เหตุการณ์ด้านหน้านั้นที่ดูชุลมุนวุ่นวาย
เยี่ยหลานซานตกใจและถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
และยิ่งเป็นเวลานี้ ถ้าเกิดว่ายังติดอยู่ตรงนี้อีกนานด้วยแล้วล่ะก็ เธอต้องไปทำงานสายแน่ ๆ
“เดี๋ยวผมลงไปดูเองครับคุณเยี่ย”
บอดี้การ์ดที่นั่งอยู่ข้างคนขับพูดขึ้นแล้วเปิดประตูลงไปทันที
ครึ่งนาทีต่อมา เขาก็กลับมาที่รถพร้อมกับสายตาที่ไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย “มีนักข่าวจำนวนมาก กำลังหยุดรถคันหน้าเพื่อจะขอสัมภาษณ์เจ้าของรถคันหน้า เนื่องจากเมื่อคืนเขาดื่มจนเมาแล้วก็เกิดเหตุปะทะกันขึ้นครับ และตอนนี้ทางข้างหน้าไปต่อไม่ได้เลยครับ”
เยี่ยหลานซานก้มดูนาฬิกา “ทำไมจู่ ๆ พวกนักข่าวถึงมาสัมภาษณ์กันตอนนี้ เว้นเสียแต่ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
ในขณะที่บอดี้การ์ดคนนั้นกำลังจะยกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงถึงผู้ดูแลโรงแรมแห่งนี้ เขาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินมาพร้อมกับกระบองไฟฟ้าในมือพอดี และพวกเขาก็เคลียร์สถานการณ์ที่กำลังวุ่นวายด้านหน้านั้นได้สำเร็จ จนรถคันหน้าสามารถขับออกไปได้
“เราไปกันเถอะครับ”
เมื่อถนนด้านหน้าถูกเคลียร์เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลานซานก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีก
แต่เมื่อเธอรถของเธอเคลื่อนตัวผ่านกลุ่มนักข่าวพวกนั้นไป ด้วยความที่กระจกหน้าต่างรถฝั่งเยี่ยหลานซานนั้นถูกปรับลงเล็กน้อย มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ยินคนพูดถึงชื่อของเธอเอง…
“พวกเขามาที่นี่เพราะฉันรึเปล่า?”
เธอรู้สึกตกตะลึง แล้วก็งงมาก!
ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ถึงทำให้พวกนักข่าวแห่กันมาที่ไดนาสตี้กันเช้าขนาดนี้?
ทันใดนั้นก็มีนักข่าวตาแหลมคนหนึ่งเห็นเยี่ยหลานซานผ่านกระจกรถ เขาจึงตะโกนขึ้นมา “เยี่ยหลานซาน! ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นรถของเยี่ยหลานซาน!”
ทำให้กลุ่มนักข่าวพากันกรูเข้ามาที่รถทีละคน
เยี่ยหลานซานทำอะไรไม่ถูก
แต่เธอแทบไม่ต้องสั่งการอะไร บอดี้การ์ดของเธอก็เหยียบคันเร่งและสามารถขับเลี่ยงกลุ่มนักข่าวพวกนั้นมาได้
รถแล่นพ้นจากที่แห่งนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด เสี่ยวจินก็หันกลับไปมองตามด้วยความโล่งอก…
เธอเห็นว่ากลุ่มนักข่าวพวกนั้นวงแตกกระเจิง วุ่นวายกันไปหมดแล้ว
บางคนรีบกระโดดขึ้นรถอย่างไวเพื่อจะขับตามมา ส่วนบางคนก็ยังคงถือกล้องวิ่งไล่ตามมาด้วยความตกใจ บางคนก็ไม่รู้ว่าไปได้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามาจากไหน รู้ตัวอีกทีก็ขี่ตามรถของพวกเธอมาแล้ว
เสี่ยวจินตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ “รีบขับไปเลยพี่ เร็ว ๆ เลย พวกเขากำลังตามมาแล้ว!”
โดยทักษะการขับขี่ของบอดี้การ์ดคนนี้ก็ไม่ธรรมดา เขาเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดในทันทีที่ได้ยินคำเตือนจากเสี่ยวจิน
เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่จะสลัดนักข่าวพวกนั้นให้พ้นทางได้ หลังจากหนีกลุ่มนักข่าวพ้น เสี่ยวจินก็เอนหลังพิงเบาะด้วยความลุ้นจนเหนื่อย และพึมพำออกมาด้วยเสียงที่ยังเหลืออยู่ “พี่เยี่ยคะ ทำไมคนพวกนั้นถึงต้องมายืนรอพี่อยู่ที่หน้าประตูทางออกของลานจอดรถโรงแรมด้วยอะคะ?”
