ใบหน้าของเธอแลดูจริงจัง และในหัวของเธอก็กำลังคิดประเด็นนี้อยู่จริง ๆ
แววตาที่จริงใจของกงเส่าถิงถูกสะกดจนถึงขีดสุดด้วยคำพูดนั้นของเธอ “เธอแคร์ขนาดนี้เลยเหรอ ว่าฉันจะโดนรังแก?”
เขาเริ่มต้นคำถามด้วยน้ำเสียงต่ำ และตบท้ายด้วยหางเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยด้วยความอัศจรรย์ใจแต่ก็มีความ งง ๆ อยู่
เยี่ยหลานซานพยักหน้าอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “ใช่ค่ะ”
“เพราะอะไร”
เขาก้มหน้าถามต่อ
ตอนที่เขาพูดอยู่นั้น ก็มีความค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ ๆ เยี่ยหลานซานอีกด้วย ร่างสูงใหญ่ของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่ส่องเข้ามาจากนอกห้อง ทำให้ทั้งตัวของเขามีรัศมีสีแดงส้มอ่อน ๆ สะท้อนออกมาเล็กน้อย
ว่ากันว่า ชายหนุ่มรูปงามถือว่าเป็นยาชูกำลังเคลื่อนที่เลยทีเดียวเชียว บวกกับนิสัยเฉพาะตัวที่อ่อนโยนและหาได้ยากของเขา อีกทั้งความเซ็กซี่ที่พรั่งพรูออกมาอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเพชฌฆาตที่เกิดมาเพื่อทำลายหัวใจของสาว ๆ จริง ๆ เลย
เยี่ยหลานซานมิอาจต้านทานความอ่อนโยนนี้ได้ เธอไอออกมาเล็กน้อยเพื่อขัดจังหวะ และพยายามเบี่ยงสายตาหลบไปทางอื่นแทน “เพราะคุณลุงเป็นคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ไงล่ะคะ”
“แค่เหตุผลเดียวเองเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
ทำเอากงเส่าถิงเงียบไปพักนึง
กงเส่าถิงตาตกลงเล็กน้อย ผมหน้าม้าที่ถูกซอยจนปิดหน้าผากและลามมาถึงดวงตาที่เรียวยาวของเขา บวกกับนัยน์ตาสีดำคู่เดิมที่คุ้นเคย “อันที่จริง อายุไม่ใช่ปัญหาหรอก”
“หา?”
เยี่ยหลานซานไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงพูดประโยคแบบนี้ออกมา
เขาไม่ได้พูดเหตุผลออกมาให้เธอได้ยิน แต่เขาดันพูดอยู่ในใจแทน “เพราะว่าเมื่อ 5 ปีก่อน เธอเคยพูดกับฉันไว้ว่า ถ้าฉันเด็กกว่านี้อีกซักนิดนึง เธอก็จะให้ฉันเป็นแฟนของเธอ”
กงเส่าถิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กลั้นใจพูดทุกสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาออกมาเป็นเสียงต่ำ ๆ ปนเสียงแหบ ตั้งใจให้เธอฟังไม่ชัด “ถ้าเธอกังวล เรามาลองเป็นกันมั้ย?”
เยี่ยหลานซานถามด้วยความสงสัย “ลองอะไรคะ?”
“ลองเป็นเพื่อนต่างเพศที่ดีต่อกัน”
“เพื่อนต่างเพศเหรอคะ?” เยี่ยหลานซานลองขยายความให้ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย “คุณหมายถึง จะให้ฉันเป็นเพื่อนผู้หญิงของคุณ แล้วคุณก็เป็นเพื่อนผู้ชายของฉันใช่มั้ยคะ?”
“อื้ม ใช่”
เยี่ยหลานซานพูดพลางหัวเราะ “คุณลุงคะ ตอนนี้พวกเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
กงเส่าถิงเม้มปากเบา ๆ เพื่อเก็บอาการไว้ แต่ก็ยังคงแอบมองเยี่ยหลานซานต่อไปอย่างเงียบ ๆ
แต่จู่ ๆ เยี่ยหลานซานก็เริ่มรู้สึกถึงความหมายแฝงของประโยคนั้นของเขา
สิ่งที่เขาต้องการอยากจะสื่อ อาจจะเป็น…แฟน?
แบบนี้รึเปล่า?
