มเรียบง่าย
ภายนอกดูธรรมดาเฉกเช่นคนส่วนใหญ่ในผับ เรือนผมสีดำ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อน มิได้ดูดีหรืออัปลักษณ์ และไม่มีเอกลักษณ์เด่นชัด
ผู้เล่าเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเขา คือเด็กหนุ่มในวัยสักสิบเจ็ดสิบแปด สูงโปร่ง แขนขาเพรียวลม ผมสั้นสีดำ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อน แต่มีโครงหน้าชัดลึก สามารถสะกดผู้พบเห็นให้ตาลุกวาว
เด็กหนุ่มจ้องแก้วเปล่าเบื้องหน้าตนพลางถอนหายใจ
“แล้วไงน่ะหรือ”
“จากนั้นฉันก็ลาออก ย้ายกลับมาอยู่บ้านนอกที่นี่ แล้วก็โม้ให้คุณฟังนี่ไง”
เขายิ้มกรุ้มกริ่มขณะตอบ เป็นรอยยิ้มเจือความยียวน
ลูกค้าชายผงะไปครู่หนึ่ง
“เมื่อสักครู่เป็นแค่เรื่องโม้?”
“ฮ่าๆๆๆ!” เสียงหัวเราะดังลั่นผับ
จนกระทั่งเสียงหัวเราะขาดช่วงชั่วขณะ ชายวัยกลางคนร่างผอมบางมองไปทางลูกค้าที่ออกอาการกระอักกระอ่วน
“พ่อคนต่างถิ่น หลงเชื่อเรื่องที่ลูเมี่ยนเล่าไปได้ยังไง…หมอนี่เล่าไม่ซ้ำกันสักวัน เมื่อวานเพิ่งเป็นหนุ่มดวงซวยที่ถูกคู่หมั้นถอนหมั้นเพราะยากจนอยู่เลย วันนี้กลายเป็นคนเฝ้าศพซะงั้น!”
“ใช่ แถมยังเคยเล่าว่าตัวเองอยู่ฝั่งบูรพาของแม่น้ำเซอเรนโซ่มาสามสิบปี และฝั่งขวาอีกสามสิบปี มีแต่เรื่องเหลวไหลทั้งเพ!” อีกหนึ่งลูกค้าประจำของผับช่วยเสริม
พวกเขาต่างก็เป็นเกษตรกรจากหมู่บ้านขนาดใหญ่นามว่า ‘กอร์ตู’ แต่งกายด้วยแจ็กเกตสีดำ เทา หรือน้ำตาล
เด็กหนุ่มผมดำผู้ถูกเรียกว่าลูเมี่ยน ใช้สองมือยันแผ่นไม้เคาน์เตอร์เพื่อพยุงตัวยืน แล้วกล่าวพลางอมยิ้ม
“เคยบอกไปแล้วว่าฉันไม่ได้แต่งเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเอง แต่เป็นผลงานการเขียนของพี่สาว เธอชอบเขียนนิยายมาก แถมยังเป็นนักเขียนประจำของ บันเทิงคดีรายสัปดาห์”
กล่าวจบ เขาโน้มตัวพร้อมกับผายมือไปทางลูกค้าต่างถิ่นด้วยรอยยิ้มร่าเริง
“สงสัยเธอจะเขียนได้ดีเกินไป”
“ต้องขออภัยที่ทำให้คุณเข้าใจผิด”
ชายผู้มีใบหน้าธรรมดาที่แต่งกายด้วยแจ็กเกตทวีต มิได้ถือสาเด็กหนุ่ม เพียงยิ้มแล้วยืนขึ้น
“เรื่องราวน่าสนใจมาก”
“เธอชื่ออะไรหรือ”
“ตามหลักแล้ว ควรแนะนำตัวเองก่อนถามชื่อคนอื่นนะ” ลูเมี่ยนยิ้ม
ลูกค้าต่างถิ่นผงกศีรษะรับ
“สองคนนี้เป็นเพื่อนของฉัน วาเลนไทน์กับลีอา”
ประโยคหลังสื่อถึงชายหญิงที่นั่งถัดจากเขา
ฝ่ายชายอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ผมสีทองมีร่องรอยโรยแป้ง ดวงตาไม่ใหญ่มาก สีเข้มกว่าฟ้าทะเลสาบเล็กน้อย สวมเสื้อกั๊กสีขาว ทับด้วยทวีดแจ็กเกตสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีดำ เห็นได้ชัดว่าแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศก่อนออกจากบ้าน
บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างเย็นชา ดูไม่แยแสบรรดาเกษตรกรกับคนเลี้ยงสัตว์สักเท่าไร
ฝ่ายหญิงหน้าเด็กกว่าสองบุรุษ ผมยาวสีเทาอ่อนเกล้ามวยซับซ้อน ถัดขึ้นไปเป็นหมวกผ้าคลุมหน้า
