รักสุดหัวใจ - ตอนที่ 11 ผู้ชายแบบไหนที่มาอยู่ข้างๆเธอกัน?
เย่เฉียวคว้าแขนเสื้อเขาไว้ทันที: "ถ้าเขายังอยู่อยู่นอกจะทำอย่างไร? คุณออกไปไม่ได้นะ"
"เขาไปแล้ว"
เย่เฉียวค่อยๆปล่อยมืออย่างช้าๆ เขารู้ได้อย่างไรว่าเย่เจิงไปแล้ว แต่เธอก็ยังเลือกที่จะเชื่อเขาอย่างอธิบายไม่ถูกอยู่ดี
ความไว้วางใจแบบนี้ แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังรู้สึกว่ามันไร้สาระ เธอคิดไปได้อย่างไรกัน
เย่เฉียวอยู่ในห้องคนเดียว ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับแต่ก็ไม่กล้าเปิดประตูออกไปข้างนอกเพราะกลัวจะเจิเย่เจิง ยิ่งไปกว่านั้นคือกลัวจะเจอเย่จิ่นถัง
เธอไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอประหม่าและหวาดกลัวขนาดนี้
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับการทรยศใครสักคนเพื่อขโมยรักใครสักคน ช่างน่ากลัว
เย่เจิงอยู่ในห้องของเย่จิ่นถัง ดื่มน้ำและเอาแต่มองเย่จิ่นถังแต่ก็ไม่พูดอะไร
"อาสาม ผู้ชายที่อยู่ข้างเฉียวเฉียวเป็นคนแบบไหนกันแน่ ทำไมถึงทำให้เธอ…" ทำถึงขั้นนั้นได้ เย่เฉียวไม่ใช่ผู้หญิงมั่วไปทั่ว ถ้าไปใช่ชายที่ชอบก็คงไม่มอบตัวเองไปแบบนั้น
เย่จิ่นถังลูบเคราบางๆของตัวเอง: "ไม่แน่ใจ ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้นิสัยของเธอ คงกลัวพี่สะใภ้บังคับให้เธอแต่งงานล่ะมั้ง นายก็รู้ว่าตระกูลที่เหมือนกับตระกูลเย่ก็ใช้ลูกๆจับแต่งงานกันทั้งนั้น"
"อาไม่ได้อยู่กับเธอทั้งวันหรือไง"
"ฉันมีธุระที่ต้องทำที่แคลิฟอร์เนีย จะมาจับตามองเธอตลอด 24 ชั่วโมงหรือไง? อาเจิง นายแต่งงานแล้ว สนใจน้องสาวเกินไปหน่อยมั้ง" ดวงตาของเย่จิ่นถังดูเย็นยะเยือก
เย่เจิงถึงรู้ว่าเขาอารมณ์เสียต่อหน้าเย่จิ่นถัง
"สองสามวันก่อนเธอเท้าแพลง ฉันถึงเลื่อนเวลากลับมานิวยอร์ก แต่ฉันไม่คิดว่านายจะมา" เย่จิ่นถังพูดไปก็อดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้นี่ไม่โตสักที อยากจะทำอะไรก็ทำ
"ผมแค่เป็นห่วงเธอ เธอไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน คืนนั้นผมโทรหาเธอก็รู้สึกผิดปกติ"
เย่จิ่นถังรินไวน์ให้เขาหนึ่งแก้ว: "อาเจิง พฤติกรรมของนายจะให้คนตระกูลอันคิดกันอย่างไร?" น้ำเสียงของเย่จิ่นถังสงบและไร้ซึ่งอารมณ์
เย่เจิงชะงัก: "อาสาม อาพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?"
"ไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น แค่รู้สึกนายจบทริปฮันนีมูนกระทันหันแล้วยังมาแคลิฟอร์เนียอีก"
น้ำเสียงของเย่จิ่นถังเนิบนาบ เมื่อเทียบกับประสบการณ์และอายุของเขา เย่เจิงก็ยังมีความกระวนกระวายและไม่รอบคอบ
เย่เจิงไม่ได้พูดอะไร เหมือนว่าถ้ายังพูดเป็นห่วงไปมากกว่านี้ เย่จิ่นถังคงได้ขุดคุ้ยเพิ่มแน่
"ไปนอนในห้องฉันไปแล้วพรุ่งนี้ก็กลับด้วยกัน" เย่จิ่นถังไม่ถามอะไรมาก เขาไม่ได้สงสัยอะไรเกี่ยวกับเย่เจิงแล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย
ในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนขึ้นเครื่องบินไปนิวยอร์ก เย่เฉียวไม่ได้นอนทั้งคืน ตื่นมาตอนเช้าก็เลยแต่งหน้าหนาๆถึงปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียวได้
เมื่อเครื่องบินนิ่ง เธอก็หลับตาลงและสะลึมสะลือ
เธอนั่งถัดจากเย่จิ่นถัง มีทางเดินกั้นและฝั่งนั้นก็เป็นเย่เจิง
เดิมทีเย่เจิงคิดจะมาคลุมผ้าห่มให้เธอ แต่กลับโดนเย่จิ่งถังแย่งไปก่อน เย่เจิงมองการกระทำที่อ่อนโยนของเย่จิ่นถังก็รู้สึกไม่สบายใจ
เป็นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไปอย่างหมดจด
"หลังจากลงจากเครื่องบิน นายก็ไปบ้านตระกูลอันเถอะ คนอื่นๆ กำลังจับตามองนายกับเย่เฉียว" เย่จิ่นถังเหลือบมองเย่เจิงนิ่งๆ