เธอตกใจกับการรับรู้ถึงความหมายที่แท้จริงนี้ แววตาของจิ้งจอกน้อยมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ
แต่อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้ตอบออกมาเลย ว่าใช่ และเขาก็ไม่ตอบว่า ไม่ ด้วย ใบหน้าของเขาเงียบขรึมแล้วก็ดูไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไร
เธออายที่จะถามอีกครั้ง เพราะกลัวว่าตัวเธอจะถูกมองว่าเป็นคนหลงตัวเอง เธอจึงยิ้มแห้ง ๆ และเปลี่ยนเรื่อง “คุณลุงคะ ขอทางหน่อยค่ะ ฉันต้องใช้พื้นที่นี้หั่นแครอทน่ะค่ะ”
กงเส่าถิงเงียบและไม่ได้พูดอะไรต่อ
เขาหันข้างเล็กน้อยยืนดูเธอที่หั่นแครอทด้วยท่าทางเรียบร้อยขณะยืนอยู่หน้าเขียง
ในขณะที่แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้อง ซุปในหม้อที่กำลังเดือดก็แผ่ไอร้อนออกมาทั่วห้องครัว ทำให้บรรยากาศในห้องครัวนั้นร้อนขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากหั่นแครอทเสร็จ เยี่ยหลานซานก็ดึงคอเสื้อเล็กน้อยเพื่อระบายอากาศ
ทำให้กงเส่าถิงเห็นเนินอกขาวเนียนของเธออยู่แวบนึง…
ดวงตาของเขาเริ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผา
เขาถามเธอด้วยสายตาเลิ่กลั่กเล็กน้อย “ยังมีอะไรให้ช่วยอีกรึเปล่า?”
“ไม่มีแล้วค่ะ ในนี้อากาศร้อนมาก แล้วแผลของคุณก็ยังไม่หายดี ไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”
……
มื้อค่ำสำหรับพวกเขาสี่คนในวันนี้คึกคักมาก เมื่อเทียบกับความเงียบของกงเส่าถิง และความสงบนิ่งของกงฉีหลินด้วยอีกคน เหลือเพียงปีศาจร้ายอย่างฉืออวี้เฟิง “แม่เจ้า! หลานซาน อาหารที่น้าทำอร่อยมากจริง ๆ !”
เมื่อเห็นใบหน้าที่บอบบางของเธอ เขาก็พูดเยินยอต่ออีกว่า “ทำเป็นหมดทุกอย่างจริง ๆ เลย”
พอได้กินของอร่อยที่เธอทำ ก็พูดจาดีเชียว ฉืออวี้เฟิงนี่ช่างเป็นตัวอย่างของคนที่อยู่เป็นจริง ๆ
เขายิ้มจนแก้มปริและพูดออกมาเสียงดังว่า “ถ้าหากว่าน้าทำอาหารอร่อย ๆ อย่างนี้ให้ผมกินอีกซักมื้อสองมื้อ ถ้าให้ผมสละกิจการ ยกหวงเจวี๋ยกรุ๊ปให้น้าไปดูแลต่อจากผม ผมว่าก็คุ้มแล้วครับ”
เยี่ยหลานซานกระตุกยิ้มก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันได้ยินมาว่า ดื่มเหล้าจะทำให้เมาได้ แต่ไม่คิดเลยว่าแค่ทานซุปก็เมาได้เหมือนกัน”
เด็กคนนี้ พูดเหมือนคนเมาชัด ๆ !
แถมยังบอกว่าจะยกหวงเจวี๋ยกรุ๊ปให้กับเธออีก? องค์กรใหญ่ขนาดนั้น ลงทุนไปตั้งเท่าไหร่ ตลกเกินไปแล้ว!
เจ้าเด็กฟุ่มเฟือยคนนี้นี่!
เยี่ยหลานซานรู้สึกเศร้าใจแทนพ่อและแม่ของฉืออวี้เฟิง
ฉืออวี้เฟิงอยากจะพูดออกมามากว่า ในอดีต ตนนั้นโดนบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ตนไม่มีความสามารถที่จะทำได้ และจุดประสงค์ของการก่อตั้งหวงเจี๋ยกรุ๊ปก็เป็นการส่งเสริมเธอเท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้าในอนาคตเธอได้แต่งงานกับน้าเล็กจริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของเธอ ช้าหรือเร็วมันก็เป็นของเธออยู่ดี แบบนี้มันต่างกันตรงไหนล่ะ
กงฉีหลินตักกระดูกหมูเพิ่มให้ฉืออวี้เฟิงแล้วพูดว่า “ขนาดได้กินข้าวแล้ว ก็ยังไม่หยุดพูดอีก”
เซ่อจริง ๆ เลย
เยี่ยหลานซานไม่ได้สงสัยในท่าทีของกงฉีหลินกับฉืออวี้เฟิงที่ดูใกล้ชิดกัน เนื่องจากพวกเขาก็เป็นเหมือนลูกพี่ลูกน้องกันอยู่แล้ว เธอมองไปที่กงเส่าถิงแล้วพูดขึ้น “คุณลุงคะ ทานซุปเยอะ ๆ สิคะ ซุปเนี่ยบำรุงร่างกายได้ดีนะคะ”
ในขณะที่เธอกำลังพูดกับกงเส่าถิง โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ตื้ด ๆ ๆ