นัยน์ตาของเธอ ซึ่งมีสีเดียวกับเส้นผม จดจ่ออยู่กับลูเมี่ยนพลางอมยิ้มอย่างไม่เก็บซ่อน ราวกับสนอกสนใจสถานการณ์ที่เพิ่งเกิด
แสงไฟจากโคมแก๊สติดผนังของผับ ช่วยเผยให้เห็นจมูกกะทัดรัดและริมฝีปากโค้งได้รูปของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของนามลีอา ใบหน้าของเธอนับว่าเลอโฉมสำหรับย่านชนบทอย่างหมู่บ้านกอร์ตู
ลีอาใส่กระโปรงรัดรูปไร้จีบ สีขาว ถักจากผ้าแคชเมียร์ (Cashmere) เสื้อนอกสีเบจและรองเท้าบูตมาร์เซล บนผ้าคลุมหน้ากับรองเท้ามีกระดิ่งเล็กสีเงินผูกอยู่สองใบ เมื่อตอนที่เดินเข้ามาในผับ เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งตลอดทาง ดึงดูดความสนใจจากผู้คนจนเหล่าบุรุษจดจ้องตาเป็นมัน
ในสายตาคนท้องถิ่น นี่คงเป็นการแต่งกายของชาวเมืองหลวงแคว้นอย่างบีกอร์ และมหานครหลวงอย่างกรุงทรีอาร์
ลูเมี่ยนผงกศีรษะให้กับคนต่างถิ่นทั้งสาม
“ฉันชื่อลูเมี่ยน·ลี เรียกว่าลูเมี่ยนก็ได้”
“ลี?” ลีอาโพล่ง
“มีอะไรหรือ นามสกุลของฉันมันทำไม” ลูเมี่ยนถามอย่างใคร่รู้
ไรอัน·คอสช่วยอธิบายแทนลีอา
“เธอมีนามสกุลที่น่าพรั่นพรึง ฉันเองก็เกือบจะยั้งปากไม่ไว้อยู่”
ได้เห็นใบหน้าแฝงความฉงนของเกษตรกรและคนเลี้ยงสัตว์รอบข้าง เขาอธิบายเพิ่ม
“ทุกคนที่เคยคุยกับชาวเรือหรือพ่อค้าทางทะเล ย่อมต้องได้ยินคำกล่าวหนึ่งซึ่งแพร่กระจายไปทั่วห้าห้วงสมุทร”
“…ยอมเจอกับพลเรือโจรสลัด หรือไม่ก็ราชาโจรสลัด ยังดีกว่าเจอแฟรงค์·ลี”
“เขาน่ากลัวขนาดนั้นเชียว?” ลูเมี่ยนถาม
ไรอันส่ายศีรษะ
“ฉันเองก็ไม่ทราบ แต่ถ้าผู้คนลือกันเช่นนั้น มันก็คงไม่ห่างไกลความจริง”
เขาเปลี่ยนเรื่องคุยกับลูเมี่ยน
“ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่า เดี๋ยวฉันเลี้ยงเครื่องดื่มตอบแทน อยากดื่มอะไรล่ะ”
“งั้นเอาเป็น ‘นางฟ้าหยก’ ก็แล้วกัน” ลูเมี่ยนสั่งอย่างไม่เกรงใจ พลางหย่อนก้นลงไปนั่ง
ไรอัน·คอสขมวดคิ้ว
“นางฟ้าหยก…อัปแซ็งต์? (Absinhe)”
“ขอเตือนว่าอัปแซ็งต์เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ฤทธิ์ของมันอาจทำให้สิ้นสติหรือเห็นภาพหลอน”
“ไม่ยักรู้ว่ากระแสในทรีอาร์จะลามมาถึงที่นี่ด้วย” ลีอาด้านข้างเสริมด้วยรอยยิ้ม
ลูเมี่ยน ‘โฮ่’ ในลำคอ
“ชาวทรีอาร์ก็ชอบนางฟ้าหยกเหมือนกันหรือ…”
“พวกเราใช้ชีวิตยากลำบากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะเสี่ยงอันตรายขึ้นอีกสักนิดก็คงไม่ต่างกัน อย่างน้อยนางฟ้าหยกก็ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย”
“เข้าใจแล้ว” ไรอันนั่งลงแล้วมองบาร์เทนเดอร์ “นางฟ้าหยกหนึ่งแก้ว ส่วนอีกแก้วเอา ‘แสบถึงทรวง’ มาให้ฉัน”
‘แสบถึงทรวง’ คือเหล้าผลไม้ชื่อดัง
“เลี้ยงนางฟ้าหยกฉันสักแก้วด้วยสิ อย่าลืมว่าฉันเป็นคนบอกความจริงกับนาย นอกจากนั้นยังสามารถบอกความจริงเกี่ยวกับเด็กคนนี้ได้ด้วยนะ!” ชายวัยกลางคนร่างผอม ผู้เคยเปิดโปงเรื่องเล่าของลูเมี่ยนเมื่อสักครู่ ตะโกนโหวกเหวกอย่างไม่พอใจ “พ่อคนต่างถิ่น ฉันมองออกนะว่านายยังคาใจกับเรื่องเล่านั่นอยู่!”