เย่เจิงแอบรู้สึกว่าเย่จิ่งถังตั้งใจจะปกป้องเย่เฉียว และเขาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันเลยสบสายตาเย่จิ่นถังแล้วพยักหน้าให้เบาๆ
เมื่อมาถึงนิวยอร์ก เย่เจิงก็แยกจากพวกเขาทันทีและไปบ้านตระกูลอัน เย่เฉียวมองตามหลังเย่เจิงไปอย่างเหม่อลอย
เธอรู้สึกควบคุมขาตัวเองไม่ค่อยอยู่ อยากจะตามไป อยากจะกอดเขา ความปรารถนานี้ดูเหมือนว่าไม่เคยลดลงเพราะเย่เจิงแต่งงานแล้วเลย แต่กลับเพิ่มขึ้น
มือใหญ่ที่หยาบกร้านของเย่จิ่นถังจับข้อมือของเธอ: "รถอยู่นี่ เธอจะไปไหน"
เสียงทุ้มและนิ่งขรึมดึงสติของเย่เฉียวกลับมา เธอหันมาแล้วเดินตามรอยเท้าของเย่จิ่นถัง อยากจะหลุดจากมือของเขา แต่ก็ไม่กล้า
โชคดีที่เย่จิ่นถังไม่ชอบให้ตัวเองเป็นข่าว แม้แต่ข่าวเศรษฐกิจก็มักจะได้ยินชื่อเขาแต่ไม่เห็นเขาตัวเป็นๆ จริงๆ แล้วมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเย่จิ่นถังมีหน้าตาเป็นอย่างไร
เธอรู้สึกกระดากใจ แต่ในสายตาของใครหลายๆ คน พวกเขาก็เป็นเพียงคู่รักธรรมดาๆ
"แม่ยังคิดว่ามีแค่คุณเท่านั้นที่ควบคุมฉันได้ใช่ไหม?"
เย่เฉียวนั่งอยู่บนรถก็เปิดปากพูด ใช่สิ ตั้งแต่เด็กจนโต เธอไม่ใช่คนที่จะสอนได้ง่ายๆ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมก่อนที่จะเข้าบ้านตระกูลเย่ หรืออาจจะเป็นเพราะพ่อแม่แท้ๆมีนิสัยแบบนี้ถึงมอบมรดกชิ้นนี้ให้เธอ
"อืม"
เย่เฉียวหัวเราะ แม่จับจุดอ่อนเธอไว้ เธอกลัวอะไรก็จะเอาอันนั้นมา แต่เพียงครั้งนี้ที่เธอไม่รู้สึกว่าเธอผิด
เธอยังรู้สึกโดนใส่ความ บริสุทธิ์จนไม่ไร้เดียงสาต่อไปแล้ว แถมยังถูกคุกคามมาอย่างยาวนาน เธอเสียเปรียบและสูญเสียไปมากแต่เธอจะไปบอกใครได้?
ตั้งแต่เด็ก เธอก็ไม่มีคนให้ระบายด้วย และไม่มีมาตลอด
"หัวเราะอะไร?"
"หัวเราะเยาะตัวเอง ฉันคิดว่าถ้าตอนนั้นฉันซ่อนตัว พ่อแม่คงไม่รับฉันมาเลี้ยง" เย่เฉียวรู้สึกเสียใจที่เข้ามาในตระกูลเย่เป็นครั้งแรก
เย่จิ่นถังมองมาที่เธอ และค่อยๆ เลิกคิ้ว จากนั้นก็ละสายตาไป ทำไมถึงเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น
"เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว คิดไปก็ไม่ได้อะไร"
"อาสาม จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ใช่คนโลกเดียวกับทุกคน หรือกับคุณด้วย"
เย่จิ่นถังเยาะเย้ย เยาะเย้ยคำพูดของเธอ
เย่เฉียวพิงเบาะหลังและหลับตาลง นึกย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเธอมีอายุได้เพียงไม่กี่ขวบ ทำไมถึงมาปรากฏตัวตรงหน้าตระกูลเย่ด้วย
ถ้าเธอไม่ออกมาตั้งแต่แรก เธอก็จะยังคงอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ทรุดโทรมนั่น จนเติบโตโดยไม่มีความเจ็บปวดเช่นนี้
หลังจากที่เย่เฉียวกลับมาถึงบ้านก็นอนไปนาน และไม่อยากจะตื่นขึ้นมา เย่จิ่นถังที่ไม่ค่อยกินข้าวที่บ้านก็กินข้าวเสร็จ หลังจากที่เย่เฉียวตื่นก็เห็นว่ามีคนเพิ่มมาบนโต๊ะอาหาร เย่จิ่นถังยังไม่ไปอีก จะอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?
อันเยว่จ้องไปที่เย่เฉียวด้วยดวงตาที่หนักหน่วงและกำหมัดโดยไม่รู้ตัว เย่เฉียวที่เพิ่งนั่งก็รู้สึกว่าสายตาอันเยว่ที่จ้องมาเป็นศัตรูทันที
เธอต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ ทริปฮันนีมูนของเย่เจิงสิ้นสุดลงกะทันหัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับเธอ
เธอตั้งใจไม่คิดว่าทำไมเย่เจิงถึงเดินทางไปแคลิฟอร์เนียเพื่อหาเธอหลังจากทริปฮันนีมูน และทำไมถึงโกรธเคืองเมื่อรู้ว่าเธอมีผู้ชาย
"พ่อคะ หนูมีเรื่องอยากจะบอก"
เย่ซู่เฉิงมองมาที่เธอและยิ้มอย่างอ่อนโยน เด็กคนนี้ดูผิดปกติ
คนที่ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดเเละไม่เคยพูดเรื่องอื่นบนโต๊ะอาหาร