“พี่ก็อยากรู้เหมือนกัน…”
สีหน้าของเยี่ยหลานซานตอนนี้เต็มไปด้วยความหดหู่
เธอขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกเครียดเล็กน้อย และขอให้เสี่ยวจินช่วยตรวจดูบนโซเชียลว่ามีใครแฉเรื่องอะไรของเธอกับสื่ออีกรึเปล่า แต่นอกจากแฮชแท็กคว่ำบาทเธอในการแสดงบทเซิงเกอ ก็ไม่มีข่าวอย่างอื่นอีกเลย ปัดดูโพสใหม่ล่าสุดก็ไม่มีสิ่งที่เกี่ยวกับเธออีกเหมือนกัน
แต่เธอก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องนี้มันดูมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง
ผ่านไปสักพัก เสี่ยวจินก็จ้องไปที่เยี่ยหลานซาน ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ทำท่าเหมือนกำลังมีเรื่องอะไรจะซุบซิบกับเธอ
เยี่ยหลานซานที่กำลังมองอยู่ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ทำอะไรของเธอน่ะ”
เสี่ยวจินเลิกคิ้ว และหรี่ตาลงก่อนจะถามเธอไปว่า “พี่เยี่ย พี่กับผู้ชายคนนั้น เมื่อคืนพวกพี่ 2 คนได้…?”
แล้วเยี่ยหลานซานก็หน้าแดงขึ้นมา “มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
“งั้นทำไมพี่ต้องหน้าแดงด้วย?”
“พี่เปล่านะ!”
เสี่ยวจินหน้ามุ่ยก่อนจะตอบกลับไปว่า “อย่างนี้ต้องมีอะไรแน่ ๆ!”
เยี่ยหลานซานกระตุกยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เธอผลักเด็กสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เรื่องของผู้ใหญ่ เธอไม่เข้าใจหรอก เป็นเด็กดีนะ ไม่ต้องถามแล้ว”
เสี่ยวจินค้าน “หนูโตแล้วนะคะ!”
เยี่ยหลานซานพูดต่ออย่างมีเหตุผล “โตแล้วก็ยังไม่นับว่าสมควรรู้เรื่องแบบนี้ เธอต้องเติบโตให้ได้เท่าพี่ตอนนี้ก่อน ถึงจะเข้าสู่โลกของการเป็นผู้ใหญ่ได้”
เสี่ยวจินเงียบ พลางคิดอะไรบางอย่างในใจ
พี่เยี่ยสูง 168 เซนติเมตร ส่วนเธอสูงแค่ 160 เซนติเมตร ห่างกันตั้งเกือบ 10 เซนติเมตรแหนะ! อายุของเธอเองก็ 18 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าจะลัดขั้นตอนเพิ่มความสูงยังไงก็คงจะไม่ถึง 168 อยู่ดี!
แล้วเธอก็พึมพำออกมา “พี่เยี่ย ถึงอายุของหนูจะยังไม่เท่าพี่ แต่หนูก็ไม่ใช่เด็กเอ๋อนะคะ ขนาดร่างกายของคนเราเนี่ย ถูกกำหนดขึ้นมาจากกรรมพันธุ์ที่มีมาแต่บรรพบุรุษของเรา! อายุต่างหากคือเกณฑ์แบ่งแยกระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ค่ะ!”
“…”
เด็กคนนี่นี้ช่างถามช่างสงสัยเสียจริง ๆ !
แล้วไหนจะเรื่องกรรมพันธุ์อะไรนี่อีกล่ะ?
เยี่ยหลานซานจึงทำได้เพียงแค่งัดไม้ตายออกมา นั่นก็คือยื่นเค้กช็อคโกแลตให้เสี่ยวจินนั่นเอง
แล้วของกินก็สามารถพิชิตใจเสี่ยวจินได้อีกครั้ง เธอรีบรับขนมไปกินอย่างเอร็ดอร่อยในทันที
ในที่สุด บรรยากาศภายในรถก็เงียบลง
และด้วยความที่คนขับรถเร่งเครื่องไปด้วยความเร็วตลอดทาง จึงทำให้เยี่ยหลานซานไปถึงกองละครได้ก่อนเวลางานพอดี
ภายในห้องแต่งตัว หานเวยเองก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน เมื่อเธอเห็นเยี่ยหลานซานเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว เธอก็ส่งกระเป๋าของตัวเองให้กับผู้ช่วยของเธอทันที หานเวยหันกลับมานั่งสง่างามบนเก้าอี้ แล้วก็ทักถามขึ้น “หลานซาน เธอกับนายน้อยหลิงนี่เป็นอะไรกันเหรอ?”
เยี่ยหลานซานทำหน้างง
จนหานเวยต้องเอ่ยชื่อเต็มของเขาออกมา “หลิงมู่สือไง!”
เยี่ยหลานซานส่ายหัว “ฉันไม่รู้จักค่ะ”
หานเวยเองก็กลายเป็น งง ไปเลย
แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป พร้อมกับพูดจาเหน็บแนม “ชิ! ถ้าหากว่าเธอไม่อยากจะตอบจริง ๆ ฉันก็ไม่โทษเธอหรอกนะ แต่เธอก็ไม่เห็นจะต้องพูดโกหกหนิ!?”