“ปิแยร์ เพื่อให้ได้กินเหล้าฟรี นายยอมทำทุกอย่างเลยสินะ!” ลูเมี่ยนตอบโต้เสียงดัง
ยังไม่ทันที่ไรอันจะตัดสินใจ ลูเมี่ยนเสริม
“ถ้าจะเล่นไม้นี้ ฉันเล่าเรื่องของตัวเองแล้วเอานางฟ้าหยกเพิ่มอีกแก้วไม่ดีกว่าหรือ”
“เพราะพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของเอ็งแล้วยังไงล่ะ” ชายวัยกลางคนนามปิแยร์ยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า “นิทานเรื่องโปรดของพี่สาวเอ็งคือ ‘หมาป่ามาแล้ว’ ไม่ใช่หรือไง นิทานก็สอนอยู่ว่าเด็กที่เอาแต่โกหก จะสูญเสียความน่าเชื่อถือไปเรื่อยๆ”
“ก็ได้…” ลูเมี่ยนยักไหล่พลางมองบาร์เทนเดอร์ผลักแก้วนางฟ้าหยกไหลมาตรงหน้า
ไรอันมองเด็กหนุ่มแล้วถาม
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่มีปัญหา ตราบเท่าที่กระเป๋าสตางค์ของคุณยังจ่ายค่าเหล้าไหว” ลูเมี่ยนกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“งั้นขอนางฟ้าหยกอีกแก้ว” ไรอันผงกศีรษะ
ปิแยร์ยิ้มรับ
“พ่อคนต่างถิ่นใจกว้าง เด็กคนนี้คือตัวปัญหาอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน อยู่ให้ห่างเข้าไว้ดีกว่านะ”
“เมื่อราวห้าปีก่อน เขาถูกพี่สาวที่ชื่อโอลัวร์พากลับมาที่หมู่บ้านและไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย…ก็อย่างที่เล่าไป ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุสิบสาม จะไปเป็นยามเฝ้าศพที่โรงพยาบาลได้ยังไง โรงพยาบาลใกล้ที่สุดก็อยู่เชิงเขาดาลีแอชโน่นเลย ถ้าจะเดินเท้าก็ต้องใช้เวลาตลอดทั้งบ่าย”
“พากลับมาที่หมู่บ้าน?” ลีอาถามเจาะประเด็น
หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยจนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง
ปิแยร์พยักหน้า
“โอลัวร์ย้ายมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อราวหกปีก่อน ผ่านไปหนึ่งปี เธอออกนอกหมู่บ้านแล้วกลับมาพร้อมกับเด็กคนนี้ โดยบอกว่าเก็บเด็กที่ถูกทิ้งมาได้ระหว่างทาง เห็นว่ากำลังจะอดตาย เธอจึงรับมาเลี้ยง”
“จากนั้นก็ใช้นามสกุล ‘ลี’ ตามโอลัวร์ แม้แต่ชื่อ ‘ลูเมี่ยน’ ก็ได้โอลัวร์ตั้งให้”
“ก็ฉันลืมไปแล้วนี่นา ว่าเมื่อก่อนถูกเรียกว่าอะไร” ลูเมี่ยนจิบอัปแซ็งต์พลางยิ้ม
ประหนึ่งว่าเขามิได้น้อยเนื้อต่ำใจหรืออับอายที่อดีตถูกเปิดโปง
…………………………………………………….