รัตติกาลไม่สิ้นแสง - ตอนที่ 314 ฝ่าอุปสรรค
ตอนที่ 314 ฝ่าอุปสรรค
ณ ห้องเลขที่ 11 เขต C ชั้น 495
ที่นี่คือ ‘บ้านหลังใหญ่’ ที่หลงเยว่หงซื้อให้พ่อแม่
เมื่อเทียบกับบ้านหลังเก่า ที่นี่มีห้องนอนขนาดเล็กเพิ่มมาอีกสองห้อง ทำให้ในที่สุดน้องชายกับน้องสาวของหลงเยว่หงก็มีพื้นที่ส่วนตัวได้เสียที
หลงเยว่หงเพิ่งจะเปิดประตูบ้านก็มองเห็นกู้หงผู้เป็นมารดาฟังวิทยุไปพลาง ถักเสื้อไหมพรมไปพลาง ส่วนบิดาหลงต้าหย่งนั่งอยู่ด้านข้าง เคาะจังหวะเบาๆ ตามเสียงเพลงที่ดังอยู่ในห้อง
รายการวิทยุตอนนี้เป็นช่วงเพลงก่อนนอน
เมื่อหลงต้าหย่งกับกู้หงรับรู้ถึงการหมุนของลูกบิดประตูก็หันไปมองที่ประตูบ้านพร้อมๆ กัน คนหนึ่งเตรียมด่า อีกคนก็เตรียมเป็นลูกคู่
จนกระทั่งเห็นได้ชัดว่านั่นคือหลงเยว่หง ทั้งคู่ก็ลุกขึ้นยืนพรวดทันที
กู้หงวางเข็มถักไหมพรมในมือลง อดยิ้มออกมาไม่ได้
“กลับมาแล้วเหรอ
“ครั้งนี้ออกไปตั้งนานเลยนะ หลายเดือนมานี้แม่เอาแต่กลัวว่าจะมีคนจาก ‘แผนกความมั่นคง’ มาหา มาแจ้งข่าวร้าย…”
พูดๆ ไป กู้หงก็นิ่งเงียบ ดวงตาแดงระเรื่อเล็กน้อย
เธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่ผิวขาวเนียนดูสะอาดสะอ้าน เมื่อช่วงเทศกาลตรุษจีนก่อนหน้านี้ไปดัดผมมา ดูแล้วออกไปทางชาวตะวันตก
หลงต้าหย่งรีบเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พูดอะไรของเธอน่ะ ลูกกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง”
เขาสูง 170 เซนติเมตร ดูค่อนข้างกำยำล่ำสัน
กู้หงปรับสภาพจิตใจได้อย่างรวดเร็ว พูดขึ้นระหว่างเดินไปยังตู้เก็บของ
“ช่วงตรุษจีนแม่ไปแลกไหมพรมมา เอามาถักเสื้อให้ ลองสวมดูซิว่าใส่ได้พอดีหรือเปล่า”
หลงเยว่หงหลับตาลงพลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิแล้วนะ”
“เสื้อบางๆ น่ะ สวมตอนฤดูใบไม้ผลิก็ได้ นอกจากนี้นะ ในบริษัทพวกเราน่ะ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนๆ ก็ไม่ได้มีอะไรแยกกันชัดเจนขนาดนั้นเสียหน่อย” กู้หงพูดไม่ไปหยุดหย่อนในขณะที่เปิดตู้
หลงเยว่หงลากเก้าอี้มานั่งลงไป ก่อนจะมองดูรอบๆ
“แล้วพวกเสี่ยวอ้ายล่ะ”
เขาถามถึงน้องชายน้องสาวของตน
“เดี๋ยวนี้โตๆ กันแล้ว ปีกกล้าขาแข็งกันหมด ก็เลยไม่ชอบอยู่บ้านแล้วล่ะ ถ้าไฟยังไม่ดับก็ยังไม่กลับบ้านมาให้เห็นหน้าหรอก!” กู้หงบ่นเป็นชุด
หลงเยว่หงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะตอนเขาอายุเท่านี้ก็ไม่ชอบจับเจ่าอยู่กับบ้านเหมือนกัน ชอบไปสุมหัวอยู่กับพวกซางเจี้ยนเย่าหยางเจิ้นหย่วนและคนอื่นๆ ที่มุมถนน ฟังรายการวิทยุบ้าง พูดคุยสนทนาเรื่องนู้นเรื่องนี้บ้าง
เขาพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ก็ดีนี่นา ไม่แน่ว่าอีกหน่อยอาจจะมีใจให้กันก็ได้”