เยี่ยหลานซานตกอยู่ในอาการสับสน “ฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ นะคะ “
“เมื่อคืนนี้ แม้แต่ผู้ช่วยของเธอก็ยังเข้าไปทานข้าวร่วมกับพวกเขาในหวงถิง แล้วเธอจะไม่รู้จักได้ยังไง?” หานเวยพูด พลางส่งสายตาจับจ้องไปที่เสี่ยวจิน พร้อมด้วยสีหน้าที่บอกให้รู้เป็นนัย ๆ ว่า “พี่สาวคนนี้มองธาตุแท้ของพวกเธอออกนะ”
เสี่ยวจินส่ายหน้าจนแก้มสั่น “ฉันก็ไม่รู้จักเขาเหมือนกันค่ะ”
หานเวยที่ได้ยินดังนั้นก็เกือบจะสำลักน้ำลาย แล้วก็ถามกลับโดยไม่คิด “นี่เธอจะบอกว่า เธอเข้าไปหวงถิงเมื่อคืนนี้เพื่อไปขอข้าวกินงั้นเหรอ?”
“เฮ้! ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะ!”
เสี่ยวจินรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นขอทาน “ถ้าพี่จะเข้าใจว่าฉันเข้าไปขอข้าวกินฟรี งั้นตัวพี่เองล่ะ ย้ายก้นเข้าไปขอเหล้ากินฟรีมางั้นเหรอ?”
หานเวยได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงคอหดลง เพราะเธอไปไม่เป็นจริง ๆ
เสี่ยวจินเป็นเด็กที่ตรงไปตรงมา เธอเริ่มบ่นออกมาทั้ง ๆ ที่ยังนั่งอยู่ข้างเยี่ยหลานซาน “พี่เยี่ยคะ เมื่อวานหนูนั่งทานข้าวอยู่ในหวงถิง จู่ ๆ พี่หานเวยกับพี่เกาซินซินก็เข้ามา หลังจากนั้นพวกเธอก็ดื่มเหล้าหยกขาวของเถ้าแก่ ที่มีราคาเหยือกละตั้ง 5 แสนหยวน คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะคออ่อนกันขนาดนั้น สุดท้ายเฉียวเฟยฝานก็ต้องมาแบกพวกเธอกลับเอง แล้วแถมยังต้องจ่ายค่าเหล้าทั้งหมด 2 ล้าน 5 แสนหยวนอีกด้วย!”
เสี่ยวจินหัวเราะคิกคักแล้วก็พูดต่อ “ ตั้ง 2 ล้าน 5 แสนหยวนแหนะ พวกพี่เขานี่ 205 สมบูรณ์แบบจริง ๆ” (205 อ่านได้ว่า เอ้อ ป๋าย วู่ เป็นคำพังเพยของจีนที่หมายถึง คนโง่และโง่แบบที่ไม่ค่อยมีเหตุผล)
หานเวยยอมจำนนต่อสิ่งที่ตนได้ทำลงไปจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
……
การถ่ายทำในช่วงเช้าดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น แต่เยี่ยหลานซานกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่มันแปลก ๆ ไปอยู่ และเมื่อถึงช่วงเลิกงานตอนเที่ยงวัน ก็มีนักข่าวสองคนปลอมตัวเข้ามาในกองละครเพื่อจะเข้ามาสัมภาษณ์เธอจริง ๆ ด้วย
“คุณเยี่ยครับ งานเลี้ยงของกองละคร จิ้งจอกสาว เมื่อคืนวานนี้ เราทราบมาว่าคุณเยี่ยได้ออกจากงานไปกลางคัน แต่เมื่อเช้านี้เรากลับเห็นว่าคุณเยี่ยออกมาจากไดนาสตี้เพนนินซูล่า สามารถตอบได้มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น?”
สายตาของนักข่าว 2 คนนี้เต็มไปด้วยประกายของความอยากรู้อยากเห็นและความไม่หวังดีจนรู้สึกได้ในทันที
เยี่ยหลานซานที่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูด นักข่าวอีกคนก็แทรกขึ้นมา บังคับให้เธอตอบคำถามอื่นอีก “มีพยานคนหนึ่งเห็นว่าคุณยืนกอดกับผู้ชายคนนึงที่ชั้นบน คุณมีอะไรจะอธิบายมั้ยครับ?”
เยี่ยหลานซานพูดไม่ออก
เมื่อคืนที่กงเส่าถิงอุ้มเธอกลับขึ้นไปบนห้องสวีทชั้นบน มีคนเห็นเข้าแล้วเหรอเนี่ย?
บ้าจริง!
ไม่แปลกใจเลยที่พวกนักข่าวจะมาดักรอกันอยู่ที่ทางออกลานจอดรถในเวลาเช้าขนาดนั้น ที่แท้จะมาขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวของเธอกันนี่เอง
แต่ปัญหาก็คือ คนพวกนี้จะคุยขุดเรื่องของเธอกันไปเพื่ออะไร ในเมื่อเธอเป็นเพียงแค่นักแสดงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายเลย
หากจะขุดคุ้ยเรื่องฉาวทั้งที ไปขุดคุ้ยเรื่องของเฉียวเฟยฝานกับเกาซินซินพวกนั้นไม่ดีกว่าเหรอ!
แววตาของเธอตอนนี้มันมีแต่ความสงสัย
MANGA DISCUSSION