ราชันย์จอมโจรปล้นสุสาน - บทที่ 2 : เจ้าคือนักปล้นสุสาน 2
บทที่ 2 : เจ้าคือนักปล้นสุสาน 2
สุดท้ายแล้วเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาหยุดและแยกพวกเขาออกจากกัน
“นี่ หยุดทะเลาะกันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
จูฮอนปล่อยมือโดยไม่ลังเล พร้อมกับยืนขึ้น
“โอเค ก็ได้ แล้วไหนห้องขังล่ะ?”
“ว่าไงนะ?”
“พวกคุณจะไม่พาตัวผมเข้าห้องขังงั้นเหรอ? ผมรู้สึกง่วงมากเลย ผมจะเข้าไปข้างในและพักผ่อนสักหน่อย”
จากนั้น จูฮอนก็เดินไปที่ห้องขัง ราวกับว่าเขารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
“ให้ตายสิ ดูไอ้เด็กบ้านั่นสิ!”
เจ้าหน้าที่ไล่ตามจูฮอนไปด้วยความสับสน แม่ลูกคู่นั้นก็ได้แต่จับมือกันตื่นตระหนกขณะจ้องมองตามมา
ดูเหมือนว่ามือของลูกชายเธอไม่ได้บาดเจ็บหนักอย่างที่พวกเขาบอก …
“โอ๊ย ไอ้เด็กนั่น! มันเป็นบ้างั้นเหรอ?”
“รีบจับมันขังไว้ในคุกไปเลย! เร็วเข้า!”
“ฉันจะฟ้องไอ้เด็กบ้านั่น!”
พวกเขาอารมณ์เสีย เหนื่อยหอบ แต่ก็ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด
พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่ากระเป๋าสตางค์ของพวกเขานั้นหายไป
“เหอะ ไอ้พวกบ้านั่นดูจะรวยไม่น้อย”
จูฮอนหัวเราะเบา ๆ ขณะมองดูกระเป๋าที่ขโมยมา เขาใช้ความสามารถตัวเองในการฉกมา
เดิมทีจูฮอนทำงานกับคนที่เอาแต่เรียกเขาว่าไอ้เฮงซวยมาสิบปีแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องดึงดูดความสนใจและฉกฉวยสิ่งของ เขาล้วนทำได้หมด ความสามารถของเขาถึงขั้นระดับนักมายากลข้างถนน หรือจะกล่าวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ไม่เกินเลย
แน่นอนว่าเขามักจะใช้ความสามารถเฉพาะในเวลาทำงาน ตอนนี้ก็เหมือนรอบอุ่นเครื่องที่ได้กลับมาในอดีต และมันก็สำเร็จได้ด้วยดี
‘ไอ้สองแม่ลูกบ้านั่น เหมือนว่าจะมีของมีค่าอยู่ในนี้นะ ขอให้สนุกกับการหากระเป๋าไปละกัน’
ตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องการที่จะปลุกทักษะพื้นฐาน แต่ปัญหาคือเขาเองยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
‘เราจะปลุกทักษะพวกนี้ยังไงดีล่ะ?’
มันคงจะดีถ้าอย่างน้อยเขารู้วิธี
ขณะนี้เองที่เกิดอะไรบางอย่างขึ้น
[ระดับความชำนาญในด้านการสอดแนมเพิ่มขึ้น]
[ฝีมือลับ ๆ ล่อ ๆ ที่แม้แต่ปีศาจยังต้องตกใจที่ได้เห็นช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของทักษะพื้นฐาน ซึ่งนั่นคือความคล่องแคล่วว่องไว]
‘โอ๊ะ?’
จูฮอนเริ่มนึกอะไรออกหลังจากได้เห็นสิ่งนั้นก่อนที่จะเริ่มหัวเราะเบาๆ
นี่หมายความว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปลุกทักษะงั้นเหรอ?