กู้หงที่เพิ่งหยิบเสื้อไหมพรมถักตัวใหม่ออก ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา
“อ้อ จริงสิ ก่อนหน้านี้ลูกสาวบ้านเหล่าจางที่เคยชอบลูกน่ะ ก่อนตรุษจีนก็รบเร้าคอยถามว่าลูกจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่แม่กับพ่อแกก็ไม่รู้จะตอบยังไง ต่อมา… เธอก็เหมือนว่า… จะมีแฟนไปแล้ว”
แม้ว่าหลงเยว่หงจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้
เขายิ้มพลางถอนหายใจ
“เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ”
ในตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าภารกิจของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าถ้าหากตนเองไม่ได้ออกจากทีมอย่างถาวรแล้ว หากไปผูกสมัครรักใคร่กับสาวอื่นก็เท่ากับเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายแล้ว
แต่ครั้นเมื่อคิดถึงว่าถ้าเกิดตนเองเสียชีวิตไปในระหว่างปฏิบัติภารกิจโดยที่ไม่เคยมีคนรักเลย ก็รู้สึกไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง
“ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ…” กู้หงพูดทวนวลีนี้แล้วมองหลงเยว่หงอย่างสงสัย “ตอนลูกอยู่ข้างนอก ถูกทำร้ายมาอย่างนั้นเหรอ”
หลงเยว่หงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะยกแขนขึ้นมาเบ่งกล้ามให้ดู
“นี่เรียกว่าได้ผ่านประสบการณ์มาเยอะ จิตใจได้เติบใหญ่ขึ้นน่ะ”
กู้หงเหลือบมองเขาแล้วโยนเสื้อไหมพรมถักตัวบางให้
“เจ้าสำนวนมากกว่าสมัยก่อนนะ…”
หลงเยว่หงไม่ได้แย้ง เขาหัวเราะแล้วถอดเสื้อนอกออก จากนั้นก็ลองสวมเสื้อไหมพรมถักภายใต้สายตาจับจ้องของผู้เป็นมารดา
* * * * *
ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ซางเจี้ยนเย่าว่ายน้ำมาเนิ่นนาน ทว่าข้างหน้าก็ยังคงเป็นมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตา
ในเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง ซ้ำยังแสดงรอยยิ้มออกมาเสียอีก
นี่หมายความว่าในที่สุดเขาก็สามารถข้ามเกาะที่สามมาได้แล้ว
ก่อนหน้านี้หลังจากว่ายน้ำไปถึงระยะหนึ่งก็จะกลับไปยังเกาะเดิมทุกครั้ง แต่ตอนนี้เขาได้ออกจากพื้นที่เขตนั้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
ขณะกำลังใช้ความคิด เหนือศีรษะซางเจี้ยนเย่าก็ปรากฏไข่มุกราตรีสีฟ้าเขียวขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันเขาก็แยกเป็นเก้าร่างอีกครั้ง สร้างสิ่งของจำพวกโทรโข่งเพื่อทดสอบความเปลี่ยนแปลงของพลังพิเศษตัวเอง
หลังจากซางเจี้ยนเย่าทั้งเก้าใช้ร่างกายตัวเองเป็นวัตถุทดลองอย่างไม่ลดละ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อสรุปเบื้องต้น
พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ มีระยะขอบเขตขยายออกไปเป็น 8 ถึง 10 เมตร จำนวนเป้าหมายที่สามารถใช้ได้พร้อมกันเพิ่มเป็น 9 คน แต่ถ้าเป้าหมายมีความแตกต่างกันมาก หากไม่มุ่งเป้าไปที่ตัวพวกเขาแต่ละคนโดยพูดแบบตัวต่อตัวหรือหนึ่งต่อสองและแยกเงื่อนไขส่วนรวมออกมา อิทธิพลของพลังจะไม่ค่อยเป็นไปตามที่คิดเท่าไรนัก
ในทำนองเดียวกัน การใช้โทรโข่งเพื่อเพิ่มระยะทางนั้นก็สามารถส่งผลกระทบได้ถึงเก้าเป้าหมาย แต่เป้าหมายจะต้องรวมตัวอยู่ในพื้นที่เดียวกันในรัศมีสามเมตร และอิทธิพลของพลังเองก็ลดลงไปด้วย
ระยะประสิทธิผลของ ‘คนไร้เหตุผล’ อยู่ที่เกือบ 15 เมตร และสามารถกำหนดเป้าหมายได้ 9 คนพร้อมกัน การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ นั้นมีไม่มากนัก
ระยะขอบเขตของ ‘พันธนาการมือ’ เพิ่มขึ้นเป็น 30 เมตร และยิ่งกว่านั้นก็คือสามารถทำให้เป้าหมายสูญเสียการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่แตกต่างกันในแต่ละคนโดยไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
นี่คือผลการทดสอบของซางเจี้ยนเย่าภายในโลกแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ในโลกแห่งความจริงก็จะมีความแตกต่างบางอย่างในระดับหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรในโลกแห่งนี้ เขา ‘คิดสิ่งใดก็สมปรารถนา’ แต่แก่นสำคัญนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง
หลังจากจบเรื่องนี้แล้วซางเจี้ยนเย่าก็รู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นจึงถอนตัวจาก ‘ทะเลต้นกำเนิด’
* * * * *
หลังจากลืมตาขึ้นมา ซางเจี้ยนเย่าเห็นว่าไฟทางเดินด้านนอกยังเปิดอยู่ ไม่ได้ดับลง
เขาหยิบกุญแจทองเหลืองแล้วออกจากห้อง 196 ท่ามกลางเสียงดนตรีไพเราะจากวิทยุ สองมือล้วงกระเป๋าเดินเอ้อระเหยไปที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ในเขต C
ในเวลานี้เหลือเวลาก่อนจะดับไฟอีกไม่นานนัก พนักงานใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ เหลืออยู่ไม่มากเท่าไร เหลือเพียงแค่คนเล่นไพ่โป๊กเกอร์อยู่สองโต๊ะกับพวกวัยรุ่นจับกลุ่มคุยกันอยู่หัวมุม
ซางเจี้ยนเย่าพบบริเวณที่ไม่มีคนอยู่ เขาลากเก้าอี้มานั่งลงไป มองดูสิ่งเหล่านี้เงียบๆ
เสียงที่ถ่ายทอดเข้าสู่ใบหูเขาก็คือเสียงถกเถียงและหัวเราะเฮฮา สิ่งที่สะท้อนสู่นัยน์ตาเขาก็คือใบหน้าต่างๆ ที่แสดงอารมณ์หลากหลายและเสื้อผ้าต่างๆ ที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกัน
ทุกสิ่งเหล่านี้คือความมีชีวิตชีวา
ซางเจี้ยนเย่านั่งมองอย่างเงียบๆ สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย มันสงบนิ่งอ่อนโยน
ผ่านไปหนึ่งถึงสองนาที เฉินเสียนอวี่ ผู้รับผิดชอบ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ถึงได้พบการดำรงอยู่ของเขา จึงเดินกะโผลกกะเผลกเล็กน้อยเข้ามาหา
“ฉันก็นึกว่าเธอจะตายไปแล้วซะอีก” ผู้เฒ่าผมหงอกพูดหยอกเย้าเขาประโยคหนึ่ง