เธอวางตะเกียบกับถ้วยลง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความ
เป็นอวิ๋นซีที่ส่งข้อความมา [เที่ยงคืนนี้! ที่ซ่องโจรของแก๊งชิงไห่ ถนนฮุ่ยทง โกดังหมายเลข 111]
[แล้วเจอกัน]
หลังส่งข้อความตอบกลับเรียบร้อย เยี่ยหลานซานก็เก็บโทรศัพท์มือถือทันที และหันมาเห็นกงเส่าถิงกำลังมองเธออยู่ เธออธิบายออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร “เพื่อนคนนึงน่ะค่ะ นัดกันว่าถ้ามีเวลาว่างจะไปทานข้าวกัน”
“อื้ม”
แล้วกงเส่าถิงก็ไม่ได้สนใจอะไร
……
ขณะนี้เป็นเวลา 5 ทุ่มครึ่ง
หลังจากที่เยี่ยหลานซานมั่นใจว่ากงเส่าถิงหลับไปแล้ว เธอก็กระโดดออกทางหน้าต่างด้านข้างอย่างเงียบ ๆ เพราะเธอจะเกรงว่าบอดี้การ์ดของกงเส่าถิงจะตามเธอไป
และเพื่อความสะดวก ก่อนหน้านี้เธอได้ทำการซื้อจักรยานไฟฟ้าเก็บเอาไว้ที่ลานจอดรถใต้ดินที่อยู่ใกล้กับโกลเด้นแมนชั่น และในตอนนี้เธอก็ได้เอามันออกมาใช้เสียที
ลมฤดูร้อนพัดมาอย่างช้า ๆ บวกกับดวงจันทร์ที่สว่างจ้าจากบนฟ้าไกล ในขณะเดียวกันก็มีหญิงสาวร่างเล็กวิ่งหายเข้าไปในความมืด ไม่นาน เสียงมอเตอร์จักรยานก็ดังขึ้นเบา ๆ เคล้ากับเสียงลม จากนั้นก็พัดหายไปพร้อมกับสายลมนั้น…
ถนนฮุ่ยทง โกดังหมายเลข 111
เมื่อเยี่ยหลานซานมาถึงที่หมาย ก็พบกับอวิ๋นซีที่หลบอยู่ในมุมมืดทันที
เขากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่มุมกำแพง ผมสีบลอนด์เงินยาวของเขาสะดุดตาด้วยแสงดาวที่ตกกระทบ แม้ว่าเขาจะอยู่ในความมืดแต่เขาก็ยังมีอะไรที่ทำให้มองหาเจอได้อยู่ดี…
เธอกระซิบเบา ๆ “พี่ชายสี่”
อวิ๋นซีเหยียบมวนบุหรี่ที่ถูกเผาไหม้ไปแล้วเกือบครึ่งมวนก่อนจะก้มดูนาฬิกา “ช้าไป 1 นาที”
“ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ยพี่!”
เยี่ยหลานซานเพิ่งจะบ่นพึมพำไป จู่ ๆ ก็มีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังมาจากข้างหลัง และมาด้วยความเร็ว
มีคนมา!
เธอกับอวิ๋นซีมองหน้ากัน จากนั้นอวิ๋นซีก็ดึงตัวน้องสาวเข้าไปหลบในมุมกำแพง ไม่นานนัก เสียงมอเตอร์ไซค์จากระยะไกล ก็เริ่มดังเข้ามาใกล้ ๆ แล้วก็มาจอดอยู่ด้านข้างที่พวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของใครบางคน
ดูท่าจะมากันประมาณ 10 คน
ท่ามกลางสายลม จู่ ๆ ก็มีคนตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลงมือได้!”
หลังจากนั้นก็ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนนับสิบบุกเขาไปยังโกดัง
จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของคนสุดท้ายหายเงียบไป เยี่ยหลานซานจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าจะมีคนกลุ่มอื่นกำลังให้ความสนใจแก๊งชิงไห่เหมือนกัน?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอรออยู่ข้างนอกนี่ก่อนนะ ฉันจะเข้าไปดูสถานการณ์ข้างในหน่อย” อวิ๋นซีพูดจบ ก็ลักลอบเข้าไปด้วยสายตานิ่งสงบ
เยี่ยหลานซานยืนคอยอยู่ที่ประตู ในขณะที่อวิ๋นซีเข้าไปข้างใน เธอก็แนบหูเข้ากับกำแพง พยายามฟังเสียงข้างในโกดัง
เธอไม่สนใจว่าแก๊งชิงไห่จะเป็นอย่างไร เธอแค่อยากรู้จากปากหัวหน้าแก๊งชิงไห่ ว่าใครที่ต้องการจะฆ่าเธอ!
และเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก
จู่ ๆ ลมฤดูร้อนก็เริ่มเย็นขึ้น ดวงดาวบนท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ แล้วแสงสว่างระหว่างท้องฟ้ากับโลกก็มาบรรจบเป็นเนื้อเดียวกันทันที ราวกับว่าฝนกำลังจะตกลงมาอย่างหนัก
MANGA DISCUSSION