จูฮอนกำลังตรวจดูระบบหน้าต่างอย่างละเอียด แต่ก็ไม่วายเก็บกระเป๋าที่ขโมยมาอย่างรวดเร็ว
เป็นเพราะว่ามีเจ้าหน้ากำลังมุ่งหน้าไปหาเขา
“นี่ นายน่ะ ฉันไม่ได้เห็นหน้าภรรยามาเป็นเดือนแล้วนะ ฉันต้องมาเจอนายที่นี่จริง ๆ เหรอ? “
จูฮอนเริ่มหัวเราะ
นั่นคือคิมควอนอู
เขาเป็นผู้ตรวจสอบในหน่วยอาชญากรรม ซึ่งเป็นเหมือนพี่ชายที่รับเลี้ยงจูฮอนตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กกำพร้า
ควอนวูเป็นสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียวของจูฮอน จนกระทั่งเขาพบกับญาติของตัวเอง
“ยังไงก็เถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลเรื่องนี้เอง พวกแก๊งต้มตุ๋นบ้านั่นก็เป็นแค่พวกคนทำผิดเดิม ๆ ซ้ำซาก เราควรให้พวกนั่นอยู่ในคุกเพราะรายงานความผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ”
จูฮอนยิ้มขึ้นก่อนที่จะถามคำถามอย่างจริงจัง
“นี่พี่ ผมมีคำถาม”
“คำถามเหรอ?”
จูฮอนชี้ไปที่ทีวีแทนที่จะตอบกลับ มีข่าวสารมากมายพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำบนจอ
[ณ วันนี้ สุสานลึกลับได้ปรากฏขึ้นในเมียงดงเวลา 15.00 น. ซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวาย มีรายงานว่าผู้คนหายไปกว่า 1,000 คนแล้ว……]
สารวัตรคิมมองดูข่าวพร้อมกับเดาะลิ้น
“แม้แต่ตำรวจเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสุสานพวกนี้ถึงปรากฎขึ้นมา ช่วงเก้าเดือนที่ผ่านมาพวกเรายังไม่พบเบาะแสอะไรเลย”
ไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ จูฮอนรู้ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์พวกนี้ แม้จะไม่มีใครบอกอะไรเลย
[การปรากฏตัวของสุสาน]
นี่คือหายนะของโลกซึ่งเกิดจากโบราณวัตถุที่กำลังมองหาเจ้านาย
ซุส โซโลมอน โซกราตีส เฟาสต์ นอสตราเดมัส ชือโหยวหรือเทพเจ้าแห่งสงครามของจีน และคนอื่น ๆ โบราณวัตถุที่มีความสามารถของเทพเจ้า วีรบุรุษและบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ปรากฏบนโลก
โบราณวัตถุใช้วิธีการต่าง ๆ ในการเลือกเจ้านายของมันเอง ถึงกระนั้นสุสานเองก็ถูกสร้างในระหว่างนั้น ผู้คนเห็นว่าสุสานเป็นเหมือนสัญญาณและการรวมตัวที่อยู่เหนือพวกเขา
‘นรกจะถูกสร้างขึ้นครั้นเมื่อสุสานเริ่มปรากฏบ่อยขึ้น’
โบราณวัตถุต่าง ๆ ได้นำผลประโยชน์มาสู่ผู้คน กระนั้นเองหากเป้าหมายของพวกเขาคือการทำลายมนุษยชาติ มันก็อาจเรียกได้ว่านี่เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
ผู้คนเริ่มฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงโบราณวัตถุ ผู้ถือครองได้เปลี่ยนโครงสร้างสังคม วิธีเดียวที่จะอยู่รอดได้คือการค้นหาโบราณวัตถุที่ยิ่งใหญ่และกลายเป็นผู้ใช้โบราณวัตถุเสียเอง
‘ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหากเราไม่ทำเช่นนั้น’
นี่เป็นส่วนสำคัญของคำถามของเขา
“นี่พี่ เคยเห็นพวกเหนือมนุษย์บ้างไหม?”
“อะไรนะ?……. อา! ฉันเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้เอง มันเป็นภาพยนตร์ที่มีคนดูมากกว่า 10 ล้านครั้งเลยนะ! นางเอกร้อนแรงมาก”
จูฮอนเริ่มยิ้มตอบ
จากคำตอบที่ได้ สุสานยังคงไม่ได้ถูกเคลียร์พื้นที่ และผู้ใช้โบราณวัตถุยังไม่ปรากฏขึ้นบนโลก
สุสานและสิ่งโบราณวัตถุต่าง ๆ โผล่ขึ้นมาที่นี่และที่นั่น แต่มันยังคงอยู่ในช่วงระยะแรก ๆ ฉะนั้นก็ยังไม่น่าจะมีคู่แข่งอยู่ ณ ตอนนี้
ยังไงก็เถอะ เขายังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่
ทำไมล่ะ?