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขาแล้วส่งยิ้มให้
“ผมเจอเฉินซวี่เฟิง”
เขาคือเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหญ้าไพร อีกทั้งยังเป็นลูกชายคนสุดท้องของเฉินเสียนอวี่ด้วย
ดวงตาเฉินเสียนอวี่เบิกโพลงขึ้นมาทันที
“อะไรนะ
“เจ้าเด็กน่าตายนั่นเป็นไงบ้าง ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
สีหน้าซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ส่ายศีรษะอย่างเชื่องช้า
ดวงตาเฉินเสียนอวี่หม่นหมองลงไปโดยพลัน
“ผมโกหกน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“…” เฉินเสียนอวี่อึ้งไปก่อนจะพูดฮึ่มฮั่มต่อทันที “ฉันก็ว่าแล้ว ถ้าเขาตายอยู่ข้างนอกนั่น แผนกความมั่นคงจะไม่แจ้งฉันได้ยังไง”
โดยไม่ให้โอกาสซางเจี้ยนเย่าพูด เขาแสร้งทำเป็นถามอย่างไม่ใส่นัก
“แล้วตอนนี้เขาเป็นไงบ้างล่ะ”
เขาถามอย่างกำกวมเพราะรู้ว่าภารกิจของลูกชายคนสุดท้องนั้นเป็นมาตรการรักษาความลับ มีรายละเอียดมากมายที่ถึงแม้อยากเล่าก็ไม่อาจเอ่ยปากได้
“ดีเลยล่ะ เร็วๆ นี้ก็จะได้เลื่อนขั้นด้วย” ซางเจี้ยนเย่าเองก็ให้คำตอบที่กำกวมเช่นกัน
เฉินเสียนอวี่ผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด หัวเราะแล้วนั่งลงถัดจากซางเจี้ยนเย่า
“ครั้งนี้ออกไปข้างนอกตั้งหลายเดือน ดูท่าแล้วคงไปมาหลายที่เลยสินะ”
“น่าสนใจทุกที่เลยล่ะ” ซางเจี้ยนเย่ามองดูกลุ่มคนที่นั่งเล่นไพ่โป๊กเกอร์แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม
เฉินเสียนอวี่กวาดตามองพวกวัยรุ่นที่หัวมุม หัวเราะฮาฮาออกมา
“งั้นเหรอ นิคมคนเร่ร่อนแดนร้างที่ฉันเคยไปตอนนั้น ไปทีไรก็มีแต่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับอย่างจริงใจ
“ต้องมีดวงตาที่ดีถึงจะสามารถมองเห็นความงดงามที่ซ่อนอยู่ได้”
“คะ… คำพูดแบบนี้ไปหัดมาจากไหนเนี่ย” เฉินเสียนอวี่ฉุนเฉียวระคนสุขใจ
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“จากหัวหน้าผมน่ะ คุณเจี่ยงไป๋เหมียน”
ทั้งสองคนเพิ่งจะพูดคุยกันไม่กี่ประโยค วงไพ่ก็เล่นกันจบ บรรดาพนักงานอาศัยช่วงเวลาที่ไฟยังไม่ดับ หัวเราะเฮฮาพากันแยกย้ายกลับบ้านตนเองหรือไม่ก็แยกกันไปเข้าห้องน้ำสาธารณะ
เพียงไม่นาน ‘ศูนย์กิจกรรม’ ก็กลายเป็นเงียบสงัดว่างเปล่า เฉกเช่นการมาถึงของเวลาวิกาล
ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า โบกมือกล่าวอำลาผู้สูงวัยแล้วกลับไปที่เขต B
เมื่อเห็นห้องหมายเลข 196 ใกล้เข้ามา เขาก็แหงนหน้าขึ้น มองไปยังกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้บนเพดาน
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น มีเพียงแค่จุดแสงสีแดงเป็นสัญลักษณ์
ซางเจี้ยนเย่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่มัน