ก็เพราะประธานควอนไง แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้เวลาที่แน่นอน แต่ประธานควอนก็เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ได้ครอบครองโบราณวัตถุระดับเทพเจ้า โบราณวัตถุระดับเทพรุ่นแรก
‘เราต้องเริ่มค้นหาก่อนไอ้แก่บ้านั่น’
แผนการที่ดีที่สุดคือการใช้โบราณวัตถุของประธานควอนก่อนที่เขาจะได้มาครอบครอง
จูฮอนกัดฟันตัวเองทันที เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงแขนขาที่ถูกตัดออกไป
‘ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องที่จะแก้แค้น เราต้องรีบแล้วเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก‘
จูฮอนแก้ไขปัญหาของเขาอย่างดีก่อนจะกล่าวคำอำลาและออกจากสถานีตำรวจ
มีหลายสิ่งเกินกว่าที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ทันทีที่กลับมาในอดีต
‘ที่แรกคือยุโรป สุสานที่เราจะกอบโกยได้ส่วนใหญ่ปรากฏขึ้นในยุโรปก่อน เพราะฉะนั้นเราต้องไปที่นั่น‘
และในตอนนั้นเอง
จู่ ๆ จูฮอนก็หยุดเดินทันทีที่ตระหนักถึงความจริงที่สำคัญบางอย่าง
มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากจนเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาลืมมันไป
‘เดี๋ยวนะ ตอนนี้เราคงไม่ได้ถังแตกอยู่ใช่ไหม?’
และมันก็เป็นอย่างนั้น
ในช่วงเวลานี้ เขาไม่มีเงินแม้แต่จะจ่ายค่าน้ำค่าไฟได้เลยด้วยซ้ำ
ลืมเรื่องขึ้นเครื่องบินไปได้เลย ตอนนี้เขาไม่มีเงินซื้อสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันเลยด้วยซ้ำ!
จูฮอนถอนหายใจทันทีที่นึกขึ้นได้
‘เราควรจะจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือที่ค้างชำระอยู่ด้วยเงินขโมยมานี่แหละ‘
จากสถานการณ์ ยุคของโบราณวัตถุจะเริ่มอย่างเป็นทางการเมื่อราวสองเดือนก่อน อย่าได้กล่าวถึงการบุกสุสาน ตอนนี้แค่ไปยังประเทศปลายทางยังเป็นปัญหาเลย
‘บ้าเอ้ย ทำไมเราถึงจำพวกเลขล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลใหญ่ไม่ได้กันนะ’
ความจำของเขาในตอนนี้ยังดีกว่าพวกผู้คนไร้ประโยชน์เสียอีก
ยังไงเสีย มันก็เป็นอย่างนั้น
“เฮ้ย! ซอจูฮอน”
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งตะโกนเรียกจูฮอนหลังจากที่เขาออกมาจากสถานีตำรวจ จูฮอนเริ่มขมวดคิ้วขณะมองดูพวกเขา
‘คนพวกนี้มัน?’
พวกนั้นเป็นรุ่นพี่ในบริษัทที่ชอบเอาเปรียบจูฮอน
พวกเขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นและส่งสัญญาณให้จูฮอนรีบไปหา
‘พวกนั้นกำลังพูดว่าจะฆ่าเราหากเราไม่ไปหางั้นเหรอ?’
เขาไม่รู้สิ่งที่พวกนั้นต้องการ แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่การชวนไปเที่ยวหรือเล่นสนุกแน่นอน
กระนั้น จูฮอนเริ่มยิ้มขึ้นมาราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างออกในขณะที่มองไปที่พวกนั้น
‘อย่างน้อยก็ยังมีพวกกุ๊ยที่มีประโยชน์อยู่บ้างสินะ’